หน้าหลัก / โรแมนติก / ในเงาของหัวใจ / บทที่ 2 ความรักในเงาธุรกิจ

แชร์

บทที่ 2 ความรักในเงาธุรกิจ

ผู้เขียน: แพรวรุณ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-09 23:40:40

เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก้องสะท้อนในห้อง ICU ที่เย็นเยียบและเงียบงัน

ร่างของกานต์นอนนิ่งอยู่บนเตียง รายล้อมด้วยสายระโยงระยาง และกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ลอยปะปนกับกลิ่นแห่งความหวาดกลัวที่ไม่มีใครพูดออกมา

นารานั่งอยู่ข้างเตียง มือเล็กกุมมือเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเพียงปล่อยมือเดียว…เขาจะหลุดลอยหายไปจากชีวิตเธอตลอดกาล

“กานต์…ได้ยินฉันไหม…” เสียงเธอเบาราวเสียงกระซิบ แต่สั่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

 

เขาไม่ตอบ ไม่มีแม้แต่การขยับเปลือกตา

แต่ภายใต้ความนิ่งเงียบเช่นนั้น...ที่ปลายลมหายใจอ่อนแรง เขา ยังอยู่

เขาติดอยู่ในร่างกายที่ไม่อาจขยับเขยื้อน

หัวใจของเขายังพยายามต่อลมหายใจสุดท้าย

เขาอยากตอบ อยากบีบมือนั้นกลับ

แต่โลกของเขาค่อย ๆ มืดลง...

เหมือนถูกดูดกลืนไปในความเงียบของจักรวาลที่ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียก

 

 

หมอเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มแต่จริงจัง

“หัวใจเขาอ่อนแรงลงมากแล้วครับ เราพยายามเต็มที่

หากมีอะไรที่คุณอยากพูดกับเขา...ตอนนี้คงเป็นเวลาสุดท้ายแล้ว”

 

คำว่า “สุดท้าย” กระแทกเข้าใส่หัวใจเธอเหมือนคลื่นโถมซัดใส่ฝั่งไม่หยุดยั้ง

นาราก้มหน้าลงแนบหน้าผากกับมือเขา สะอื้นอย่างเงียบงัน

ร่างกายสั่นสะท้านราวกับจะสลายไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายของเขา

“คุณสัญญาว่าจะไม่ทิ้งฉัน…

คุณบอกว่าจะอยู่ข้างฉันตลอดไป…

แล้วแบบนี้…ฉันจะอยู่ยังไงโดยไม่มีคุณ…”

 

เสียงเครื่องวัดชีพจรเริ่มดังถี่ขึ้น รัวเร่งราวกับหัวใจเขากำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อเธอ

เธอแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าพยาบาลที่วิ่งเข้ามา ไม่แม้แต่จะหันมองเครื่องมือที่ส่งเสียงเตือน

โลกของเธอมีเพียงมือเขา…ที่ยังอุ่นอยู่…

แต่กำลังจะเย็นลงในทุกวินาที

“กานต์…ได้โปรด…อย่าทิ้งฉัน…” เธอพูดซ้ำ ๆ ทั้งน้ำตา เสียงเธอแทบขาดห้วงไปกับทุกจังหวะเครื่อง

 

 

เสียงสุดท้ายของเครื่องกลายเป็นเส้นยาวเรียบ

ไม่มีจังหวะ ไม่มีความหวัง

เป็นวินาทีที่หัวใจของเขาหยุดลงในมือของเธอ

และในวินาทีนั้นเอง หัวใจของเธอเหมือนแตกสลาย

ทว่ามันยังต้องเต้นต่อไป...เพื่อแบกความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด

 

..........

 

คืนวันที่เจ็ดแห่งการจากลา เสียงสวดอภิธรรมยังคงก้องในความทรงจำ

กลิ่นดอกไม้จันทน์และควันเทียนยังไม่จางจากใจ

นารานั่งนิ่งหน้ารูปถ่ายของกานต์ ภาพนั้นเป็นรอยยิ้มที่เธอจำได้ดี รอยยิ้มสุดท้ายที่เธอไม่ทันได้บอกลา

ภายในโลงศพคือร่างของคนที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ทั้งชีวิตปกป้องเธอ

แต่ภายนอก คือโลกที่ยังหมุนต่อไปโดยไม่มีเขา

เธอไม่ได้ร้องไห้ออกเสียง แต่แค่ลมหายใจก็เหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

 

นารานั่งนิ่งอยู่หน้ารูปถ่ายของกานต์

เธอยกมือขึ้นไหว้ช้า ๆ ดวงตาแดงช้ำจนไม่มีน้ำตาจะไหลอีกแล้ว

ในความเงียบงันนั้น หัวใจเธอเหมือนหล่นหายไปพร้อมกับชายผู้เป็นทั้งเพื่อน คนรัก และคู่ชีวิตที่จากไปในคืนวันแต่งงาน

 

 

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาค่อย ๆ เดินเข้ามา

คุณบงกชย่อตัวลงข้างเธอ มืออบอุ่นของหญิงวัยกลางคนวางบนบ่าของนาราเบา ๆ

“นารา…” เสียงของคุณบงกชสั่นไหว “อย่าโทษตัวเองเลยนะลูก…”

นาราเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาสบกับแววตาอ่อนโยนของผู้หญิงที่เธอเรียกว่า ‘แม่’ มาตลอดชีวิต

เธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แต่สุดท้ายก็หลุดออกมาในลมหายใจเงียบ ๆ

 

“หนูควรจะเป็นคนที่จากไป ไม่ใช่เขา…” น้ำเสียงนาราเบาเหมือนจะขาดหายไปในลม

"เขา นาทีนั้น กานต์เขาพยายาม ที่จะเอาตัวเองมาปกป้องหนูไว้..." คำพูดออกมาเพียงเท่านั้น จากนั้นน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ก็กลบเสียงของเธอไปจนสิ้น

 

คุณพิรัชต์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เดินเข้ามา ย่อตัวลงอีกฝั่ง พลางจับมือนาราไว้แน่น

“กานต์เขารักหนู เขาเลือกที่จะปกป้องหนูโดยไม่ลังเลเลย เพราะฉะนั้น อย่าให้การจากไปของเขากลายเป็นความผิดของหนูเลยนะนารา”

คำพูดแผ่วเบาแต่หนักแน่นราวกับพายุที่พัดใจเธอให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

 

คุณบงกชโอบนาราไว้แน่น หัวใจของผู้หญิงสองคนที่สูญเสียคนที่รักที่สุดแนบชิดกันอย่างเงียบงัน

“ตั้งแต่วันแรกที่เรารับหนูเข้าบ้าน กานต์ไม่เคยหยุดยิ้มเลย

และแม่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าหนูไม่ใช่ลูกเรา”

 

“เพราะฉะนั้น…” คุณพิรัชต์พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “นับจากนี้ลูกต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ในแบบที่กานต์เคยเชื่อมั่น ว่าหนูเข้มแข็งพอที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง”

นารากอดพวกเขาไว้แน่น น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงลงบนมือทั้งสองข้างที่โอบเธอไว้

หัวใจของเธออาจแตกร้าว แต่ก็ยังมีอ้อมแขนของครอบครัวที่ยังรักเธอไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

 

หลังจากพิธีฌาปนกิจจบลง ผู้คนค่อย ๆ ทยอยกลับ

เหลือเพียงเธอกับความเงียบ และกรอบรูปที่ตั้งนิ่งอยู่บนฐานดอกไม้

“ฉันยังอยู่ แต่คุณไม่อยู่แล้ว…”

คำพูดของเธอเบาเกินกว่าจะได้ยิน แต่หนักแน่นเกินกว่าจะลืม

 

.................

 

สองสัปดาห์ผ่านไป วังวนของความเศร้ายังคงโอบล้อมหัวใจของนาราไว้แน่น

แต่เธอไม่มีเวลาจะล้มลงซ้ำ

เพราะธุรกิจของครอบครัวของกานต์ยังต้องเดินต่อ

วรเมธินทร์กรุ๊ปเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเธอ

แม้จะไม่ได้ใช้เลือดเนื้อสร้างมันขึ้นมา แต่ทุกก้าวที่เธอเติบโต ก็คือทุกก้าวของบริษัทนี้เช่นกัน

 

 

นาราหวนคิดถึงอดีต ห้าปีก่อนหน้านี้

 

“คุณพ่อกับคุณแม่วางแผนจะเปิดสาขาห้างใหม่ที่เชียงใหม่” นาราวัยยี่สิบต้น ๆ เอ่ยขณะยื่นแผนธุรกิจให้กานต์

 

“แล้วเธอคิดว่ายังไง” เขาถามทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากภาพวาดตรงหน้า

 

“ฉันว่ามันเสี่ยง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่มั่นใจฉันก็พร้อมสนับสนุน ในฐานะผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ที่สวยและเก่งที่สุดในแวดวงธุรกิจ” เธอพูดอย่างติดตลก

 

กานต์วางพู่กันลง มองเธอด้วยแววตาเอ็นดู “เธอไม่ได้เป็นแค่คนในทีมธุรกิจนะ นารา เธอคือคนสำคัญของบ้านนี้”

 

“ก็เพราะคุณพูดแบบนี้ ฉันถึงพยายามให้มากขึ้นทุกวัน”

 

เขายิ้ม พลิกกระดาษที่วาดเป็นรูปหน้าของเธอเทียบกับใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า

กานต์ใช้นิ้วจิ้มที่หว่างคิ้วของนารา แล้วเคลื่อนลงมาที่ปลายจมูกพร้อมกับเคาะเบาๆ สองสามครั้ง อย่างที่เคยทำเป็นประจำ

“ผมไม่ได้พูดให้เธอทำงานเก่งขึ้นนะ ผมพูดเพราะ...เธอเก่งอยู่แล้ว แต่ความสวย เอ่อ......” กานต์ทิ้งช่วงคำพูดแล้วแสร้งกลับไปวาดภาพต่อ

 

"กานต์! นี่! คุณหมายความว่ายังไง" นาราได้ยินคำพูดนั้นก็ทำตาโตพร้อมเข้าไปตีที่หลังเขาเบา ๆ หนึ่งที

 

"โอ๊ย! ผมเจ็บนะนารา" ชายหนุ่มแสร้งร้องแล้วขำออกมา

 

"ฉันตีเบา ๆ เอง คุณนี่ก็แสดงเก่งเกินไปแล้ว" นาราเอ่ยอย่างเง้างอน เธอยืนกอดอกมองค้อนเขา "ทีคุณยังว่าฉันไม่สวยเลย"

 

"ผมยังไม่ได้พูดว่าคุณไม่สวยเลยสักคำนะ ผมจะบอกว่า คุณไม่ใช่แค่สวยแต่คุณยังสง่างาม เด็ดเดี่ยว แล้วก็เข้มแข็งมากกว่าใคร ๆ"

เขาพูดพร้อมกับยืนขึ้นแล้วโอบกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง "ที่สำคัญ คุณยังเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด เพราะมีผู้ช่วยและกำลังใจจากผู้ชายที่รักคุณที่สุดคนนี้เสมอ"

พูดจบเขาก็ประทับจมูกลงบนพวงแก้วที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอายของนารา

 

กานต์ไม่ได้ชอบธุรกิจ เขาชอบงานศิลปะ ชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่วุ่นวายกับตัวเลข

แต่เขากลับเข้าใจทุกสิ่งที่นาราทำ และเลือกยืนอยู่ข้างเธอเสมอ

เขาไม่ใช่ผู้นำแบบที่ใครคาดหวัง

แต่เขาเป็น ‘แรงสนับสนุน’ ที่แข็งแรงที่สุดของเธอ

 

...............

 

ปัจจุบัน

นารานั่งอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท

ไม่มีเสียงของกานต์ ไม่มีรอยยิ้มที่เคยนั่งข้างเธอ

มีเพียงรายงานตัวเลข และบรรยากาศที่เงียบจนคนรู้สึกไม่คุ้นชิน

 

“เราต้องรีบควบคุมความเสียหายจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลนะคะคุณนารา” เสียงของอรดา เลขาคนสนิทของเธอดังขึ้นทำลายความเงียบลง

 

นาราพยักหน้าช้า ๆ “ขอบคุณที่ดูแลระหว่างฉันพักฟื้นนะอรดา ฉันจะรับช่วงต่อจากนี้เอง”

 

อรดาชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณนารา ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ค่ะ คุณเพิ่งเสีย...”

 

“แต่บริษัทนี้ยังอยู่ และฉัน...ยังมีสัญญาที่ให้ไว้กับกานต์”

เสียงเธอเรียบ แต่หนักแน่น

ไม่มีน้ำตา ไม่มีรอยสั่นสะท้าน

มีเพียงความแน่วแน่ที่เคยเป็นเสาหลักของวรเมธินทร์กรุ๊ปมาตลอด

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 145 ค่ำคืนแห่งชั่วนิรันดร์

    “เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 144 นึกว่าเธอหานงยสาบสูญไปแล้ว

    วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 143 กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงาน

    คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 142 เรือนหอ

    ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 141 ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ

    เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 140 มันจะไม่หยุดแค่เรื่องข่าวหรือธุรกิจ

    คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status