ในมุมหนึ่งของห้อง
กรอบรูปขาวดำตั้งอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะทำงานของกานต์ นาราหันไปมองแวบหนึ่ง แม้ว่าวันนี้โต๊ะทำงานข้าง ๆ เธอ จะไม่มีกานต์ สามีอันเป็นที่รักของเธอนั่งอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังคงปล่อยให้โต๊ะตัวนั้นตั้งอยู่ที่เดิม เธอคิดเสมอว่าเขายังคงอยู่เคียงข้างเธอ ไม่เคยจากเธอไปไหน และในหัวใจของเธอยังมีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาเบา ๆ “แม้ว่าจะเจอเรื่องอะไรอย่ากังวล ผมจะอยู่ข้างคุณเสมอ” คิดถึงวันที่เขาเคยอยู่กับเธอ ไม่ว่าเธอจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ถาถมมามากมายเพียงไหน กานต์จะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ และจะพูดประโยคนี้กับเธอทุกครั้งที่เธอรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่ต้องเผชิญ ขอแค่มีเขา เธอก็ไม่เคยหวาดกลัวต่ออุปสรรคใด ๆ ทั้งนั้น เช้าวันใหม่มาถึงโดยไม่มีเสียงปลุกจากคนที่เธอเคยตื่นมาเจอทุกวัน นารายังคงต้องลุกขึ้นมาทำงานด้วยความรู้สึกที่ขาดหาย โต๊ะไม้สีเข้มยังคงวางอยู่ที่เดิม กองเอกสารงานด้านการออกแบบที่กานต์ดูแลยังคงวางอยู่บนนั้น ปลายนิ้วไล้ลงไปบนเส้นดินสอที่ยังมีเศษฝุ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ ลมหายใจสั้นลงอย่างไม่รู้ตัว นี่คือภาพเครื่องประดับที่เขาวาดไว้ล่าสุด เขาเคยบอกว่า...เขากำลังจะออกแบบชิ้นงาน ที่ได้แรงบันดาลใจจากหญิงสาวคนหนึ่งที่สำคัญกับชีวิตของเขามาก ....... ภาพความทรงจำเมื่อหกปีก่อนย้อนหวนคืนมาอีกครั้ง นารายืนอยู่บนเวทีเล็ก ๆ ในงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของวรเมธินทร์กรุ๊ป เธอจับไมโครโฟนแน่น ใจเต้นแรงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอในวัยเพียงยี่สิบสองปี ได้ขึ้นพูดในฐานะผู้นำโปรเจกต์ “สู้ ๆ นะ” กานต์กระซิบจากข้างเวที เธอหันไปสบตาเขา เพียงรอยยิ้มและการพยักหน้าจากเขา ก็เหมือนเธอได้แบตเตอรี่สำรองเต็มกำลัง เธอก้าวออกไปสู่เวทีนั้นอย่างมั่นใจ เพราะเธอรู้ ไม่ว่าใครจะอยู่ตรงหน้า ‘คนข้างหลัง’ ของเธอก็ยังอยู่ที่เดิม เสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าห้องทำงานดึงเธอออกมาจากความทรงจำในอดีต อรดาเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “คุณนารา...มีนักลงทุนกลุ่มใหม่จากต่างประเทศขอนัดประชุมด่วนค่ะ พวกเขาอยากหารือเรื่องการร่วมทุนต่อหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” นาราหันไปมองภาพกานต์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาเธอยังแดง แต่แววตานิ่งและมั่นคง “บอกพวกเขาให้รอฉันสิบห้านาที” เสียงของเธอไม่ได้แข็ง แต่แน่นพอจะปกป้องทุกสิ่งที่เขาเคยทิ้งไว้ “เรื่องข้อมูลรั่วไหล จัดการไปถึงไหนแล้ว” อรดาที่กำลังตรวจเอกสารเตรียมการประชุมอยู่เงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “จัดการเรียบร้อยแล้วค่ะคุณนารา เราได้ว่าจ้างทีมโปรแกรมเมอร์ชุดใหม่ที่คุณนาราเคยแนะนำ ให้เข้ามาดูแลระบบทั้งหมด พวกเขาอัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยใหม่เสร็จสิ้นแล้ว