หน้าหลัก / โรแมนติก / ในเงาของหัวใจ / บทที่ 10 ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว

แชร์

บทที่ 10 ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว

ผู้เขียน: แพรวรุณ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-14 14:00:55

หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันงานประมูล นารายังคงมาทำงานแต่เช้าตรู่ แสงแดดอ่อนแรกลอดผ่านผ้าม่านในห้องทำงาน เธอนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้เนื้อดี สายตาพินิจแฟ้มข้อมูลที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่คืนก่อน

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะคุ้นเคย ก่อนพี่ศิตาจะก้าวเข้ามาอย่างสุภาพ พร้อมวางแฟ้มเอกสารปิดสนิทลงตรงหน้าเธอ

 

“เรื่องที่คุณนาราให้ฉันตรวจสอบ มีความคืบหน้าแล้วค่ะ”

 

นาราเงยหน้าขึ้น สบตากับผู้ช่วยที่เธอไว้วางใจ “มีอะไรที่เราควรกังวลหรือเปล่าคะ”

 

พี่ศิตานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “อาจจะ...มีมากกว่าที่เราคิดไว้ค่ะ”

 

ไม่มีคำถามซักต่อ ไม่มีการอธิบายรายละเอียดในตอนนั้น นาราเพียงพยักหน้าช้า ๆ ราวกับเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติม

เงาของความเงียบยังคงทอดยาวอยู่ในห้อง เหมือนกับบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนไป...

 

...

 

ยามบ่ายในอีกมุมหนึ่งของอาคาร คีรณัฐกำลังจัดวางแบบจำลองของพื้นที่แสดงเครื่องประดับอยู่ในห้องจัดนิทรรศการ แสงไฟสลัวกระทบกับเส้นสายที่เขาร่างไว้บนโต๊ะราวกับศิลปะที่มีชีวิต

 

“คุณคีรณัฐ ดูเหมือนงานจะคืบหน้าเร็วเลยนะคะ” เสียงของนาราดังขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้อง

 

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ยังไม่ถึงครึ่งที่คิดไว้เลยครับ แต่โชคดีที่คุณนาราชัดเจนเรื่องแนวคิด เลยทำให้ผมจับทิศได้ง่าย”

 

“คุณเสนอเรื่องกล่องแห่งความทรงจำได้น่าสนใจมาก” เธอกล่าวพลางมองไปยังแบบจำลอง “ฉันชอบที่มันไม่ใช่แค่การโชว์ของมีค่า แต่เป็นการพาคนย้อนกลับไปสู่ความรู้สึก”

 

“เพราะบางครั้ง ความรู้สึก...มีค่ากว่าเครื่องประดับอีกครับ” เขาตอบเสียงเบา “ผมแค่อยากให้พื้นที่นี้เล่าเรื่องได้เอง โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายเลยสักคำ”

 

นาราหันมามองเขา สายตาเธอนิ่งและลึกกว่าเดิม “คุณดูเข้าใจความรู้สึกของคนมากกว่าที่ฉันคิดนะคะ”

 

คีรณัฐยิ้มเพียงเล็กน้อย “บางที...ก็อาจเพราะผมเคยผ่านบางอย่างมาเหมือนกัน”

 

เธอไม่ได้ถามต่อ แต่อะไรบางอย่างในแววตาเขาทำให้นารารู้สึกได้ถึงความจริงใจที่เขามีต่อเธอ

 

ขณะที่บทสนทนาในห้องจัดแสดงกำลังคลี่คลายไปด้วยบรรยากาศของแสงไฟและแนวคิดที่อบอุ่น

เสียงเปิดประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสคุ้นหูที่ทำให้นารายิ้มทันที

 

“โห...นี่ใช่ห้องจัดแสดงงานประมูลจริงเหรอ? ฉันนึกว่าหลงเข้าแกลเลอรี่หรูกลางกรุงซะอีก!”

 

พราวฟ้าในชุดเดรสลินินสีไข่มุกก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ใบหน้าสดชื่นแบบคนเพิ่งหลุดจากสวนดอกไม้ตรงมาที่นี่

 

“ยัยฟ้า!” นารารีบเดินเข้าไปสวมกอดเพื่อนสนิทแน่น ๆ “ดีใจที่เธอมาทัน ฉันกำลังจะโทรหาอยู่พอดี”

 

“ก็คิดถึงน่ะสิ เพิ่งหลุดจากฉากน้ำตาไหลพรากมาก็รีบบึ่งมานี่เลย กลัวเพื่อนจะลืมคนดัง!”

 

นาราหัวเราะ “ไม่มีวันลืมดาราเบอร์หนึ่งของฉันหรอกน่า”

 

สายตาพราวฟ้าหันไปเจอคีรณัฐที่ยืนอยู่ข้างฉากโชว์แบบจำลอง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างแซว ๆ

“อ๊ะ หนุ่มหล่อคนนี้คือ?”

 

“นี่คุณคีรณัฐ ที่ปรึกษาด้านศิลป์ของงานประมูลครั้งนี้” นาราแนะนำอย่างภูมิใจ

 

คีรณัฐยิ้มสุภาพ และยกมือทักทายเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพราวฟ้า”

 

“เรียกฟ้าเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าเรียกเต็มยศแบบนั้น ฉันจะเผลอยืนชูมือรับรับรางวัลตุ๊กตาทองขึ้นมาไม่รู้ตัว!” พราวฟ้ารีบเอ่ยห้าม เพราะคีรณัฐที่รูปร่างสมส่วนราวกับพิธีกรในงานประกาศรางวัล เรียกชื่อเต็มเธออย่างเป็นทางการ

 

“งั้นถ้าเรียกฟ้าเฉย ๆ ต้องเตรียมปิดประตูด้วยไหมครับ เพราะกลัวนางฟ้าจะบินหนีกลับสวรรค์” คีรณัฐถามพร้อมรอยยิ้มขำ ๆ

 

“โอ๊ย คุณนี่...ไม่ธรรมดาเลยนะคะ ปากหวานแบบนี้ ไม่กลัวมีแฟนคลับสาว ๆ ตามติดหรอคะ”

 

“ถ้ามีคุณฟ้าเป็นแฟนคลับ ผมยินดีให้ตามมาด้วยได้เลยครับ” เขาตอบติดตลกกลับ

 

นาราส่ายหัวเบา ๆ พลางยิ้ม “สองคนนี้ เหมือนรู้จักกันมาเป็นชาติ”

หลังหัวเราะจบ นาราก็หันกลับมาจริงจังเล็กน้อย “ฟ้า...ที่ฉันนัดแกมาวันนี้ ฉันมีเรื่องอยากขอให้ช่วย”

 

“ว่ามาเลยค่ะเพื่อนรัก ขอแค่ไม่ให้เล่นบทตบตีฉันกลางเวที ฉันพร้อมเสมอ!”

 

“ฉันอยากให้เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่สวมเครื่องเพชรหลักในวันงาน เป็นตัวแทนความงามของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีทั้งหัวใจและแรงบันดาลใจ” นาราเอ่ยเข้าประเด็น

 

พราวฟ้านิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาเธออ่อนลงอย่างซาบซึ้ง

“ขอบใจนะนาราที่คิดถึงฉัน...” เธอยิ้ม และจับมือนาราเบา ๆ “ฉันจะใส่มันอย่างภาคภูมิใจที่สุดเลย”

 

...

 

ค่ำคืนเงียบงันท่ามกลางเมืองใหญ่

แสงไฟจากตึกสูงส่องลอดกระจกหน้าต่าง เข้าสู่ห้องควบคุมไฟชั้นดาดฟ้า ที่อรดามักใช้เป็นที่หลบเร้นจากสายตาคนทั้งบริษัท

เสียงโทรศัพท์ถูกกดอย่างเร่งร้อน ก่อนที่เสียงปลายสายที่คุ้นเคยจะดังขึ้น เสียงของศักดา ชายผู้มีบทบาทในการถ่ายทอดคำสั่งของแผนการทั้งหมด

 

“คุณต้องหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน” เขาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ทว่าเด็ดขาด

 

อรดาขบกรามแน่น เธอเอนตัวพิงกำแพงห้องก่อนจะสวนกลับทันควัน “ไม่ค่ะ ฉันรอไม่ได้แล้ว แผนก่อนก็พังเพราะความลังเลของพวกคุณ แผนนี้...ฉันมั่นใจว่าจะได้ผล”

 

“ยิ่งคุณรุก นาราจะยิ่งระวังตัวมากขึ้น อีกไม่นานเธอจะรู้ว่าข้อมูลรั่วจากใคร” เสียงศักดายังคงเย็นเฉียบแต่มีร่องรอยของแรงกดดันแฝงอยู่

 

“แล้วจะให้ฉันทำยังไง? นั่งมองเธอแฉฉันทีละขั้นเหรอ?”

เสียงของอรดาเริ่มสั่น เธอกดปลายนิ้วแน่นกับฝ่ามือ เล็บสีแดงเลือดเกือบจะฝังเข้าเนื้อ

 

ศักดานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับอย่างแผ่วเบาแต่เฉียบขาด

“ผมจะกลับไปหารือกับนายท่าน ถ้าเขายังต้องการคุณ...ค่อยเดินเกม”

 

แล้วสายก็ถูกตัดไปอย่างไร้เยื่อใย

 

อรดานั่งนิ่งอยู่กับความเงียบที่เธอเกลียดที่สุด เสียงในหัวของเธอแว่วซ้ำไปมา

"รอไม่ได้...ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว..."

 

เธอกลับลงมาที่ห้องทำงานของนารา ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในห้องทำงานสีเทานวล ราวกับใช้ความเงียบคิดให้ลึกยิ่งขึ้น

ก่อนที่มือเรียวจะค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กจากกระเป๋า เครื่องที่ไม่เคยผ่านการใช้งานในระบบบริษัท ไม่มีเบอร์ชื่อในรายชื่อ ไม่มีข้อความ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่

เธอแตะเบอร์หนึ่งเข้าไป...เป็นเบอร์ที่ไม่เคยต้องมองก็จำได้แม่น

 

เสียงรอสายดังเพียงครั้งเดียว ก่อนจะมีเสียงทุ้มต่ำตอบรับจากปลายสาย

อรดาไม่พูดคำทักทายใด ๆ ไม่มีคำแนะนำตัว

มีเพียงประโยคเดียวที่เปล่งออกมาอย่างราบเรียบ แต่เฉียบขาดจนเย็นเยือกในอากาศ

 

> “ฉันจะส่งภาพแบบแปลนเครื่องเพชรไปให้คืนนี้...คุณรู้หน้าที่ของคุณดีอยู่แล้ว”

 

ปลายสายเงียบ ไม่มีคำตอบตอบกลับ

แต่ในความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยการตกลงอย่างแน่นอนเกินกว่าคำพูด

 

อรดาวางสาย เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันไปมองกระดาษภาพร่างของชุดเครื่องเพชรที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของนารา

มันคือแบบเดียวกับชิ้นหลักที่จะใช้ในงานประมูล

...แต่เธอรู้ดี ว่าภายใต้ประกายแวววาวที่ดูเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วนั้น

สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะไม่มีค่ามากไปกว่าเศษแก้วราคาถูก

เธอเก็บภาพนั้นใส่ซองซิปล็อกอย่างประณีต หยิบกระเป๋าขึ้นมาจากบนโต๊ะ

จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไปอย่างมั่นคง

 

...

 

เช้าวันถัดมา บนโต๊ะทำงานของนารามีซองจดหมายสีครีมวางอยู่อย่างเรียบร้อย ไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีตราประทับ

เธอหยิบขึ้นมาเปิดอย่างระแวดระวัง

ในนั้นมีเพียงกระดาษแผ่นเดียว ตัวอักษรเรียบง่าย แต่ทิ่มแทงราวกับเข็มแหลม

 

> “คนที่คุณไว้ใจ อาจกำลังทำลายคุณอยู่เงียบ ๆ ... หยุดเขาก่อนที่เขาจะหยุดคุณ”

 

นารานิ่งงัน มือที่ถือกระดาษสั่นเบา ๆ ดวงตาเธอทอประกายบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

บนดาดฟ้าของอาคารเดียวกัน คีรณัฐยืนพิงราวระเบียง มองท้องฟ้าสีเทาหม่น ลมเย็นพัดผ่านเบา ๆ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู

“ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่คุยกัน” เขาพูดเสียงเรียบแต่มั่นคง

“เธอเริ่มระมัดระวังตัวขึ้น โดยเฉพาะกับอรดา... คิดว่าเธอเริ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองมากขึ้นทุกที”

 

ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงตอบรับเบา ๆ กลับมา แต่ฟังไม่ได้ชัดเจน

 

คีรณัฐพยักหน้าเล็กน้อย “ตกลง ฉันจะอยู่ข้างเธอเหมือนเดิม...จนกว่าทุกอย่างจะจบ”

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 145 ค่ำคืนแห่งชั่วนิรันดร์

    “เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 144 นึกว่าเธอหานงยสาบสูญไปแล้ว

    วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 143 กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงาน

    คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 142 เรือนหอ

    ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 141 ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ

    เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ

  • ในเงาของหัวใจ   บทที่ 140 มันจะไม่หยุดแค่เรื่องข่าวหรือธุรกิจ

    คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status