หน้าหลัก / โรแมนติก / ในเงาของหัวใจ / บทที่ 9 หัวใจที่ยังคงเต้นอยู่

แชร์

บทที่ 9 หัวใจที่ยังคงเต้นอยู่

ผู้เขียน: แพรวรุณ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-14 13:58:38

หลังผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต ทั้งเรื่องราวในชีวิตและการบริหารธุรกิจที่รุมเร้าเหมือนพายุ วรเมธินทร์ กรุ๊ป กลับมาเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง

นารารับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ ในการจัดประมูลเครื่องประดับเพื่อการกุศล รายได้ทั้งหมดจะถูกนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว ในเขตกรุงเทพฯ และภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

โครงการนี้ไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะองค์กรที่มีหัวใจ หากยังทำให้นาราได้กลับมามองตัวเองอีกครั้ง ว่าเธอ…ยังมีคุณค่าในแบบที่กานต์เคยเชื่อเสมอ

 

หอประชุมใหญ่ภายในสำนักงานใหญ่ของวรเมธินทร์ เวลานี้คึกคักไปด้วยตัวแทนและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจากหลากหลายแห่งที่ได้รับเชิญมาร่วมประชุม หัวข้อในวันนี้คือการจัดสรรเงินสนับสนุนและการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ในพื้นที่เสี่ยงภัย

 

หลังการประชุมสิ้นสุดลง คุณหมอวรัตถ์ ศัลยแพทย์ผู้ดูแลกานต์ในวินาทีวิกฤตช่วงสุดท้ายของวีวิต เดินตรงเข้ามาทักนาราด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น

"สวัสดีครับคุณนารา ดีใจที่ได้พบกับคุณอีกครั้งนะครับ ช่วงนี้อาการป่วยหายดีแล้วใช่ไหมครับ"

 

นารามองไปยังที่มาของเสียง แล้วกล่าวทักทายคุณหมอวรัตถ์อย่างคนคุ้นเคย “สวัสดีค่ะคุณหมอ ฉันก็ดีใจที่ได้เจอคุณหมอค่ะ”

"ตอนนี้สภาพร่างกายโดยรวม ถือว่าหายดีเป็นปกติแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณหมอที่ยังเป็นห่วง" เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

 

หมอวรัตถ์หยิบซองเอกสารส่งให้เธอ “ผมตั้งใจเอามาให้คุณโดยเฉพาะ เป็นข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะของคุณกานต์ครับ”

 

นารารับไว้ เปิดอ่านอย่างช้า ๆ ก่อนหน้านี้เธอรู้ดีว่ากานต์ได้ทำการยื่นเจตจำนงค์ ที่จะบริจาคอวัยวะหลังจากที่เขาเสียชีวิต

 

“หัวใจของเขา...ได้รับการปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยรายหนึ่งที่อยู่ในภาวะวิกฤตเฉียบพลัน แม้จะยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยว่าเป็นใคร แต่ก็บอกได้ว่าสภาพร่างกายของผู้รับมีการตอบสนองที่ดี และหัวใจของคุณกานต์ ยังคงเต้นอยู่ในร่างใครบางคนบนโลกนี้”

 

น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาบนดวงตาโดยไม่รู้ตัว เธอกัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงสะอื้น “ขอบคุณค่ะหมอ ที่ไม่ลืมเขา”

 

“เขาเป็นคนที่น่าจดจำครับ และคุณ...ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นลุกขึ้นได้เหมือนกัน”

 

...

 

ภายในบริษัท วรเมธินทร์ กรุ๊ป กำลังเตรียมงานใหญ่สำหรับการประมูลเครื่องประดับ นาราได้รับคำแนะนำจากพันธมิตรใหม่ ให้เชิญนักออกแบบอิสระชื่อดังเข้ามาร่วมงาน ในฐานะที่ปรึกษาด้านศิลป์และงานออกแบบเครื่องประดับ

 

เขาชื่อ "คีรณัฐ"

 

ชายหนุ่มผู้มากับบุคลิกสงบนิ่ง แววตาจับสังเกต และมีเสน่ห์ในคำพูด เขาไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้งที่พูด...มักแทงใจดำคนฟังได้อย่างแม่นยำ

คีรณัฐเริ่มเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับนารา ช่วยดูแลขั้นตอนการคัดเลือกชิ้นงาน ออกแบบเวที ไปจนถึงการจัดแสดง

 

ภายในห้องออกแบบซึ่งตกแต่งด้วยแสงอบอุ่นและกลิ่นไม้หอมจาง ๆ คีรณัฐกำลังยืนพินิจแบบจำลองเวทีแสดงเครื่องประดับอย่างตั้งใจ

 

เสียงฝีเท้าของนาราเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนเธอจะทักเบา ๆ

“คุณคีรณัฐ กำลังคิดอะไรอยู่เหรอคะ”

 

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “ผมกำลังคิดว่า...ถ้าเราทำให้เวทีหลักเป็นเหมือน ‘กล่องแห่งความทรงจำ’ ที่เมื่อเปิดออก แสงจากด้านในจะส่องประกายออกมา อาจจะสื่อสารได้มากกว่าการโชว์เครื่องประดับธรรมดา”

 

นาราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “กล่องแห่งความทรงจำ...?”

 

“ใช่ครับ” เขาพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย “เพราะผมเชื่อว่าเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง จะมีค่าก็ต่อเมื่อมันผูกพันกับเรื่องราวของใครบางคน เมื่อเราเปิดกล่องออกมา ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนกำลังเปิดบทตอนหนึ่งของชีวิตตัวเอง”

 

นารายิ้มบาง ๆ ดวงตาเธอเริ่มฉายแววซาบซึ้ง “แนวคิดของคุณ มันอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้มากเลยนะคะ”

 

คีรณัฐยิ้ม ไม่พูดอะไรในทันที ก่อนจะถามต่อด้วยเสียงนุ่ม

“คุณนาราเคยมีของชิ้นหนึ่งไหมครับ ที่คุณเก็บไว้ ไม่ใช่เพราะมันมีราคาสูง...แต่เพราะมันเคยอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ?”

 

นาราเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “มีค่ะ...และฉันคิดว่าฉันไม่มีทางลืมช่วงเวลานั้นอย่างแน่นอน”

นาราเอ่ยตอบ พลางลูบไล้แหวนเพชรขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป บนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

 

“นั่นแหละครับ” เขาตอบเบา ๆ “เราจะทำให้ผู้ชมทุกคนรู้สึกแบบเดียวกัน”

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปยังแบบร่างในมือ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณนาราคิดว่า ทองคำขาวหรือโรสโกลด์ เหมาะกับหัวข้อ ‘ศรัทธาแห่งการฟื้นคืน’ มากกว่ากันครับ”

 

“โรสโกลด์ค่ะ” เธอยิ้มบาง ๆ “มันมีความอบอุ่นในตัว เหมือนความหวังที่ยังไม่เคยหายไป”

 

เขาเพียงพยักหน้า แต่แววตากลับฉายแววพึงพอใจบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่า

 

...

 

อรดาเอง ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับการมาของคีรณัฐนัก เธอเคยพูดกับทีมงานว่า “ฉันไม่เข้าใจว่าคนแบบเขาจะช่วยอะไรเราได้มากนัก”

 

วันหนึ่ง ขณะทีมงานจัดเตรียมระบบแสงสีเสียงในห้องจัดนิทรรศการ

อรดาเดินเข้ามาหาคีรณัฐในห้องคนเดียว พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“คุณวางแผนจะเปลี่ยนวิธีจัดแสดงของเราอีกกี่รอบกันแน่?”

 

คีรณัฐเงยหน้าขึ้นจากแบบร่าง “แค่เท่าที่จำเป็นครับ ผมคิดว่าบางแนวคิดมันยังไม่สื่อสารความรู้สึกของผู้ชมได้ดีพอ”

 

“หรือคุณแค่อยากโชว์ความคิดตัวเอง?” อรดาหรี่ตา

 

เขายิ้มบาง “ผมเข้าใจนะ บางครั้งความคิดใหม่ ๆ ก็ทำให้บางคนรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่หน้าที่ของผมคือทำให้งานนี้ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อผม...แต่เพื่อคุณนาราและบริษัท”

 

อรดาเม้มปาก ไม่ตอบโต้อย่างทันที ก่อนจะหันหลังออกจากห้องไปเงียบ ๆ

 

สายตาของคีรณัฐยังคงจับจ้องตามแผ่นหลังของเธอ ราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง

 

...

 

คืนนั้น หลังงานประชุมและออกแบบเสร็จสิ้น นารากลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง เธอหยิบแฟ้มรายงานเก่า ๆ ขึ้นมาตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการรั่วไหลของบริษัทอีกครั้ง

บางอย่างไม่ชอบมาพากล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงเอกสารบางรายการ...ชี้ไปยังบุคคลเพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นคือ อรดา

 

ภาพอดีตหวนกลับมา

ช่วงปีสามของมหาวิทยาลัย นาราได้รับคัดเลือกให้ส่งผลงานชิ้นสำคัญเข้าร่วมประกวดในโครงการของภาควิชา

เธอตั้งใจอย่างเต็มที่ ทุ่มเททั้งวันทั้งคืนกับแบบร่างและแนวคิด จนในที่สุด ผลงานชิ้นนั้นก็สำเร็จตามแบบฉบับของเธอเอง

 

ในช่วงเวลานั้น อรดาคือเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกับนาราและพราวฟ้า

เธอเคยนำผลงานร่างไปให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มดู มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดกันบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งก็ทิ้งโน้ตงานไว้บนโต๊ะ บางครั้งก็เปิดแลปท็อปให้ดูขณะนั่งอ่านหนังสือด้วยกันที่หอสมุด

 

ในตอนนั้นอรดาไม่ค่อยออกความเห็นมากนัก เธอแค่พยักหน้า ยิ้มจาง ๆ แล้วพูดสั้น ๆ ว่า

“แนวคิดเธอลึกดีนะ...ไม่เหมือนใครเลย”

 

นาราไม่เคยคิดระแวงอะไร เธอคิดว่าอรดาเพียงแค่รับฟังเหมือนเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง

 

จนกระทั่งวันประกาศผล งานของอรดาถูกติดบอร์ดร่วมกับนักศึกษาอีกหลายคน

สายตาของนาราสะดุดกับชื่องานนั้นทันที ชื่อที่ใกล้เคียงกันเกินไป

สี เส้น และโครงเรื่องที่ถูกดัดแปลงอย่างแนบเนียน ยังไม่อาจซ่อน 'แก่น' ที่คุ้นตาของเธอได้เลย

เธอยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง หัวใจเหมือนถูกมือบางอย่างบีบเบา ๆ

มันไม่ใช่การลอกเลียนแบบโดยตรง ไม่ใช่การก็อปปี้

แต่มันคือ 'การดัดแปลง' โดยใช้ไอเดียตั้งต้นจากเธอ...เป็นของใครอีกคน

 

“บางที...เธออาจคิดเหมือนเราโดยบังเอิญ” นาราพยายามคิดในแง่ดี “หรือไม่แน่...เราอาจเปิดเผยมากเกินไปเองก็ได้…”

 

นาราเลือกจะเงียบ เพราะไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรชัดเจนพอจะพูดได้ตรง ๆ

เธอเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจลึก ๆ จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านพ้นไป พวกเธอทั้งหมดต่างก็แยกย้ายไปใช้ชีวิตนอกรั้วมหาลัย ก็คล้ายกับว่าลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปเสียแล้ว

 

 

จนวันหนึ่ง...อรดากลับมา

วันนั้นฝนตกหนัก อรดามาปรากฏตัวหน้าบริษัทพร้อมซองแฟ้มเอกสารบาง ๆ และใบหน้าที่ซูบซีด

เจ้าหน้าที่ต้อนรับโทรขึ้นมาแจ้ง นาราจึงให้เธอขึ้นมาพบที่ห้องรับรอง

 

“ขอโทษที่มาหาแบบกะทันหันนะนารา...แต่ฉันไม่มีที่พึ่งแล้วจริง ๆ แม่ป่วยหนัก ต้องใช้เงินรักษา ฉันเลยอยากขอโอกาส...แค่ทำอะไรก็ได้”

 

นารานิ่งไป เธอยังมีความรู้สึกสับสนในใจ แต่ทว่าก็ถูกความเป็นเพื่อนทำให้เธอใจอ่อน เธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเข้ามากุมมืออรดา

"ไม่เป็นไรนะอรดา ใจเย็น ๆ ก่อน ทุกอย่างมันจะดีขึ้น ฉันจะช่วยเธอเอง”

 

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่อรดากลายมาเป็น “เลขาส่วนตัว” อีกคนของเธอ

เธอเชื่อในสายตาขอความช่วยเหลือของเพื่อนเก่า เชื่อในน้ำเสียงที่สั่นไหว

เชื่อ...ว่าความผิดพลาดในวัยเยาว์เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้

แต่เวลานี้ เมื่อนารามองย้อนกลับไป

เธอเริ่มไม่แน่ใจ...ว่า 'ความช่วยเหลือ' ในวันนั้น ควรเป็นการ 'เชื่อใจ' หรือเพียงแค่ 'เห็นใจ' กันแน่

 

แสงจากโคมไฟส่องสะท้อนกรอบรูปคู่ของเธอกับกานต์ที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะทำงาน เธอมองมันอยู่นาน เหมือนจะถามความเห็นของใครบางคนในความเงียบ

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 145 ค่ำคืนแห่งชั่วนิรันดร์

    “เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 144 นึกว่าเธอหานงยสาบสูญไปแล้ว

    วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 143 กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงาน

    คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 142 เรือนหอ

    ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 141 ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ

    เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 140 มันจะไม่หยุดแค่เรื่องข่าวหรือธุรกิจ

    คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status