“เชิญคุณชาย”
กวงหมินผลักบานประตูให้และไม่มีท่าทีจะเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจก้าวไปด้วยตนเอง เขาสะดุ้งเล็กน้อยที่ประตูปิดทันทีที่เข้ามาด้านในแล้ว
“คุณชายหานเหลียง”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งสุดกาย เขาไม่ได้บอกชื่อของตนแก่ผู้ใด เหตุใดแม่นางผู้งดงามราวเทพธิดาจึงรู้ชื่อแซ่ของเขา
ปีศาจราคะในร่างของชิงหรูที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีเกียจคร้านบนเตียงใหญ่โต นางขยับตัวลุกขึ้นนั่งกวาดตามองบุรุษที่เข้ามาใหม่ ส่งรอยยิ้มอ่อนหวานก่อนขยับตัวลงมานั่งห้อยขาที่ปลายเตียง
“แม่นาง..”
“ข้าชื่อชิงหรู” นางโปรยยิ้มหวานขยับเท้าเปลือยไปมา สร้อยเงินร้อยกระพรวนส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง “คุณชายหานเหลียงช่วยคนของข้าไว้ ข้าจึงอยากขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือคนของข้าไว้”
“เรื่องนั้น...ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” หานเหลียงมองเท้างดงามแล้วรู้สึกน้ำลายหนืดคอ
“หากมิใช่คุณชายกล้าหาญเข้าปกป้อง คนของข้าต้องถูกทำร้ายเป็นแน่ คุณชายหานจิตใจดีเช่นนี้ พวกเราไม่ตอบแทนคงมิได้แล้ว” นางช้อนตามอง ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นเล็กน้อย “ให้ข้าช่วยให้ท่านสมปรารถนาเถิด”
“สมปรารถนา...” เขารำพึงออกมาและก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้านางอย่างไม่รู้ตัว “แม่นางรู้หรือว่าข้าต้องการสิ่งใด”
“ย่อมรู้” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ยื่นปลายเท้าออกไป ชายกระโปรงร่นขึ้นเผยผิวเนียนดุจหยกใส “แล้วคุณชายหานเหลียงรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร”
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า หานเหลียงต่อสู้กับจิตใจอย่างหนักหน่วง เขาอยากไปถึงจุดหมายด้วยความสามารถของตนเอง ทว่าฐานะของตนแม้เป็นบัณฑิตมีความรู้แต่ไม่ถูกยอมรับ ย่อมยากที่จะไต่เต้าไปถึงอำนาจวาสนาที่ฝันใฝ่ โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ เขามีหญิงที่หมายปองแต่นางมิใช่หญิงสาวชาวบ้าน เวลานี้เขารู้ว่าบิดามารดาของนางกำลังมองหาคู่ครองที่ดีและดีกว่าบัณฑิตจนๆ อย่างเขา
“ว่าอย่างไร” นางถามพลางยื่นปลายเท้าไปแตะที่หน้าท้องของบุรุษ มองภายนอกเห็นเพียงชายรูปร่างผอมบาง แต่เมื่อได้แตะร่างกายจึงรู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มิได้อ่อนแออย่างที่คิด นับว่านางดูคนไม่ผิดจริงๆ
“ข้าเกรงว่า...ข้าจะไม่มีความสามารถมากพอ”
“นั้นคือปัญหาของคุณชายหานเหลียง” นางหัวเราะลากปลายเท้าลงมาต่ำกว่าขอบผ้าคาดเอว “คุณชายหานกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ยังมิได้ลงมือทำจะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ได้? หากไม่ลองดู ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพอใจหรือไม่? หากคุณชายสลัดความกลัวที่เกาะกุมจิตใจนี้ได้ เส้นทางสู่ความเป็นใหญ่ไม่ยากเลย”
“แม่นางคิดเช่นนั้นหรือ?” เขาสูดลมหายใจลึกเมื่อปลายเท้านั้นวนที่แท่งหยกของเขา แม้เสื้อผ้ายังอยู่ครบแต่กลับยิ่งกระตุ้นเร้าความต้องการภายใน
“ข้าคิดเช่นไรมิสำคัญเท่าที่คุณชายคิดอย่างไรต่างหาก” นางโปรยยิ้มหวาน มองดูชายหนุ่มค่อยๆ นั่งลงเบื้องหน้า สองมือยกเท้าของนางขึ้นลูบคลำอย่างหลงใหลก่อนส่งปลายลิ้นออกมาไล้เลียนิ้วเท้าของนาง นางเอนหลังเล็กน้อยเหยียดปลายเท้าออก
หานเหลียงแม้ไม่ประสีประสาเรื่องรักใคร่ แต่ทุกครั้งที่เห็นเท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวมักจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะความยากจนบิดามารดาสิ้นใจไปนานแล้ว เขามีพี่สาวที่จำใจเป็นอนุเพื่อให้เขาได้มีที่ซุกหัวนอน หลายครั้งที่พี่สาวถูกกลั้นแกล้งให้ไปทำงานซักเสื้อผ้า เขาแอบไปช่วยอยู่บ่อยๆ ได้พบบรรดาหญิงชาวบ้านนำเสื้อผ้ามาซักที่ริมแม่น้ำ อาจเพราะทุกคนเห็นเขาเป็นเด็ก จึงไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวนัก เขาชอบมองเท้าสตรี
เขาอ้าปากดูดเลียนิ้วเท้าที่ตัดแต่งเล็บอย่างประณีตที่ละนิ้วครบทุกนิ้วแล้วค่อยๆ เลื่อนมาลูบไล้เรียวน่อง หญิงสาวเอนกายไปด้านหลังทำให้อีกฝ่ายปีนป่ายขึ้นมาบนเตียง เขามองภาพเย้ายวนเบื้องหน้าลืมภาพหญิงคนรักไปหมดสิ้น ดวงตาจับจ้องเพียงร่างเย้ายวนอ่อนระทวย เขาถอดเสื้อผ้าของตนออกแล้วก้มลงจุมพิตกลีบดอกไม้สาว เรียวขาแยกออกให้ภมรหนุ่มได้ชิมน้ำหวานอย่างถนัด เสียงหวานครางออกมาเมื่อลิ้นร้อนตวัดเลียในร่องรัก นางยกสะโพกร่อนรับลิ้นร้อนแล้วนิ้วแกร่งที่ปาดน้ำสวาทที่ไหลเยิ้มไปด้านหลัง นิ้วเรียวถูไถร่องก้นทั้งที่ปากปรนเปรอสวาทที่ร่องรักด้านหน้า ปลายนิ้วของหญิงสาวกดศีรษะของเขาให้ฝั่งลึก
“ซี๊ดด ดีเหลือเกิน” นางชมเชยเขา เสียงหวานของนางเร่งเร้าเขาและทำให้แท่งหยกนั้นยิ่งแข็งขืนขึ้น นางร่อนสะโพกรับเรียวลิ้นที่ระรัวจุดเสียวกระสัน นางเลื่อนมือจากศีรษะของเขามากอบกุมทรวงอกเคล้นคลึงเพิ่มความเสียวซ่าน
หานเหลียงรู้ว่าร่องรักอ่อนนุ่มชุ่มน้ำสวาทตอดรัดด้วยถึงจุดสุขสม เขาไม่เคยทำเช่นนี้กับหญิงใด และไม่มีเงินมากพอจะเที่ยวหอนางโลม ยามเมื่อมีอารมณ์จึงใช้เพียงนิ้วมือปรนเปรอตนเองจนเสร็จสม ความรู้สึกฮึกเหิมแทรกขึ้นมา เขาเงยตัวขึ้นมองหญิงสาวที่อ่อนระทวยเพราะถูกเขารัวลิ้นจนเสร็จสม เขาโน้มหน้าลงอ้าปากขบเม้มยอดอกของนาง ร่างบางส่ายเร่าส่งเสียงกระเส่า
“คุณชาย...อา...แรงอีก ข้าชอบ แรงอีก”
ทั้งปากทั้งมือนวดเคล้นทรวงอกงาม ยอดอกเป็นสีชมพูอ่อนใสเหมือนเม็ดหยกเนื้อดีที่เขาไม่มีวันได้ครอบครอง แต่เวลานี้เขาได้ดูดดึงไว้ในปาก
“ลิ้นคุณชายช่างร้ายนัก” นางบิดกายไปมาเรือนร่างมีเสื้อผ้าติดตัวหลุดลุ่ยเผยผิวกายเนียนละเอียด
“กายแม่นางหอมนัก หอมรัญจวนเหลือเกิน” เขาสูดดมไปถ้วนทั่ว ไม่เคยได้กลิ่นกายของผู้ใดหอมเย้ายวนเช่นนี้มาก่อน
“คุณชายสอดใส่มาเถิด ข้าขอร้องท่านแล้ว” เสียงหวานปนสะอื้นร้องขอความเมตตาพร้อมแยกเรียวขาออก ท่อนเอ็นร้อนถูไถร่องรักที่เปียกชุ่มนางยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยแท่งหยกนั้นก็ผลุบเข้าไปในร่องรัก
“อร๊ายยย”
“โอ้วววว”
หานเหลียงผู้ไม่เคยนำแท่งหยกเข้าในร่องรักของสตรีนางใดถึงกับแหงนหน้าร้องครางออกมา ร่องรักของนางบีบรัดท่อนเอ็นของเขา ทั้งขมิบทั้งตอดรัดจนเขาแทบขยับไม่ได้
“คุณชายเจ้าขา” หญิงสาวครางสะอื้น หางตามีน้ำตาเอ่อคลอ “ช่วยข้าด้วย ข้าเสียวซ่านทรมานนัก”
หานเหลียงถอนสะโพกออกช้าๆ จนเกือบสุดลำแล้วกดกระแทกกลับไป ทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำสวาทหลั่งออกมามากส่งให้เขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นแรงขึ้น กระแทกเข้าไปจนสุด จนได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อผสานกับเสียงครางระงมของสองหนุ่มสาว
“คุณชาย ข้าจะเสร็จอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“สะ..เสร็จ...เจ้าเสร็จเลย...ข้า...โอ้ววว เสียวลำเหลือเกิน มันดีเช่นนี้เอง”
เขาโยกเอวอย่างเมามัน เหงื่อกาฬไหลราวตากน้ำฝน หญิงสาวหวีดร้องออกมาอีกครั้ง ตอดรัดเขาอีกระลอก เขาแหงนหน้าคำรามแต่ยังไม่ปลดปล่อย เขาจับขาข้างหนึ่งของนางขึ้นพาดบ่า หันหน้าไปจูบเรียวน่องของนางแล้วเริ่มโยกเอวอีกครั้ง นางครวญครางสะบัดหน้าไปมา เส้นผมยาวสยายบนเตียง เขาก้มมองดูท่อนเอ็นของตนที่วิ่งเข้าวิ่งออกในร่องรัก น้ำสวาทเคลือยท่อนเอ็นของเขามันวาว โยกคลึง หมุนเอวสลับกับกระแทกรัวๆ เสียงกระแทกดัง ตับๆ ทรวงอกงามโยกไหวตามแรงกระแทกกระทั้น เขาจับเรียวขาที่พาดบ่าออกงอเข่าเล็กน้อยแล้วอ้าปากดูดนิ้วเท้าของนาง แล้วระลอกคลื่นความปรารถนาก็ถาโถมจนหลั่งทะลักในร่องรักของหญิงสาว เขากดแก่นกายเข้าไปในจนสุด น้ำสวาทขาวขุ่นหลั่งออกมามากจนล้นมาเปื้อนเปรอะ เขาแหงนหน้าคำรามอย่างสุขสมในขณะที่หญิงสาวเองก็ตอดรัดลำเอ็นของเขาหวีดเสียงร้องออกมาเช่นกัน
หานเหลียงก้มมองร่างหญิงสาว เขาค่อยๆ ถอนแก่นกายออกช้าๆ มองน้ำสีขาวเหนียวหนืดที่ไหลออกมาแล้วย้ายสายตาไปที่ใบหน้าสวย เขาโน้มหน้าลงหมายจูบกลีบปากที่ครางกระเส่าเมื่อครู่ แต่นางกลับเบือนหน้าหลบไปทันแล้วกระถดกายออกจากใต้ร่างของเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร