บ้านยังเงียบ แต่ทว่าไม่ว่างเปล่า กลิ่นอ่อน ๆ ของข้าวต้มหอมกรุ่นลอยมาตามอากาศ เธอชะงัก…สูดกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด นาราเดินตามกลิ่นไปจนถึงห้องครัว แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพตรงหน้า… ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตพับแขน ใส่ผ้ากันเปื้อน กำลังยืนอยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกระบวย อีกมือคอยเปิดฝาหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ “คุณธีภพ…” เขาหันมามองเธอทันที แววตาเขาอ่อนแสงลงทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ…” เขายิ้มน้อย ๆ “กำลังจะเอาไปให้พอดีเลย” นาราไม่ตอบ เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นารายืนพิงขอบประตูห้องครัวอย่างเงียบ ๆ สายตาเธอมองชายหนุ่มตรงหน้า คนที่ในยามปกติยืนอย่างสง่ากลางฝูงชนในแวดวงธุรกิจ แต่ในเช้านี้กลับใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา พร้อมกลิ่นข้าวต้มที่ค่อย ๆ หอมขึ้นทุกที เธอเอ่ยถามเบา ๆ “คุณ…อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” ธีภพชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาเธอ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปาก แววตาอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น “ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ…ทั้งคืน” “เมื่อคืนคุณหลับสนิท ผมเลยนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้รู้ทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ” นารานิ่งไปเพียงอึ
นารานิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะให้ฝ่ายกฎหมายเดินเรื่องทั้งหมด” “ฉันจะดำเนินการฟ้องร้องในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง” “ฉันจะไม่ยอมความกับเรื่องนี้เด็ดขาด” นาราพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงราบเรียบแต่แน่วแน่จนไม่มีช่องให้เข้าแทรก “ไม่ใช่แค่ศักดิ์ดา…แต่ปกรณ์ด้วย ฉันมีหลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือ และฉันตั้งใจจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด” ธีภพเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองเธอโดยไม่หลบตา สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเข้มขึ้นชัดเจน “ผมเข้าใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “และผมก็รู้ว่าคุณมีเหตุผลเต็มที่ที่จะทำแบบนั้น” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม “แต่ผมอยากให้คุณถอยออกมาจากเรื่องนี้” นาราชะงักเล็กน้อย เธอหันมามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณกำลังขอให้ฉันถอยเหรอ?” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่นิ่งลึก และหนักแน่น ไม่ใช่คำขอร้องที่หว่านล้อม แต่เป็นความตั้งใจแน่วแน่จากคนที่เคยยืนอยู่ในเงามืดมานาน และพร้อมจะเดินออกมาเผชิญหน้าแทนเธอ “ใช่…ผมขอให้คุณถอย” “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนถือดาบฟาดฟันศัตรูตลอดเวลา คุณทำมามากพอแล
ธีภพก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเขาต่ำทุ้ม และอ่อนหวานในแบบที่เธอไม่คุ้นชิน “สงสัยเรื่องคืนนั้นมันผ่านไปนานจนคุณจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้กับคุณนะ” นาราหลบสายตา ใจเต้นแรงผิดจังหวะ แต่ยังเอ่ยเสียงแผ่ว “นี่...คุณ" "ฉัน...ยังบาดเจ็บอยู่นะ” ธีภพยิ้มมุมปาก แตะปลายนิ้วที่แก้มเธอเบา ๆ “งั้นผมจะอ่อนโยนกับคุณให้มากที่สุด” เขาไม่ได้รอคำตอบ เพียงแค่ก้มตัวลง ประคองเธอขึ้นในอ้อมแขนอย่างมั่นคง นารานิ่งไป นาทีนี้เธออายจนพูดอะไรไม่ออก สัมผัสของเขาช่างอบอุ่น…และปลอดภัย ราวกับไม่มีอะไรในโลกจะเข้าถึงเธอได้หากมีเขาอยู่ตรงนี้ เธอซุกใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นช้าแต่มั่นคง ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เธอเคยผลักไส แต่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า…เขาคือที่พักสุดท้ายของใจเธอจริง ๆ เมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก ธีภพก้าวเข้าไปอย่างเงียบงัน พร้อมกับร่างของนาราที่อยู่ในอ้อมแขน ทุกย่างก้าวของเขานุ่มนวล ราวกับกลัวจะรบกวนลมหายใจของเธอ เขาเดินตรงไปยังเตียงกว้างกลางห้อง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลง วางเธอลงบนผืนผ้านุ่มอย่างแผ่วเบา นารากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่
ศักดิ์ดาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความยากลำบาก แสงไฟเหนือหัวส่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั้นหลอกตา แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับชัด...หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น ธีภพ... คนที่เขาได้ยินข่าวว่าล้มป่วยหนัก คนที่เขารู้มาแน่นอนว่า เดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ คนที่โลกธุรกิจทั้งวงการพากันเข้าใจว่า ถอนตัวจากทุกตำแหน่งเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย …แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า ในสภาพที่เต็มไปด้วยพลัง อำนาจ และสายตาเฉียบขาดจนศักดิ์ดารู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่ต้นคอจรดปลายสันหลัง “ค…คุณ…” เสียงของศักดิ์ดาขาดเป็นช่วง ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ใช่ว่า...คุณ...ป่วย…” ธีภพไม่ตอบในทันที เขาแค่เดินเข้ามาใกล้…ช้า ๆ ชั่วขณะที่เสียงฝีเท้าแตะกับพื้นซีเมนต์ ทุกเสียงรอบตัวเหมือนหายไปจากโกดังนั้น เขาหยุดยืนตรงหน้าศักดิ์ดา โน้มตัวลงเล็กน้อย สายตาคู่นั้น เย็นจนไม่มีไออุ่นหลงเหลือ “ข่าวลือมันมักจะเชื่อง่ายกว่าความจริงเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่อยากให้ฉันหายไป” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงกลับเหมือนกรีดลึกลงกลางอกของคนฟัง “และมันก็ง่าย…ที่แกกับปกรณ์จะหลงคิดว่า นาราไม
ธีภพยืนสงบนิ่งกลางแสงไฟสีหม่น แสงสลัวสะท้อนใบหน้าคมที่สงบเกินจะคาดเดาได้ แต่ในดวงตายังคงเรืองประกายบางอย่างที่บอกชัดว่า เกมนี้ยังไม่จบ เขาหันไปมองภานุวัฒน์กับคีรณัฐ เพียงการสบตา...ทุกอย่างก็ถูกส่งต่อโดยไม่ต้องใช้คำ “เตรียมพร้อมขั้นต่อไป” “ถึงเวลาจัดการกับปกรณ์” เสียงของเขาเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ใครบางคนล้มทั้งยืน ไม่มีคำถาม ไม่มีการทบทวน เพราะทุกคนรู้ดี ว่าเมื่อธีภพเอ่ยคำว่า 'จัดการ' สิ่งที่ตามมา ไม่เคยมีคำว่าลังเลอยู่ในนั้น เมื่อภารกิจถูกส่งผ่าน ธีภพคลายเนกไท ถอดสูทพาดไว้กับแขน ปลายนิ้วกดแอปฯ ร้านอาหารในมือถือ ก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วก้าวออกไปอย่างเงียบงัน ... เสียงแตรเบา ๆ ดังขึ้นหน้าประตูบ้านวรเมธินทร์ ลุงอำนวยที่กำลังเช็ดทำความสะอาดรูปปั้นหินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างทันทีที่เห็นร่างชายหนุ่มในตัวรถ “คุณธีภพ กลับมาแล้วเหรอครับ” “ครับ” ธีภพยิ้มบาง ยื่นถุงของสดและอาหารในมือให้ “มีปลานึ่งแบบที่เธอชอบ ฝากช่วยเตรียมจานกับหม้อซุปหน่อยนะครับ” "ส่วนถุงนี้ ของลุงครับ" ลุงอำนวยเอ่ยขอบคุณแล้วรับถุงอย่างคล่องแคล่ว พร้อมพยักหน้า พลางพูดด้วยแววตาที่อบอุ่นกว