และตอนนี้สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ในระดับที่มั่นใจค่ะ” นาราพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาไล่อ่านรายงานเบื้องหน้าท่ามกลางความเงียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แล้วสาเหตุล่ะ…รู้หรือยังว่าเกิดจากอะไรแน่” อรดาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงแผ่วลง “ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดค่ะ ว่าเป็นการเจาะระบบจากบริษัทคู่แข่ง หรือเกิดจากคนในที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ทีมตรวจสอบกำลังเร่งหาหลักฐานเพิ่มเติมอยู่” นาราเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาทอดมองออกไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างคล้ายกำลังไตร่ตรองบางสิ่ง “ให้ติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด แล้วส่งรายงานทุกความเคลื่อนไหวมาให้ฉันทุกสัปดาห์ อย่าให้ใครเข้ามาแตะข้อมูลสำคัญได้อีกแม้แต่นิดเดียว เข้าใจไหม” “เข้าใจค่ะคุณนารา” อรดารับคำทันที หากแต่ในดวงตากลับมีแววบางอย่างที่ไม่อาจเดาได้ชัดนัก หลังจากจัดการสั่งงานเสร็จ นาราลุกขึ้น เดินไปหยิบเข็มกลัดโลโก้บริษัทติดหน้าอก สูดลมหายใจลึก และยืดหลังตรงเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมร่วมลงทุนครั้งนี้ เธอคิดเสมอว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันคือสิ่งที่เธอและกานต์ “ร่วมสร้าง” มาด้วยกัน ก่อนก้าวออกจากห้อง เธอหันกลับไปมองโต๊ะทำงานของเขาอีกครั้ง กระซิบเบา ๆ ราวกับเขายังนั่งอยู่ตรงนั้น “ฉันจะทำให้ทุกอย่างที่เราวางไว้ เดินหน้าต่อไปให้ได้” ................ ผ่านมาราวสองอาทิตย์ ในช่วงบ่ายของวันหยุดบริษัท นารากลับมายังบ้านหลังเก่า บ้านที่เธอกับกานต์เคยใช้ชีวิตเติบโต และร่วมสร้างความฝันไว้ด้วยกัน บ้านหลังเก่าเงียบราวกับชีวิตที่ไร้ลมหายใจ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงพู่กัน ไม่มีแม้กระทั่งคำทักทายที่เธอเคยได้ยินจากเขาทุกเช้า มีเพียงความว่างเปล่าที่สะท้อนเสียงหัวใจของเธอชัดเจนจนเกินไป เธอเดินไปยังห้องทำงานของกานต์ โต๊ะไม้สีเข้มยังคงอยู่ที่เดิม สมุดสเก็ตช์เล่มเก่าวางเปิดค้างไว้ที่ภาพเจ้าสาวในชุดสีขาว รอยยิ้มของเธอในภาพนั้นงดงามและเขินอาย เธอยังจำได้ดี ภาพนี้เป็นภาพที่กานต์วาดให้เธอในวันที่ไปลองชุดแต่งงาน ในตอนนั้นเขาบอกกับเธออย่างเย้าหยอกว่า ภาพถ่ายพรีเวดดิ้งจากช่างภาพอันดับหนึ่งของโลก ก็สวยไม่เท่ากับภาพวาดนาราที่มาจากฝีมือของเขา เธอหวนคิดพลางยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่ เจ็บปวดใจต่อผู้พบเห็น ขณะเธอกำลังจะวางสมุดกลับเข้าลิ้นชัก สายตาก็สะดุดเข้ากับซองจดหมายซ่อนอยู่ข้างใต้ กระดาษสีขาวสะอาด เขียนด้วยลายมือที่เธอจำได้ดี เธอยังจำได้ในคืนวันแต่งงาน กานต์เคยบอกกับเธอว่าหลังจากแต่งงานแล้วเขามีบางอย่างจะเซอร์ไพรส์เธอ แต่เขาไม่ได้บอกว่าคืออะไร เพียงแต่ในเวลานี้ไม่ว่าจะเซอร์ไพรส์แบบไหนก็คงจะไม่สามารถทำให้นาราดีใจได้ เท่ากับการที่ผู้ชายที่เธอรักกลับมาอยู่กับเธอได้อีกครั้ง เธออ่านข้อความบนซองจดหมายนั้น > “ถึง นารา” มือเธอสั่น ค่อย ๆ แกะซองออก ในนั้นมีเพียงกระดาษแผ่นเดียว กับลายมือที่อบอุ่นจนหัวใจสั่นไหว > นาราที่รักของผม ถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ แปลว่าเรากลายเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้วสินะ ผมมีเรื่องเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้บอกคุณ ผมจองทริปฮันนีมูนไว้แล้ว เราจะไปอิตาลี เมืองชายฝั่งอมาลฟีที่เงียบสงบและมีแสงแดดอุ่น ๆ ตลอดวัน ผมอยากให้คุณได้พัก ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่รวมถึงหัวใจ คุณไม่ชอบความเซอร์ไพรส์ แต่ครั้งนี้ ผมขอเอาชนะคุณสักครั้งนะ – กานต์ – (ปล. เปิดกระเป๋าเดินทางในตู้เสื้อผ้าดูนะ ผมแพ็คของไว้ให้แล้ว) นาราวางจดหมายลงช้า ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาว น้ำตาไหลเงียบ ๆ โดยไม่มีเสียงสะอื้น เธอก้มหน้าซบเข่า ร้องไห้เหมือนหัวใจถูกบีบแน่นอยู่ข้างใน “ทำไม...คุณถึงไม่บอกฉันก่อน…ว่าคุณจะไป…” เสียงเธอเบาและขาดห้วง เธอนั่งอยู่แบบนั้นนาน จนเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากหน้าประตู “นารา…” คุณพิรัชต์ และ คุณบงกช ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยและเหนื่อยล้า เมื่อเห็นเธอนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง คุณบงกชรีบเดินเข้ามากอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนที่อ่อนโยนและปลอดภัย “ร้องออกมาเถอะลูก…อย่าเก็บไว้อีกเลย” นาราซบลงกับบ่า ราวกับรออ้อมแขนนั้นมาตลอด “แม่คะ…เขารู้ไหมว่าเขาจะไม่อยู่กับเราแล้ว…” คุณบงกชลูบหลังเธอช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่ไม่รู้หรอก…แต่แม่เชื่อว่า เขาไปอย่างหมดห่วง เพราะเขารู้ว่าลูกรักเขามาก และลูกเข้มแข็งพอจะยืนอยู่ได้ แม้ไม่มีเขาอยู่ข้าง ๆ” คุณพิรัชต์ เดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ดวงตาของชายผู้เป็นเสาหลักครอบครัวสั่นไหวในแบบที่นาราไม่เคยเห็นมาก่อน “คืนวันแต่งงาน เราสองคนถูกเรียกตัวไปดูงานด่วนที่ญี่ปุ่น เป็นโครงการใหญ่ที่รอเซ็นสัญญา พ่อกับแม่จึงจำเป็นต้องบินไปคืนนั้น เราคิดว่าแค่สองสามวันก็จะกลับมา แล้วค่อยฉลองกันอีกครั้ง…” เขาชะงัก สูดลมหายใจ “แต่พอเครื่องลง...เราก็ได้รับข่าว ว่าเกิดอุบัติเหตุคืนนั้นเอง” คุณบงกชพูดต่อทั้งน้ำตา “แม่อยากกลับมาทันที แต่ช่วงนั้นพายุเข้า ไม่มีเที่ยวบินกลับเลย แม่เจ็บที่สุด...ไม่ใช่แค่เสียลูก แต่ไม่ได้แม้แต่จะบอกลาลูกชายตัวเอง” นารายกมือจับแขนคุณบงกชแน่น เสียงเธอสั่น แต่แววตาเริ่มนิ่งขึ้น “หนูก็ไม่ทันได้บอกลาเขาเหมือนกันค่ะ… แค่จะบอกว่า ‘ขอบคุณ’ …ก็ยังไม่ทันเลย” คุณพิรัชต์พยักหน้า “แต่เขารู้ พ่อมั่นใจ เพราะสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ลูก ไม่ใช่แค่จดหมาย แต่คือหัวใจ ความรัก และความฝันทั้งหมดที่พวกลูกทั้งสองสร้างร่วมกัน” คุณบงกชจับมือเธอไว้แน่น “แม่ไม่อยากให้หนูแบกรับทุกอย่างคนเดียว แต่แม่อยากให้หนูรู้ว่า สิ่งที่หนูกับกานต์สร้างมาด้วยกัน ไม่ควรหายไปพร้อมกับเขา” นาราหลับตา สูดหายใจลึก เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตานั้นไม่ใช่ของผู้หญิงที่พังทลายอีกต่อไป แต่คือของผู้หญิงที่พร้อมจะลุกขึ้น แม้หัวใจจะยังแตกอยู่ก็ตาม “หนูจะดูแลทุกอย่างแทนเขา ไม่ใช่เพราะหนูต้องทำ แต่เพราะหนูอยากทำ...เพื่อเขา” คุณพิรัชต์ยิ้มบาง ๆ “นั่นแหละ...คือนาราของกานต์” ............ วันต่อมา นารายืนหน้ากระจกในห้องทำงานของตัวเอง เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่ยืนหน้าห้อง ICU อีกแล้ว เธอคือผู้หญิงที่เสียคนรัก แต่ยังเลือกจะรักในสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ เธอแตะแก้มตัวเองเบา ๆ ก่อนกระซิบกับเงาสะท้อนในกระจก “ฉันจะรักษาทุกอย่าง...ทั้งในนามของฉันและของคุณ” เสียงข้อความแจ้งเตือนดังขึ้นในมือถือ หน้าจอแสดงชื่อบริษัทลงทุนใหม่: เดชาสกุลวงศ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ชื่อที่คุ้นหู แต่ห่างไกลจากใจเธอเหลือเกิน นารามองชื่อบริษัทนั้นอยู่ครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด ... ค่ำวันเดียวกัน ที่มุมหนึ่งของเมือง อรดานั่งอยู่ในรถยนต์ เปิดมือถือรับข้อความที่เพิ่งเข้า > “ถึงเวลาแล้ว เริ่มขั้นตอนต่อไป” “เดชาสกุลวงศ์ จะถือหุ้นหลักให้คุณ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย” อรดากดโทรออกไปยังเบอร์ลับ เสียงของเธอเย็นเยียบ “ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน นารายังไม่รู้ว่าเธอไม่ได้แค่เสียสามี แต่กำลังจะเสียทุกอย่างที่เหลืออยู่ในมือ” ปลายสายพูดบางอย่าง อรดาแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบช้า ๆ “อีกไม่นานค่ะ เธอจะล้ม และฉันจะเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงที่เธอเคยยืน”แสงแดดยามสายส่องลอดม่านหน้าต่างกระจกของห้องประชุมใหญ่ บรรยากาศเงียบขรึมถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาเงินของผนังและโต๊ะไม้โอ๊กขัดเงาริมหน้าต่างเผยให้เห็นภาพเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ เลือนรางหลังม่านบางๆ ให้ความรู้สึกทั้งเปิดเผยและปกปิดในคราวเดียวกัน นารานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ดวงตาคมสบมองแผ่นกระดาษเอกสารเบื้องหน้า ท่ามกลางความเงียบงันของช่วงต้นการประชุม ที่ทุกคนต่างกำลังจับจ้องรายละเอียดบนหน้ากระดาษตรงข้ามเธอ ตัวแทนฝ่ายประสานงานธุรกิจของตระกูลเดชาสกุลวงศ์นั่งตัวตรง แววตาเชื่อมั่นหลังกรอบแว่น เขาสวมสูทเนี๊ยบสีเข้ม ด้านข้างมีผู้ช่วยหนุ่มถือแฟ้มเอกสารประกบอยู่ไม่ห่าง ส่วนทางด้านซ้ายมือของนารา อรดา เลขาคนสนิท นั่งสงบนิ่งคอยจดบันทึกตามนิสัยถี่ถ้วน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองนาราแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงดังเดิมเมื่อสบสายตาของเจ้านายสาว“ก่อนอื่น ทางเราขอขอบคุณที่คุณนาราให้เกียรติรับฟังข้อเสนอความร่วมมือในวันนี้” เสียงทุ้มนุ่มของตัวแทนดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาเผยยิ้มบางตามมารยาท พลางสบตาทุกคนในห้อง “โครงการโรงแรมและศูนย์การค้าที่เราจะร่วมกันพัฒนาครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับทั้งวรเมธินทร์กรุ๊ป และตระกูลเดชาสกุลวงศ
อรดาลอบมองสีหน้าของตัวแทนที่เริ่มเคร่งเครียดขึ้น เธอสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “คุณนาราคะ ดิฉันคิดว่าเงื่อนไขที่ทางคุณ...” เธอหันไปทางตัวแทนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตร “...ทางคุณศักดิ์ดาเสนอมา อาจจะดูเหมือนฝ่ายเราต้องรับภาระมาก แต่ถ้ามองในระยะยาว ดิฉันเห็นว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้พันธมิตรทางธุรกิจนะคะ หากโครงการสะดุด ทางเราชดเชยไปก่อนก็เพื่อให้โครงการไม่ล้ม แล้วภายหลังเมื่อโครงการเริ่มทำกำไร เราก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนมาพร้อมดอกผล ความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสองบริษัทก็จะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นด้วยค่ะ”ตัวแทนเหลือบสายตามองอรดาเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนคนได้ที ขณะที่นาราหันขวับไปมองเลขาคนสนิท แววตาฉายความประหลาดใจผสมไม่พอใจเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับเป็นเยือกเย็นเช่นเดิม เธอไม่คิดว่าอรดาจะออกหน้าสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้“อรดา” นาราเอ่ยชื่อเลขาด้วยเสียงเรียบเย็น ปราศจากสรรพนามหรือคำลงท้ายใดๆ น้ำเสียงนั้นห้วนสั้นจนอรดาสะดุ้งน้อยๆ “ฉันเข้าใจว่าเธอหวังดี แต่ขอให้จำไว้ว่าเราอยู่ฝ่ายไหน” แค่ประโยคสั้นๆ แต่ทุกคำหนักแน่นดั่งหินผาที่ตกกระทบพื้นห้
“เราจะจัดประชุมด่วนไหมคะ” อรดา ผู้ที่เป็นเลขาส่วนตัวถามเบา ๆ“ไม่ต้อง” เธอตอบเสียงแผ่ว “ให้ทุกคนพักก่อน...ฉันขอเวลาทบทวนแผนแป๊บเดียว”เธอยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงชั้นบนสุด ปล่อยให้ลมเย็นตีหน้าเบา ๆ เสียงรอบตัวเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจและเสียงในใจที่เริ่มสั่นไหวคืนนั้นเธอกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน ไฟในบ้านเปิดไว้เพียงดวงเดียว บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดิน นาราเดินไปยังชั้นหนังสือ ค่อย ๆ หยิบกรอบรูปเก่าออกมา ภาพของเธอกับกานต์ในวันเปิดโรงแรมสาขาแรก เขายิ้มแบบเดิม...รอยยิ้มที่เคยทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้นเสมอ'ถ้าวันหนึ่งเธอเจออะไรหนัก ๆ ให้คิดว่าเธอไม่ได้เดินคนเดียว' เสียงของเขาในความทรงจำเอ่ยเบา ๆ“แต่ตอนนี้ฉัน...ก็เดินคนเดียวจริง ๆ ใช่ไหม” เธอพึมพำ กอดกรอบรูปแน่น น้ำตาร่วงเงียบลงบนหลังมือคืนทั้งคืนเธอไม่ได้นอน แต่เมื่อแสงแรกของวันใหม่ส่องลอดม่านเข้ามา นาราลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ล้างหน้าแต่งตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอมองตัวเองในกระจก ดวงตายังคงแดงช้ำ แต่ภายใต้ความหม่นนั้นกลับเปล่งประกายอะไรบางอย่างเธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียง สูดลมหายใจลึก แล้วหันไปมองตารางงานที่วางอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้าง
ห้องประชุมใหญ่ของวรเมธินทร์ กรุ๊ป เงียบลงชั่วครู่หลังการสรุปผลแคมเปญใหม่ เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยพลังใจนารายืนมองทีมงานตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ เธอรู้ การตอบสนองของลูกค้าและสื่อคือก้าวแรกของชัยชนะ แต่ศึกที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น“ขอบคุณทุกคนมากค่ะ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะเว้นช่วงเล็กน้อย “ตอนนี้ให้ทุกคนกลับไปพักก่อนนะคะ พรุ่งนี้เรามีขั้นต่อไปที่ต้องเตรียมพร้อมกัน”ทีมงานทยอยออกจากห้องประชุมก่อนที่ศิตาจะเดินตามคนอื่นออกไป นารากลับเอ่ยเรียกขึ้นเบา ๆ“พี่ศิตาคะ...อยู่คุยกับฉันสักครู่ได้ไหม”ศิตาหยุดฝีเท้า หันมาพยักหน้า แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ใกล้นาราอีกครั้ง“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณนารา?” เธอถามเบา ๆ พลางมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวตรงหน้านาราเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะวางเอกสารในมือลง“ฉันอยากให้พี่ช่วยตรวจสอบข้อมูลการเข้าถึงทุกอย่างของแคมเปญที่เราเคยประชุมไว้ก่อนเปิดตัวค่ะ”ศิตาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายถึง...การเข้าถึงไฟล์ทั้งหมด?”นาราพยักหน้า “ไฟล์ร่าง แนวคิดที่ใช้ตอนประชุมเบื้องต้น วันเวลา รายชื่อคนที่เข้าถึงข้อมูล ทุกอย่างเลยค่ะ”“ค่ะ...ไม่มีปัญหาเลย” ศิตาต
นาราเตรียมของที่จะไปทำบุญ เธอเดินออกจากบ้านมาที่จุดจอดรถ ลุงอำนวยคนขับรถที่ดูแลกานต์กับนารามาตั้งแต่วัยเด็ก ยังคงยืนรอเพื่อทำหน้าที่รับส่งนาราอย่างซื่อสัตย์ สำหรับครอบครัวของพวกเขา ลุงอำนวยไม่ใช่แค่คนขับรถ แต่เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่คอยดูแลพวกเขามาตลอดหลายปี "ลุงอำนวยคะ วันนี้เราไปทำบุญให้กานต์ด้วยกันนะคะ หนูเตรียมของทำบุญกับดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ลุงแล้วค่ะ" นารายิ้มพร้อมกับยื่นของให้ลุงอำนวย ลุงอำนวยรับของมาใส่ไว้ที่ท้ายรถ ด้วยท่าทีที่นอบน้อมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด "ครับคุณนารา นี่ก็ร้อยวันแล้ว ที่คุณกานต์เค้าจากไป...." คำพูดที่ต้องการจะเอ่ยถูกกลืนลงไปพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา "ทิ้งให้คนแก่อย่างลุงต้องเป็นฝ่ายทำบุญไปให้ ไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริง ๆ " นาราทำได้เพียงกล่าวปลอบใจญาติผู้ใหญ่ของเธอคนนี้ เธอเข้าใจความรู้สึกของลุงอำนวยเป็นอย่างดี ว่าเขาเองก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ จากการสูญเสียบุคคลที่รักดุจหลายชายแท้ ๆ ไป หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทำบุญครบร้อยวันให้กับกานต์แล้ว นารา คุณพิรัชต์ และคุณบงกช ก็พากันมาตรงที่เก็บอัฐิ ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หน้าที่เก็บอัฐิของกานต์ คุณพิรัชต์และคุณบงกชยืน
หลังผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต ทั้งเรื่องราวในชีวิตและการบริหารธุรกิจที่รุมเร้าเหมือนพายุ วรเมธินทร์ กรุ๊ป กลับมาเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้งนารารับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ ในการจัดประมูลเครื่องประดับเพื่อการกุศล รายได้ทั้งหมดจะถูกนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว ในเขตกรุงเทพฯ และภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดโครงการนี้ไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะองค์กรที่มีหัวใจ หากยังทำให้นาราได้กลับมามองตัวเองอีกครั้ง ว่าเธอ…ยังมีคุณค่าในแบบที่กานต์เคยเชื่อเสมอหอประชุมใหญ่ภายในสำนักงานใหญ่ของวรเมธินทร์ เวลานี้คึกคักไปด้วยตัวแทนและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจากหลากหลายแห่งที่ได้รับเชิญมาร่วมประชุม หัวข้อในวันนี้คือการจัดสรรเงินสนับสนุนและการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ในพื้นที่เสี่ยงภัยหลังการประชุมสิ้นสุดลง คุณหมอวรัตถ์ ศัลยแพทย์ผู้ดูแลกานต์ในวินาทีวิกฤตช่วงสุดท้ายของวีวิต เดินตรงเข้ามาทักนาราด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น"สวัสดีครับคุณนารา ดีใจที่ได้พบกับคุณอีกครั้งนะครับ ช่วงนี้อาการป่วยหายดีแล้วใช่ไหมครับ"นารามองไปยังที่มาของเสียง แล้วกล่าวทักทายคุณหมอวรัตถ์อย่างคนคุ้นเคย “สวัสดีค่ะ
หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันงานประมูล นารายังคงมาทำงานแต่เช้าตรู่ แสงแดดอ่อนแรกลอดผ่านผ้าม่านในห้องทำงาน เธอนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้เนื้อดี สายตาพินิจแฟ้มข้อมูลที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่คืนก่อนเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะคุ้นเคย ก่อนพี่ศิตาจะก้าวเข้ามาอย่างสุภาพ พร้อมวางแฟ้มเอกสารปิดสนิทลงตรงหน้าเธอ“เรื่องที่คุณนาราให้ฉันตรวจสอบ มีความคืบหน้าแล้วค่ะ”นาราเงยหน้าขึ้น สบตากับผู้ช่วยที่เธอไว้วางใจ “มีอะไรที่เราควรกังวลหรือเปล่าคะ”พี่ศิตานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “อาจจะ...มีมากกว่าที่เราคิดไว้ค่ะ”ไม่มีคำถามซักต่อ ไม่มีการอธิบายรายละเอียดในตอนนั้น นาราเพียงพยักหน้าช้า ๆ ราวกับเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติมเงาของความเงียบยังคงทอดยาวอยู่ในห้อง เหมือนกับบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนไป......ยามบ่ายในอีกมุมหนึ่งของอาคาร คีรณัฐกำลังจัดวางแบบจำลองของพื้นที่แสดงเครื่องประดับอยู่ในห้องจัดนิทรรศการ แสงไฟสลัวกระทบกับเส้นสายที่เขาร่างไว้บนโต๊ะราวกับศิลปะที่มีชีวิต“คุณคีรณัฐ ดูเหมือนงานจะคืบหน้าเร็วเลยนะคะ” เสียงของนาราดังขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้องเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ยังไม่ถึงครึ่งที่คิด
แสงแดดอุ่นคลี่ตัวลงบนพื้นผิวของอาคารจัดแสดงนิทรรศการที่ถูกเนรมิตขึ้นอย่างวิจิตร ภายในห้องโถงหลัก ทีมงานต่างขะมักเขม้นตรวจความเรียบร้อยอย่างเงียบงัน ท่ามกลางความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในความเรียบหรูนาราเดินตรวจพื้นที่ด้วยสายตาที่แน่วแน่ ไม่หลุดโฟกัสแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยของแสง เวที หรือกรอบโชว์เครื่องประดับ พรุ่งนี้คือวันจริง และเธอรู้ดีว่าทุกอย่างจะต้องไร้ที่ติขณะเดียวกัน พราวฟ้าปรากฏตัวในชุดฝึกซ้อมที่ตัดเย็บอย่างเรียบโก้ ผ้าเนื้อดีพลิ้วไหวไปตามจังหวะการก้าวเดิน เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างหลวม ๆ เผยลำคอระหงและแววตาที่เจิดจรัสด้วยประกายของหญิงสาวที่มั่นใจในความงามในตัวเองแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านกระจกสูงสะท้อนแสงกระทบพื้นหินอ่อนเงาวับ เก้าอี้จัดเรียงตามแนวเวทีอย่างประณีต กล่องประดับเพชรหลักยังคงวางเด่นอยู่กลางโถงใต้แสงไฟไลต์เฉพาะจุดราวกับราชินีผู้สง่างามเสียงดนตรีจำลองที่เปิดเบา ๆ ในห้องโถง เริ่มคลี่คลายความเงียบงัน ทีมงานทยอยเข้าประจำตำแหน่ง ขณะที่พราวฟ้าก้าวออกไปยังกลางเวที เธอหมุนตัวอย่างงดงามแบบนางงามสองรอบเต็ม ก่อนหยุดโพสด้วยท่วงท่าสง่างาม มือหนึ่งแตะแผ่วเบาที่สร้อยคอ อีกมือแตะสะโพกอย่าง
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย