LOGINเสี่ยวชุนก็ช่วยต้าเหนิงนางเก็บกวาดห้องเรียนเช่นกัน นางจึงนับว่าเบาแรงไปได้เยอะ พอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อย ต้าเหนิงนางก็ขึ้นไปกินข้าวบนรถม้า ระหว่างทางที่ไปสนามฝึกวังหลวง
“คุณชาย ท่านให้หมอตรวจอาการบาดเจ็บก่อนดีหรือไม่ขอรับ” เขามองที่หัวเข่านางอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นนางก้าวลงรถม้าไม่ค่อยมั่นคงนัก
“ไม่ต้อง เสี่ยวชุนข้าขี่ม้าไม่เป็น” นางเอ่ยออกมาอย่างกังวล
แม้จวนท่านตาจะเป็นจวนท่านแม่ทัพ แต่ต้าเหนิงก็ไม่เคยได้ขี่ม้าเล่นสนุกเช่นญาติผู้พี่คนอื่น ด้วยสตรีเช่นนางจึงมิได้เล่นสนุกได้ตามใจ
“คุณชายพยายามเลี่ยงขึ้นหลังม้าไปก่อน ไว้วันหยุดข้าน้อยจะสอนท่านขี่ม้าขอรับ”
“อืม”
ก็คงต้องเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เริ่มเรียนขี่ม้าของบัณฑิตภายในห้อง ตระกูลใหญ่ตระกูลใดบ้างเล่าที่ไม่มีม้าเป็นของตนเอง ส่วนมากจึงขี่ม้าเป็นกันทุกคน แล้วจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร หากวันนี้ตกจากหลังม้าอีก นางก็คงได้พักรักษาตัวหลายวัน
ดวงตาของต้าเหนิงสว่างแวบขึ้นมา ใช่แล้ว หากเกิดเรื่องกับนางที่สนามม้า นางก็ไม่ต้องมาเรียนที่สำนักศึกษา ได้หยุดพักอยู่ที่จวนหลายเดือนใช่หรือไม่
“หากคุณชายทำให้ตนเองเจ็บตัว นายท่านจะต้องทุกข์ใจเป็นแน่” ราวกับอ่านใจนางได้ เสี่ยวชุนเอ่ยออกมาก่อนที่ต้าเหนิงจะเดินเข้าไปด้านใน
“ข้ารู้แล้ว” นางลูบจมูกแก้เก้อ ก่อนจะรับของมาจากเสี่ยวชุนแล้วเดินไปหาซูกวนกับอู๋หลางที่กำลังเดินมาหานางเช่นกัน
อาจารย์ตู้ยังไม่มาที่สนามฝึก นางจึงเดินเลี่ยงกลุ่มของเว่ยซีหมิ่นและกลุ่มของเต๋อซิ่วไปอยู่ทางด้านอื่น
“อาเฉิงเจ้ากังวลสิ่งใดหรือ” ซูกวนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเห็นต้าเหนิงนางหน้านิ่วคิวขมวดมองสนามฝึกอย่างเป็นกังวล
“ไม่มีอันใด” นางจะกล้าพูดได้อย่างไรว่านางขี่ม้าไม่เก่ง
พออาจารย์ตู้เดินเข้ามากลางกลุ่มบัณฑิต พวกต้าเหนิงก็เดินไปรวมกับคนอื่น แต่นางเลือกที่จะยืนเงียบๆ โดยไม่สนใจคนใดเลย นอกจากสหายที่อยู่ข้างกายที่เอ่ยถามนาง นางก็จะเอ่ยตอบพวกเขากลับไป
“คุณชายเสิ่น เจ้าไปนั่งรออยู่ด้านข้าง วันนี้ยังมิต้องเรียนขี่ม้า”
“ขะ ขอรับ” ต้าเหนิงพยักหน้ารับอย่างยินดี นางอมยิ้มมองซูกวนและอู๋หลางแล้วเดินออกไปรอด้านนอกอย่างว่าง่าย
“หึ” เต๋อซิ่วส่งเสียงแค่นจมูกออกมา ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
ต้าเหนิง เมื่อเดินออกมาพักอยู่ใต้ต้นไม้ หมอหลวงกู้สหายของบิดาก็เดินเข้ามาหานางทันที
“คุณชายเสิ่น ข้ามาดูอาการบาดเจ็บของเจ้า”
“เจ้า...ขอรับ แต่ข้าน้อยไม่ได้เป็นอันใดมากแล้ว” ต้าเหนิงแม้จะแปลกใจจากเรื่องที่นางไม่ต้องฝึกขี่ม้า แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหมอกู้มาพบนางด้วยเรื่องอันใด
“มาเถิด อย่าทำให้การมาของข้าเสียเปล่า”
ต้าเหนิงกวาดสายตาไปมองรอบๆ ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจนาง นางจึงยอมที่จะดึงชายกางเกงพับขึ้นมาถึงหัวเข่า เพื่อให้หมอหลวงกู้ตรวจดูอาการ
“เจ้าดูสิ ว่าข้าตาฝาดไปหรือไม่ ขาของคุณชายเสิ่น เหตุใดถึงได้ขาวเนียนเช่นขาของสตรีเช่นนี้” เว่ยซีหมิ่นร้องบอกสหายที่อยู่ด้านข้างของตน
“หากผู้ใดมอง ข้าจะควักลูกตามันออกมา” เสียงเย็นด้านหลังเอ่ยออกมาเสียงเบา ทำให้ผู้ได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจ แม้แต่ตัวคนพูดเองก็สะดุ้งกับความคิดของตนเอง
เต๋อซิ่วได้แต่คิดว่าตนคงจะบ้าไปแล้ว เสิ่นเฉิงไม่รับน้ำใจที่เขาจะพาไปพบหมอหลวง แต่ก็ยังเป็นฝ่ายเรียกตัวหมอกู้มาดูบาดแผลให้ มายามนี้ยังเสียสติจะควักลูกตาของผู้อื่นเพียงแค่มองขาของเสิ่นเฉิง
มู่เฉียงกับตงฟู่ไม่กลัวคำขู่ของเต๋อซิ่วอยู่แล้ว ทั้งสองจึงหันไปมองทางทิศที่ต้าเหนิงนางนั่งอยู่กับหมอหลวงกู้
“...” ใบหน้าของทั้งคู่แดงก่ำขึ้นมาทันที ด้วยไม่คิดว่าบุรุษที่โตเต็มวัยจนสามารถแต่งภรรยาได้เช่นพวกเขา จะมีเรียวขาที่งดงามเช่นนี้
เรียวขาของต้าเหนิงเรียวงามกว่าของสตรีบางคนเสียอีก หากไม่ได้ยินเสียงกระแอมเตือนของเต๋อซิ่ว ทั้งสองคงได้แต่มองจนเหม่อลอยไปแน่
ต้าเหนิงดึงผ้าขึ้นมาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น นางจึงไม่ทันคิดว่าจะมีผู้ใดเห็น พอนางหันกลับมาทุกคนก็ยังคงสนใจอาจารย์ตู้ที่กำลังสอนขี่ม้าอยู่ จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เจ้าล้มแรงมิใช่น้อยเลย ไหนจะต้องคุกเข่าอยู่นับชั่วยาม คืนนี้คงบวมมากกว่านี้เป็นแน่ ข้าเขียนเทียบยาให้แล้ว เมื่อถึงจวนก็ให้บ่าวไปจัดการให้เถิด” หมอกู้ถอนหายใจออกมา เขามองบุตรของสหายอย่างเห็นใจ
“ขอบคุณท่านลุงกู้มากขอรับ”
“เจ้าไปขอบพระทัยองค์ชายห้าเถิด หากพระองค์ไม่เชิญข้ามา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กปากแข็งเช่นเจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้”
“ขอรับ” ต้าเหนิงก้มหน้ารับคำเสียงเบา แต่นางไม่มีความคิดจะไปขอบคุณเต๋อซิ่วให้เสียเวลา ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทำให้นางต้องอยู่ในสภาพนี้ ก็ถูกแล้วที่ต้องให้หมอมาดูอาการของนาง
ต้าเหนิงนั่งมองบุรุษทั้งหลายขี่ม้าตีคลี่กันอยู่ภายในสนาม นางเองก็อยากลองเล่นเช่นพวกเขาสักครั้ง สตรีน้อยนักที่จะได้เล่นสนุกเช่นนี้ ส่วนมากจะทำเพียงนั่งชื่นชมอยู่ที่ด้านข้างเช่นที่นางทำอยู่
นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ซูกวนและอู๋หลางจะได้อยู่ในกลุ่มของเต๋อซิ่ว ลงแข่งกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น จากสายตาที่มองเห็นพวกเขาได้แข่งเพื่อเอาชนะเสียที่ไหน ดูเหมือนอยากจะสังหารอีกฝ่ายให้ล้มตายเสียมากกว่า
“หยุด!!!” อาจารย์ตู้ร้องตะโกนขึ้น ก่อนที่ม้าของเต๋อซิ่วจะเบียดม้าของเว่ยซีหมิ่นจนทำให้เขาตกจากหลังม้าได้ทันเวลา
“พวกเจ้าจะฆ่ากันหรืออย่างไร องค์ชายห้าหากมีความแค้นกับคุณชายเว่ย ท่านไปจัดการกันที่อื่น ที่นี่เป็นชั้นเรียนของกระหม่อม หากเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนที่ถูกลงโทษเป็นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เขาร้องออกมาอย่างหัวเสีย หากมิใช่พระโอรสของฮ่องเต้กับฮองเฮา ทั้งยังมีพี่ชายเป็นองค์รัชทายาทด้วย อาจารย์ตู้คงได้ลงแส้ที่หลังของเต๋อซิ่วสักสองสามแผล
“ท่านอาจารย์ตู้กล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่หยอกล้อกันก็เท่านั้น จริงหรือไม่คุณชายเว่ย” สายตาที่ข่มขู่ของเต๋อซิ่วจะตอบเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร
เว่ยซีหมิ่นกัดฟันแน่น ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ตัวเขายังไม่รู้เลยว่าไปล่วงเกินบรรพบุรุษน้อยผู้นี้ที่ใด ถึงได้ลงมือกับเขาไม่เลิกรา
อาจารย์ตู้หมดอารมณ์จะสั่งสอนพวกเขา จึงได้ปล่อยให้กลับจวนกันก่อนเวลาเลิกเรียนเกือบหนึ่งชั่วยาม
“คุณชายเสิ่น วันหยุดนี้เจ้าก็ไปฝึกขี่ม้าที่จวนอดีตท่านแม่ทัพใหญ่หลิวด้วยเล่า” อาจารย์ตู้เอ่ยเตือน ด้วยคนอื่นสามารถตีคลี่ได้แล้ว มีเพียงเสิ่นเฉิงที่อาจารย์ตู้ยังไม่เคยเห็นฝีมือ
“ขอรับท่านอาจารย์”
พออาจารย์ตู้เดินจากไปแล้ว เสี่ยวชุนก็เข้ามาช่วยประคองต้าเหนิงไปขึ้นรถม้า
“ให้ข้าน้อยแบกท่านดีหรือไม่” แม้จะช่วยประคองแล้ว แต่ฝ่าเท้าของต้าเหนิงก็ดูเหมือนจะก้าวไม่ออก
“ได้” นางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เต๋อซิ่วเห็นต้าเหนิงไม่คิดจะเข้ามาขอบคุณเขาก็หัวเสียมากพอแล้ว จนหันไปถีบเว่ยซีหมิ่นที่อยู่ไม่ห่าง ก่อนจะเดินสะบัดชายเสื้อเดินจากไปทันที
“อันใดขององค์ชายห้า ข้าไปทำอันใดให้เขากัน” เว่ยซีหมิ่นลูบก้นที่กระแทกพื้นของตนอย่างไม่เข้าใจ
คนอื่นที่ยืนมองอยู่ได้แต่ส่ายหน้าให้เขา พวกข้าก็ไม่รู้เช่นกัน จะคิดว่าเต๋อซิ่วแก้แค้นแทนเสิ่นเฉิงก็เห็นจะไม่ใช่ ทั้งสองแทบจะไม่เคยเอ่ยพูดคุยกันมาก่อน จนเมื่อสองวันที่ผ่านมาที่องค์ชายห้าไปกินข้าวกับกลุ่มของ เสิ่นเฉิง แต่อย่างไรก็ยังมองไม่ออกมาว่าการระบายโทสะของเต๋อซิ่วทำไปเพื่ออะไร
ร่างอวบอ้วนของฝาแฝดทั้งสามวิ่งไปที่เรือนพักของต้าเหนิงแทบจะในทันที แม้แต่บ่าวรับใช้และแม่นมยังวิ่งไล่ตามไม่ทัน“ลูกชายแม่กลับมาแล้ว” ต้าเหนิงยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ทั้งสามที่ปีนขึ้นมานั่งบนเตียง“ท่านแม่เป็นเช่นใดขอรับ เหตุใดถึงล้มป่วยได้เล่า” ลู่ซือเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ต่อไปข้าไม่ไปจวนใดแล้ว” หนิงเจี้ยนมองใบหน้าซีดขาวของต้าเหนิงอย่างปวดใจ“ท่านแม่กินยาแล้วหรือยังขอรับ” ดวงตากลมโตที่เอ่ยคลอไปด้วยน้ำของหรงซิ่งที่มองมา ทำให้ต้าเหนิงนางในเหลวไปเลย“พระชายา จะมีน้องให้ซื่อจื่อทั้งสามเจ้าค่ะ มิได้ล้มป่วยหนักเช่นที่กังวล” อาซียิ้มมองทั้งสามอย่างเอ็นดู“น้องอยู่ไหน” หรงซิ่งมองหาน้องก็ไม่เห็นจะมี“เจ้าโง่ น้องก็ต้องอยู่ในท้องท่านแม่อย่างไรเล่า ดูท่านป้าสะใภ้ที่ท้องโตใกล้คลอด เจ้าไม่รู้ความเสียจริง” หนิงเจี้ยนปรายตามองหรงซิ่งอย่างดูแคลน“ในนี่หรือ ไม่เห็นจะใหญ่เช่นป้าสะใภ้เลย” หรงซิ่งลูบท้องของต้าเหนิงเบาๆ“อีกไม่กี่เดือนก็จะใหญ่เช่นฮูหยินน้อยเสิ่นแล้วเจ้าค่ะ” อาจิ่วพูดไปก็ยิ้มขบขันไปต้าเหนิงมองบุตรทั้งสามอย่างรักใคร่ ต่อให้พวกเขาจะดื้อรั้นเช่นใด แต่เมื่ออยู่กับนางก็เป็นเด็กที่ว่าง่ายยิ่งนักผ่า
แต่เต๋อซิ่วจะยอมได้อย่างไร ต่อให้ยังไม่มีบุตรสาวเขาก็ไม่ยอมรับ เต๋อซิ่วส่งหยกพกสีชมพูคืนกลับไปให้เจี้ยหรุน พร้อมจดหมายที่เขียนตำหนิร่ายยาวถึงสามแผ่นฝากไปให้เขาด้วยเจี้ยหรุนที่ได้อ่านก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นห้องทรงงาน เขาคิดเช่นที่เต๋อซิ่วเข้าใจจริงๆ หากต้าเหนิงนางมีบุตรสาวไม่รู้ว่าจะงามล่มเมืองเช่นเดียวกับนางหรือไม่ จึงอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ก็เท่านั้นแต่เจี้ยหรุนรู้ดีว่า เต๋อซิ่วไม่มีทางยอม คนตระกูลเสิ่นไม่ยอมให้ลูกหลานของตนแต่งกับคนที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ แต่อย่างว่าโชคชะตาช่างเล่นตลก เมื่อบุตรสาวของต้าเหนิงแต่งกับพระโอรสองค์ที่สามที่เกิดจากฮองเฮาของเจี้ยหรุนจริงๆจินเหรินและหลินหว่านเดินทางล่วงหน้ากลับเมืองหลวงก่อน ต้าเหนิงนางต้องรอให้ฝาแฝดอายุครบหกเดือนก่อนถึงจะออกเดินทางคนที่ยินดีที่สุดอีกคนเห็นจะเป็นตงฟู่ ที่จะได้กลับเมืองหลวงเสียที ทั้งยังมีตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรรอเขาอยู่อีกด้วยเต๋อซิ่ว ได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง แทนที่แม่ทัพหลิวท่านลุงของต้าเหนิงที่ไปประจำการอยู่ชายแดนใต้ แทนตระกูลจ้าว จ้านอ๋องหรือมู่เฉียงยังคงเป็นกุนซือข้างกายของเต๋อซิ่วต่อไ
เมื่อเห็นว่าเป็นเขาจริง นางก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง“บาดเจ็บหรือไม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน อาซิ่ว...ข้ากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้พบท่านแล้ว” นางโอบกอดรอบคอเต๋อซิ่วเอาไว้แน่น“ข้ากลับมาแล้ว ไม่มีทางแยกจากเจ้าอีกแล้ว” นานเกือบหกเดือนที่เขาห่างจากนาง โดยที่ไม่รู้เลยว่านางตั้งครรภ์อยู่ หากกลับมาไม่ทันนางคลอด หรือหลินหว่านนางไม่เดินทางมาอยู่กับต้าเหนิง เต๋อซิ่วคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ชั่วชีวิตเต๋อซิ่วเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบมาเช่นกัน แต่ได้น้ำวิเศษของหลินหว่านช่วยเอาไว้ เขาจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองเป่ยโจวได้อย่างรวดเร็วยามนี้บาดแผลบนร่างกายของเต๋อซิ่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว พอต้าเหนิงนางตรวจสอบดูจึงไม่เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเช่นที่เขาพูดเอาไว้“ขึ้นเถิด ขออยากเห็นลูก”“อืม...ที่นี่คือที่ใด” เต๋อซิ่วอุ้มต้าเหนิงขึ้นจากน้ำ“ห้วงมิติของพี่สะใภ้ อาหว่านนางแต่งให้พี่ชายข้าเมื่อสามเดือนก่อน ตอนที่ท่านแม่รู้ว่าเด็กในท้องข้ามีมากกว่าหนึ่งคน นางจึงช่วยพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลข้า หากนางไม่มา...” ต้าเหนิงเงียบเสียงลง ซุกเข้าไปในแผงอกของเต๋อซิ่ว“รอให้เจ้าพวกลูกเต่าโตเสียก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการพวกเขาเช่
ในมือขององครักษ์ของเต๋อซิ่วเหลือถุงน้ำที่ยังไม่ได้ใช้อีกเพียงแค่สี่ถุง ที่มู่เฉียงมีอีกถุง พวกเขาจึงอาศัยความวิเศษของน้ำ ดื่มวันละจอก แล้วเร่งเดินทางกลับตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้หยุดพักในตอนแรกเจี้ยหรุนเองก็อยากจะรั้งให้พวกเขาอยู่ที่แคว้นต้าเยี่ยสักหลายวัน เพื่อต้องการฝากของกำนัลไปมอบให้ต้าเหนิงที่นางมอบน้ำวิเศษให้ตน แต่เมื่อรู้เหตุผลก็ไม่อาจรั้งเต๋อซิ่วไว้ได้อีกต่อไปยังดีที่ตงฟู่ยังมิได้เดินทางกลับ เจี้ยหรุนจึงพอมีเวลาให้จัดเตรียมสิ่งของ เสบียงอาหารให้พวกเขา เจี้ยหรุนเองก็ไม่ได้หยุดพัก เมื่อต้องจัดการเรื่องในราชสำนักใหม่ทั้งหมด ไหนจะจัดการสนมนับพัน เรื่องราวที่เสด็จอาของตนสร้างเอาไว้มากมายสนมบางคนที่ยั่วยุให้ฮ่องเต้พระราชทานของมีค่า สร้างตำหนักพักตากอากาศให้ตน หรือรังแกเสด็จแม่ของเจี้ยหรุน ถูกตัดสิ้นให้ติดตามฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเดินทางไปปรโลกพร้อมกันขุนนางชั่ว ต่างก็ถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือ ทรัพย์สินที่ยึดมาได้เพียงพอให้เจี้ยหรุน นำมาฟื้นฟูแคว้นและปลอบขวัญครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตไปจินเหรินนางเดาเอาไว้ไม่ผิดนัก ว่าต้าเหนิงนางจะต้องคลอดก่อนกำหนดแน่ ในตำหนักจึงมีแม่นมเตรี
พอเข้ามาถึงในห้องโถง นอกจากฝูกงกง อาซีและอาจิ่วแล้ว สาวใช้คนอื่นต่างก็ออกไปรออยู่ด้านหน้า หลินหว่านนางต้องการตรวจครรภ์ให้ต้าเหนิง เครื่องมือที่นางใช้ ไม่มีในแคว้นต้าหลี่จึงไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นหูฟังแพทย์ ที่นางนำออกมา ตรวจฟังเสียงหัวใจของเด็กทารกในครรภ์ของต้าเหนิง“อื้มมมม ดูเหมือนว่าจะมีถึงสามคน” หลินหว่านมองครรภ์ของต้าเหนิงอย่างตกตะลึง“ห๊ะ!!! สามเลยหรือ” จินเหรินเริ่มจะเกิดความกลัวขึ้นมาแล้วยามที่นางคลอดเสิ่นเฉิงและต้าเหนิง เพียงแค่สองคนก็เกือบจะเอาชีวิตกลับมาไม่ได้ แต่นี่...ต้าเหนิงนางมีถึงสามคนในท้อง จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้อย่างไร“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงมีข้าอยู่ อาเหนิงกับลูกของนางจะต้องปลอดภัยเจ้าค่ะ”จินเหรินจะไม่เชื่อคำพูดของหลินหว่านได้อย่างไร ในเมื่อนางเองก็ได้เห็นมิติของหลินหว่านแล้ว ทั้งยังเห็นของวิเศษของนางอีกด้วย“อีกสองเดือนจะคลอด ไม่รู้ว่าอาซิ่วจะกลับมาทันหรือไม่” ต้าเหนิงลูบท้องของนางอย่างเหม่อลอยต่อให้มีมารดาและพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลแล้ว แต่ต้าเหนิงนางก็ยังอยากให้เต๋อซิ่วอยู่ข้างนางตอนที่นางคลอดอยู่ดีทางด้านเต๋อซิ่ว เดินทางถึงเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยแล้ว ฮ่องเต้ของแค
ต้าเหนิงนางยังคงไม่เชื่อว่านางจะตั้งครรภ์แล้ว“หากไม่ใช่เล่า พวกเจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจกันไป ข้าเพียงแค่กินอาหารไม่ลงเท่านั้น” นางไม่เห็นจะมีอาการเช่นเกาซีม่านสหายของนางเลย ที่อาเจียนจนลุกจากที่นอนไม่ได้ ไหนจะต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง หากลุกขึ้นแล้วจะมันหัวจนเดินไม่ได้“เชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวตั้งครรภ์ ก็เหม็นกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ แต่บ่าวอาเจียนเสียลุกไม่ขึ้นอยู่นานหลายเดือน รอให้ท่านหมอมายืนยันอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”ต้าเหนิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลายวันมานี่ นางก็ไม่นึกอยากอาหาร ทั้งยังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เช่นที่สาวใช้อาวุโสว่าจริงๆเมื่อท่านหมอมาถึง พอได้ตรวจชีพจรของต้าเหนิง หมอก็แจ้งข่าวมงคลกับนาง ต้าเหนิงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว“เช่นนั้นก็ก่อนที่จะมาถึงเป่ยโจว แล้วเด็กในท้องข้าเป็นเช่นใดบ้าง” นางร้องถามอย่างรวดเร็ว“ครรภ์ของพระชายาแข็งแรงดีขอรับ มิต้องห่วง พระชายาเพียงต้องแข็งใจกินอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวลแล้ว เดือนหน้าข้าน้อยจะมาตรวจให้ท่านใหม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องกินยาบำรุงครรภ์ขอรับ”“ขอบคุณท่านมาก เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์ ท่านหมอช่วยเก็บเป็นความลับเอาไว้เสียก่อน