ไนท์คลับหรู ใจกลางเมือง ห้อง VIP เสียงเบสดังกระหึ่มลอดผ่านผนังผ้ากำมะหยี่ แสงไฟสีม่วงอมฟ้าสาดส่องเป็นจังหวะ ทำให้ห้องที่เงียบสงบดูเหมือนถูกล้อมด้วยจังหวะชีพจรของเมืองทั้งเมือง ปกรณ์นั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาหนังสีเข้ม มือกุมแก้วเหล้าไว้แน่น สีหน้าดูไม่ต่างจากตอนอยู่ในอาคารสูง เพียงแต่ตอนนี้ แววตาของเขาฉายความล้าแบบที่เขาไม่เคยยอมให้ใครเห็นมาก่อน ภานุวัฒน์เอนตัวพิงพนักอย่างสบาย ดวงตาคมทอดมองอีกฝ่ายราวกับเพื่อนที่ห่วงใย “มีอะไรก็บอกมาเถอะปกรณ์ ฉันไม่เคยเห็นนายเป็นคนอื่น” ปกรณ์ไม่พูดในทันที เขาเพียงแค่ยกแก้วขึ้นจิบ แล้วปล่อยให้แอลกอฮอล์ลื่นไหลลงคอราวกับหวังให้มันพาเรื่องหนักออกไปจากใจ “วรเมธินทร์...” เขาเอ่ยช้า ๆ เสียงแผ่วลง “ฉันกำลังมีปัญหาใหญ่กับพวกเขา” “นารา วรเมธินทร์?” ภานุวัฒน์เลิกคิ้ว “คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เสือของวงการธุรกิจ?” “ใช่…เธอมีหลักฐานในมือ แฟ้มการเงินที่ไม่ควรหลุดออกไปจากโต๊ะของฉัน” ปกรณ์พูดราวกับกลืนก้อนหิน “และที่แย่กว่านั้น…ศักดิ์ดา หายตัวไป” “หายตัว?” น้ำเสียงของภานุวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ติดต่อไม่ได้เลย ไม่ว่าจะช่องทางไหน ราวกับหายเข้ากลีบเมฆ…ฉันไม่รู้ว่าเข
ภานุวัฒน์ฟังเงียบ ๆ ดวงตาคมหลุบต่ำซ่อนแววบางอย่างที่ไม่มีใครทันสังเกต เขายิ้มบาง ๆ ...ในใจกลับเยือกเย็นกว่าครั้งไหน เขาวางแก้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า “แต่ถ้านายอยากได้ผลประโยชน์มากกว่านั้น โดยไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องให้ใครฟ้องร้อง…มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” “หมายความว่าไง?” ปกรณ์เลิกคิ้ว “มีช่องทางอื่น…ที่สะอาดกว่า ฉลาดกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า” ปกรณ์ยังคงลังเล แววตายังเฝ้าจับผิดเล็ก ๆ “อะไรของนายอีกวัฒน์…จะให้ฉันเล่นหุ้นเถื่อนหรือไง?” ภานุวัฒน์หัวเราะนุ่ม ๆ “ไม่ใช่ของเถื่อน…แต่มันคือการมองให้ออกว่า ‘ใคร’ กำลังใช้ระบบให้เป็นประโยชน์ ดูอย่างซาเลียนสิ อยู่ ๆ ก็เข้าตลาดมาได้…ภายในเวลาแค่ปีเดียว จนใคร ๆ ก็ต้องหันมามอง” เขาเอนหลังอย่างคนที่ไม่เร่งเร้า แต่ปล่อยให้คำพูดไหลซึมเข้าสู่ความคิดของอีกฝ่าย “นายไม่อยากรู้เหรอว่า…พวกเขาทำยังไง?” ปกรณ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉายประกายความสนใจ “แล้วถ้าฉันสนใจล่ะ?” ภานุวัฒน์ยิ้มมุมปาก “ถ้านายสนใจ…นายก็ต้องเชื่อใจฉันก่อน” ................. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ในบ้านที่ถูกล้อมด้วยบรรยากาศ
“คุณธีภพ!” เธอร้องเสียงหลง ใบหน้าแดงจัด “วันนี้…” เขาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงทุ้มกระซิบแนบหู “ยังไงผมก็ต้องได้รางวัลของผมอยู่ดี” น้ำเสียงของเขานุ่มละมุน ราวกับโอบคลุมเธอไว้ทั้งร่างกายและหัวใจ นาราทุบไหล่เขาเบา ๆ “นี่...ฉันยังทำงานไม่เสร็จ วางฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!” “ช้าไปแล้วครับคุณนารา…” เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นอ่อนโยน ละลายทุกความแข็งกร้าว เสียงหัวเราะของธีภพยังคงก้องเบา ๆ อยู่ข้างหูนารา ขณะที่เขาอุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานในห้องทำงานส่วนตัว ภายในบ้านเงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นถูกหรี่ลงเหลือเพียงพอให้มองเห็น นอกหน้าต่างเป็นเพียงท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิท มีเพียงแสงดาวเร้นอยู่ไกล ๆ ราวกับเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน เขาก้มลงกระซิบใกล้หูเธอ เสียงนุ่มทุ้มฟังคล้ายรอยยิ้ม “พอแล้วครับ เลิกทำงานได้แล้ว…คืนนี้คุณควรพักผ่อน” นาราทำท่าจะค้าน แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากริมฝีปาก ร่างของเธอก็ถูกอุ้มขึ้นในอ้อมแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว “คุณมันเอาเปรียบ…” เธอบ่นเบา ๆ พลางตีไหล่เขาอย่างเขิน ๆ “ผมก็แค่รับรางวัล...ในฐานะคนที่ทุ่มเทที่สุดในรอบปี” เขาตอบเรียบ ๆ แต่ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เข
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย