Home / โรแมนติก / ในเงาของหัวใจ / บทที่ 8 สัมผัสที่อบอุ่นอย่างประหลาด

Share

บทที่ 8 สัมผัสที่อบอุ่นอย่างประหลาด

last update Last Updated: 2025-04-14 12:22:32

นาราเตรียมของที่จะไปทำบุญ เธอเดินออกจากบ้านมาที่จุดจอดรถ

ลุงอำนวยคนขับรถที่ดูแลกานต์กับนารามาตั้งแต่วัยเด็ก ยังคงยืนรอเพื่อทำหน้าที่รับส่งนาราอย่างซื่อสัตย์

สำหรับครอบครัวของพวกเขา ลุงอำนวยไม่ใช่แค่คนขับรถ แต่เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่คอยดูแลพวกเขามาตลอดหลายปี

"ลุงอำนวยคะ วันนี้เราไปทำบุญให้กานต์ด้วยกันนะคะ หนูเตรียมของทำบุญกับดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ลุงแล้วค่ะ" นารายิ้มพร้อมกับยื่นของให้ลุงอำนวย

ลุงอำนวยรับของมาใส่ไว้ที่ท้ายรถ ด้วยท่าทีที่นอบน้อมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด "ครับคุณนารา นี่ก็ร้อยวันแล้ว ที่คุณกานต์เค้าจากไป...."

คำพูดที่ต้องการจะเอ่ยถูกกลืนลงไปพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา "ทิ้งให้คนแก่อย่างลุงต้องเป็นฝ่ายทำบุญไปให้ ไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริง ๆ "

นาราทำได้เพียงกล่าวปลอบใจญาติผู้ใหญ่ของเธอคนนี้ เธอเข้าใจความรู้สึกของลุงอำนวยเป็นอย่างดี ว่าเขาเองก็ต้องเศร้าโศกเสียใจ จากการสูญเสียบุคคลที่รักดุจหลายชายแท้ ๆ ไป

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทำบุญครบร้อยวันให้กับกานต์แล้ว

นารา คุณพิรัชต์ และคุณบงกช ก็พากันมาตรงที่เก็บอัฐิ

ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่หน้าที่เก็บอัฐิของกานต์ คุณพิรัชต์และคุณบงกชยืนอยู่ต่อหน้ารูปลูกชาย ทั้งสองท่านยังดูสุขุมเหมือนเดิม แต่บางสิ่งในแววตาบอกว่าวันนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับพวกเขา

นาราวางดอกกุหลาบสีขาว ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของคนทั้งคู่ลงตรงหน้าที่เก็บอัฐิ ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่รูปของเขา

ช่วงเวลาหนึ่งไม่มีใครพูดอะไร เสียงสายลมไหวผ่านยอดไม้ เสียงสวดมนต์จากโบสถ์ดังก้องอยู่ไกล ๆ ราวกับโลกทั้งใบกำลังแผ่เมตตาให้คนที่ยังอยู่

คุณพิรัชต์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เสียงทุ้มต่ำติดสั่นเล็กน้อย “พ่อยังนึกภาพไม่ได้เลยว่าวันหนึ่ง...จะต้องยืนอยู่ตรงนี้โดยไม่มีกานต์”

นาราเงยหน้าขึ้น สบตาท่าน น้ำตาไหลเงียบ ๆ โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย

“หนูเองก็เหมือนกันค่ะ” เธอพยายามยิ้ม แต่เสียงแหบพร่าจนฟังแทบไม่ออก “ทุกอย่างยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”

คุณบงกชขยับเข้ามาใกล้ กุมมือของนาราไว้แน่น “แต่ลูกยังมีชีวิตอยู่ และลูกคือความหวังของกานต์ที่เหลืออยู่บนโลกนี้นะนารา”

“แม่เองก็คิดถึงเขาอยู่ทุกวัน...” เธอพูดเสียงแผ่ว “แต่บางครั้ง...ความคิดถึงมันก็แปรเปลี่ยนเป็นแรงใจ ให้เรารู้ว่าเราต้องเดินต่อเพื่อคนที่รักเรา”

นาราซบศีรษะลงกับอกของคนที่เธอเรียกว่าแม่มาตลอดหลายสิบปี คำปลอบโยนอบอุ่นแต่แผ่วเบาที่ได้รับจากคุณบงกช ไม่ต่างจากความรักของแม่แท้ ๆ ของเธอเลย

ใต้แสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านเงาของร่มไม้ ทั้งสามคนนั่งนิ่งเงียบอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ความสูญเสียยังไม่จางหาย แต่ความรักที่หลงเหลือกลับชัดเจนมากขึ้นในทุกลมหายใจ

...

ก่อนกลับ นาราเดินออกมาคนเดียวที่ลานด้านข้างของวัด แสงแดดส่องสลัวบนทางเดินศิลา เสียงนกร้องประสานกับเสียงลม เสริมความสงบจนคล้ายกับจะตัดขาดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก

ทันใดนั้น เธอรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองมา

วูบหนึ่งในหัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด ไม่ได้เย็นชาเหมือนสายลมที่พัดผ่านร่างกายเธอไป แต่กลับคล้ายสัมผัสที่เธอเคยได้รับ…อย่างคุ้นเคยจนหัวใจสั่น

เธอหันขวับกลับไปมอง

ใต้เงาไม้ริมรั้ววัดนั้น ไม่มีใครอยู่เลย

เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ หันซ้ายหันขวา แต่ทุกอย่างเงียบสงบ เหมือนไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

นารายืนนิ่ง หัวใจยังคงเต้นช้าแต่ชัดเจน เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร...สายตาที่เธอสัมผัสได้นั้นเป็นของใคร

แต่ในใจลึกที่สุด...เธอรู้ว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง

มันคือสายตาของใครบางคน และมัน...ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองคุ้นเคยจนคล้ายกับฝันไป

เห็นท่าทีที่ไม่เป็นปกติของเธอ ลุงอำนวยก็เดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "มีอะไรหรือเปล่าครับคุณนารา"

นาราดึงสติกลับมา เอ่ยตอบเสียงเบา "ไม่มีอะไรค่ะลุงนวย เรากลับกันเถอะค่ะ เย็นมากรถจะติดเอา"

รถเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกไปพ้นจากซุ้มประตูทางออกวัด

เพียงแต่มุมหนึ่งของกำแพง มีชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีเทาที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก ได้ยืนอยู่ตรงที่ของพวกนาราเคยยืนเมื่อครู่

สายตาไม่ละจากรูปหน้าหน้าเจดีย์เก็บอัฐิ

ในแววตามีหมอกบางเคลือบคลุม ไม่ใช่เพียงความอาลัย

หากเป็นบางสิ่งที่ลึกกว่า ความรู้สึกที่เขาเก็บไว้เงียบงันด้วยเหตุผลที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

........

ข้างโต๊ะเลขาที่นั่งทำงานประจำของอรดา แสงไฟสลัวทาบเงาร่างอันบอบบางของหญิงสาว อรดายืนพิงโต๊ะ มือถือแนบหู ดวงตาแข็งกร้าวเปล่งประกายความไม่พอใจ

“แผนการครั้งนี้ไม่สำเร็จ” เธอพูดเสียงเย็น “เราวางไว้ว่า ถ้าธุรกิจของนารามีปัญหา บริษัทของพวกคุณก็จะยื่นมือเข้ามา ณ เวลานั้น เธอจะต้องยอมรับข้อเสนอทุกอย่างเพื่อรักษาบริษัทไว้...แต่นารากลับแก้เกมได้อีก”

เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายของศักดิ์ดาเอ่ยตอบกลับมา “ผมรู้แล้ว คุณอรดา แต่ตอนนี้ผมแนะนำว่าคุณอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”

“จะให้รออะไรอีก? ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เธอจะระแวงฉันมากขึ้น” อรดาเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้อมูลบริษัทเธอรั่วไหล และทุกอย่างก็โยงมาที่ฉัน”

“เพราะแบบนั้นไงผมถึงห้ามคุณไว้” ศักดิ์ดาพูดชัดถ้อยชัดคำ “อย่าให้ความใจร้อนทำให้เราพลาด แผนต่อไปอาจต้องละเอียดรอบคอบมากกว่านี้”

อรดาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบโต้ทันที

"แล้วนี่คุณโทรมาแน่ใจนะว่าไม่มีใครเห็นสังเกตเห็น" ศักดิ์ดากังวลแทนเธอ

"ไม่ต้องห่วง ฉันระมัดระวังตัวเสมอ วันนี้ครบรอบวันตายร้อยวันของกานต์ นาราออกไปทำบุญให้เขา เธอจะไม่เข้าบริษัท" อรดานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งกล่าวอย่างมั่นใจ

“ก็ดี ผมยังไม่อยากเสียสายลับทางธุรกิจฝีมือดีอย่างคุณไป"

"ระหว่างนี้คุณก็อยู่นิ่ง ๆ ไปก่อน ผมจะไปขอคำสั่งจากนายท่าน” ศักดิ์ดาทิ้งท้าย “เขาจะเป็นคนตัดสินว่าเราจะทำยังไงต่อ”

ปลายสายตัดไป เหลือเพียงความเงียบรอบตัวอรดา เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากหู วางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

ในแววตาคู่นั้น มีทั้งความขุ่นมัว ความคั่งแค้น และร่องรอยของบางสิ่งที่ลึกกว่า...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 145 ค่ำคืนแห่งชั่วนิรันดร์

    “เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 144 นึกว่าเธอหานงยสาบสูญไปแล้ว

    วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 143 กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงาน

    คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 142 เรือนหอ

    ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 141 ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ

    เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 140 มันจะไม่หยุดแค่เรื่องข่าวหรือธุรกิจ

    คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status