ครอบครัวพัทธนันท์กุล เป็นเจ้าของโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มและสวนปาล์ม รวมถึงผู้รับซื้อปาล์มรายใหญ่ของจังหวัดในภาคใต้ นายพิพัฒน์รับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัว เมื่อเขาแต่งงานครั้งแรก ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตขณะคลอด ทิ้งลูกสาวคือดาริกาหรือหนูดาว ไว้ให้นายพิพัฒน์เลี้ยงดู หลังจากผ่านมาสิบห้าปี นายพิพัฒน์ได้พบรักกับแม่ม่ายสาวชื่อว่าแขไข อดีตลูกสาวของเจ้าของเหมืองแร่ที่ปิดกิจการไปแล้ว แขไขมีลูกติดสองคนชื่อเจนจรัสกับนลินรัตน์ ทั้งสองมีอายุมากกว่าดาริกาสามและสองปีตามลำดับ หลังจากแต่งงานสามแม่ลูกก็ย้ายมาอยู่ร่วมบ้าน ในช่วงปีแรกๆ แขไขกับลูกๆ ไม่ได้สร้างปัญหาให้ดาริกาและนายพิพัฒน์
ทว่า... ในเวลาต่อมา หลังจากนายพิพัฒน์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แขไขได้เข้าไปดูแลกิจการแทนสามี พร้อมกับยึดอำนาจทุกอย่างในบ้าน ลูกเลี้ยงอย่างดาริกาถูกกดข่มไม่ให้เงยหน้าออกจากครัว ดาริกาเรียนจบมัธยมปลายก็ไม่ได้เรียนต่อ โดยแม่เลี้ยงอย่างแขไขให้เหตุผลว่านายพิพัฒน์ต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ลูกสาวทั้งสองของนางกลับได้ร่ำเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ดาริกาถูกแม่เลี้ยงขู่ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนายพิพัฒน์ โดยบอกว่าจะไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้นายพิพัฒน์ หญิงสาวจำต้องทนขมขื่นอดทนเรื่อยมา
โดยอาศัยเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเพื่อให้ได้ปริญญา ชีวิตของดาริกาไม่ต่างจากนางซินก้นครัว ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวนอกไส้ทั้งสองคนรังแก กดข่มให้อยู่ใต้อาณัติโดยไม่มีทางขัดขืน นายพิพัฒน์เองก็ไม่สามารถช่วยเหลือลูกสาวได้ ด้วยเซ็นชื่อให้นางแขไขดูแลกิจการแทนในขณะที่เขาเพิ่งป่วย โดยไม่คิดว่าแขไขจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาได้แต่ทนดูลูกถูกแม่เลี้ยงใจร้ายรังแกด้วยหัวใจปวดร้าว
“คุณพ่อคะ เดี๋ยวหนูดาวจะนวดให้นะคะ หมอบอกว่ากล้ามเนื้อบริเวณขาของคุณพ่อ ต้องนวดบำบัดทุกวัน ป้องกันไม่ให้อ่อนแรง”
ดาริกาบอกบิดาหลังจากป้อนข้าวและยาให้ท่านแล้ว นายพิพัฒน์เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงมาทำให้เดินไม่ได้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้ห้าปีแล้ว ดาริกาคอยดูแลบิดามาตลอด ด้วยนางแขไขไม่ยอมจ้างพยาบาลมาดูแลท่าน โดยอ้างว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง หากช่วยกันประหยัดได้ก็ควรทำ ดังนั้นดาริกาจึงต้องรับหน้าที่นี้ เธอถูกแม่เลี้ยงบังคับให้ช่วยทำงานบ้านไม่ต่างจากคนรับใช้ โดยเฉพาะงานครัวโดยบอกว่าฝีมือการทำอาหารของดาริกาอร่อยถูกปาก มากกว่าแม่ครัวคนก่อนที่ถูกไล่ออกไป ในบ้านมีคนงานเก่าแก่สองคนคือนางแก้วกับนายชม ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของครอบครัวตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของนายพิพัฒน์ คนรับใช้คนอื่นถูกให้ออกไปหมดเพื่อลดค่าใช้จ่าย ดาริกากับนางแก้วต้องทำงานบ้านกันสองคน ส่วนนายชมมีหน้าที่ดูแลสวนและขับรถ
ดาริกาเดิมทีนั้นเป็นคุณหนูของบ้าน แต่ต้องกลายมาเป็นคนรับใช้ทำงานบ้าน ในขณะที่สามแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่ายกับงานสังคมต่างๆ เจ้าของบ้านอย่างนายพิพัฒน์ถูกย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็ก ด้านหลังตึกใหญ่ซึ่งเคยเป็นเรือนคนใช้ ดาริกาถูกยึดห้องและไล่ลงมาอยู่รวมกับบิดาในบ้านหลังเล็กแสนคับแคบ นายพิพัฒน์เป็นลูกคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง ญาติคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนิทสนมมากนัก เมื่อแขไขมายึดอำนาจไป ก็เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่สามารถต่อต้านได้แต่อดทนให้ผ่านไปวันๆ
“หนูดาวพ่อขอโทษ พ่อไม่ดีเอง ทำให้หนูต้องมาลำบากไปด้วย” นายพิพัฒน์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“หนูดาวไม่ได้ลำบากเลยค่ะ ขอเพียงได้อยู่กับคุณพ่อ ได้ดูแลคุณพ่อหนูดาวก็ดีใจแล้ว”
ดาริกาซบหน้าบนแขนของบิดา เอ่ยปลอบโยนท่าน นายพิพัฒน์มักจะโทษตัวเองอยู่เสมอว่าทำให้ลูกสาวลำบาก อาการทางกายก็หนักหนาพอแล้ว ยังจะมีอาการทางจิตที่เกิดจากความเครียดและการกล่าวโทษตัวเอง ส่งผลให้มีอาการหมองเศร้า บางครั้งก็นอนซึมไม่ยอมกินข้าวกินยา คนเป็นลูกได้แต่ปลอบโยนผู้ให้กำเนิด เกรงว่าอาการของท่านจะทรุดหนักลงไป
“ถ้าพ่อไม่หลงผิด ไปแต่งงานกับนางมารร้ายอย่างแขไข มันคงไม่ก้าวเข้ามาทำลายความสุขของเราสองพ่อลูก พ่อผิดต่อลูก ผิดต่อแม่ของลูกด้วย ทั้งที่พ่อสัญญากับแม่ของลูกก่อนตายว่า จะดูลูกให้ดีที่สุด แต่พ่อก็ทำไม่ได้ พ่อมันไม่ดีเอง”
นายพิพัฒน์กำหมัดทุบกับที่นอนระบายความอัดอั้นใจ เขาคิดเสมอว่าเขาไม่น่าหลงผิด รับผู้หญิงร้ายกาจจอมมารยาอย่างแขไขมาเป็นภรรยา หากเขาใจแข็งไม่ยอมรับผิดชอบหลังจากถูกอีกฝ่ายมอมเหล้าจนเผลอมีความสัมพันธ์กัน เขาคงไม่ต้องรับเธอมาทำลายครอบครัวของเขา ดาริกาจะไม่อยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม่ตอกในบ้านตัวเอง ไม่ต้องทนถูกแม่เลี้ยงโขกสับ สมบัติพัสถานทั้งหลายของเขา ก็จะเป็นของลูกสาวคนเดียว ไม่ใช่ถูกคนนอกยักยอกเอาไปจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวแบบนี้ เขาช่างน่าสมเพชที่ไม่อาจปกป้องดูแลลูกได้ นายพิพัฒน์นึกโทษตัวเองอย่างขมขื่น
“ใจเย็นก่อนนะคะคุณพ่อ อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ มันเป็นเวรกรรมของเราเอง หนูดาวสัญญานะคะว่า สักวันหนูดาวจะพาคุณพ่อออกไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากคนใจร้ายพวกนั้น”
ดาริกาจับมือบิดาเอาไว้ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอต้องเข้มแข็งเพื่อพ่อของเธอ แขไขกับลูกแย่งชิงสมบัติไป แต่ไม่อาจแย่งชิงความหวังของเธอไป หากเธอสามารถพาบิดาออกไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สองพ่อลูก หนทางข้างหน้าคงจะมีความสุขมากกว่านี้
“โธ่ หนูดาวพ่อขอโทษ พ่อขอโทษ”
นายพิพัฒน์ลูบศีรษะลูกสาวไปมา เอ่ยขอโทษซ้ำซาก
“อะไรกันคะ มาแสดงบทโศกดราม่าอะไรกัน”
น้ำเสียงดูแคลนดังขึ้น ดาริกาหันไปมองพบว่าแขไขพร้อมกับลูกสาวทั้งสองคน เปิดประตูเข้ามาในห้อง เจนจรัสกับนลินรัตน์ไปยืนรวมกันอยู่ข้างๆ ประตู เอามือปิดจมูกตัวเองเอาไว้
“คุณแม่รีบๆ พูด แล้วออกไปกันเถอะค่ะ เจนเหม็นจะแย่”
“ใช่ค่ะ ลูกบัวไม่ชอบกลิ่นห้องนี้ อยากจะอ้วก”
เจนจรัสกับนลินรัตน์เอ่ยออกมา ทั้งสองแสดงท่าทีรังเกียจออกมาทางสีหน้า บ่นว่าไม่อยากมาห้องนี้ เพราะเหม็นกลิ่นยาและกลิ่นคนป่วย ตั้งแต่นายพิพัฒน์ล้มป่วยลูกเลี้ยงทั้งสองแวะมาเยี่ยมแทบนับครั้งได้ ไม่เคยอยู่ที่นี่นาน
“ทำอย่างกับแม่ไม่เหม็นนี่ ถ้าทนไม่ไหวก็ถอยไปห่างๆ” แขไขหันไปบอกลูกสาวทั้งสองคน ก่อนจะหันมามองสองพ่อลูก
“คุณพิพัฒน์ฉันมาหาคุณวันนี้ จะพูดเรื่องหนี้สินของคุณ ตอนนี้ทางเจ้าหนี้เขาเร่งรัดมาแล้ว เราไม่ได้ส่งดอกเบี้ยเกินเวลากำหนด เขาให้เราไปไกล่เกลี่ยฉันไปรับฟังข้อเสนอของเขามาแล้ว เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี ฉันเลยมาปรึกษาคุณ”
แขไขร่ายยาวถึงหนี้สินของครอบครัว ตั้งแต่พิพัฒน์ป่วยก็ไม่ได้ชำระหนี้สิน ได้แต่ผัดผ่อนเรื่อยมา ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดจะหาทางช่วยสามีเรื่องนี้ ได้แต่ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินบางส่วนมาเป็นของตัวเอง หาทางหนีทีไล่หากถูกฟ้องล้มละลาย
สามแม่ลูกกลับมาถึงบ้านได้ ก็พากันมานั่งปรึกษาหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น แขไขใบหน้าเคร่งเครียดจนเห็นรอยย่นเล็กๆ บริเวณหน้าผาก ยามนี้ครีมบำรุงราคาแพงยังช่วยรั้งรอยย่นนั้นแทบไม่ไหว “ใครจะคิดว่า จะมีคนหน้าตาเหมือนนังดาวอยู่ด้วย บ้าบอที่สุด” เจนจรัสเปรยออกมาทำลายความเงียบ หลังจากพากันนั่งคิดจนหัวแทบแตกก็ยังหาทางออกไม่เจอ ระหว่างขับรถกลับบ้านผู้เป็นมารดาได้เล่าเรื่องจับผิดตัวให้เธอกับน้องสาวฟัง “ที่บ้ายิ่งกว่า เราดันจับมันมาผิดตัว เฮ้อ...” นลินรัตน์ถอนหายใจออกมา “นี่แกจะโทษว่าคุณแม่ตาถั่วเหรอ นังลูกวัว” คนเป็นพี่แหวใส่น้องสาว ยามอารมณ์ไม่ดีมักจะเรียกน้องสาวว่าลูกวัวตามมันสมองของอีกฝ่าย คนเป็นน้องโดนเรียกแบบนั้นก็ทนไม่ไหว “ฉันชื่อลูกบัวไม่ใช่ลูกวัวค่ะ คุณพี่เจนจัด” ด่ามาด่ากลับไม่ยอมแพ้ ถึงจะถูกมองว่าสมองน้อยแต่นลินรัตน์ก็ปากดีได้เชื้อมารดามาเต็มๆ ยามร่วมมือกันก็ด่าชาวบ้านได้แสบสันต์ แต่ยามปะทะกันเองก็ไม่เคยราฝีปากให้กันและกัน ดังคำเปรียบเปรยว
ที่โรงพยาบาล ห้องผู้ป่วย นทีสั่งให้บรรเจิดไปจัดการเคลียร์ปัญหากับรถที่ชนคู่หมั้นของเขา จากนั้นก็มาเฝ้าไข้คนเจ็บรอเวลาให้หญิงสาวฟื้นขึ้นมา แพทย์ผู้รักษาบอกว่าอาการของเธอไม่ร้ายแรงมาก แต่ต้องรอดูตอนฟื้นว่ามีผลกระทบอะไรบ้าง “ปวด... ปวดหัว”เสียงครางแผ่วดังขึ้น ปลุกให้คนที่นอนอยู่รีบลุกขึ้นมา นทีขยับลุกจากโซฟายาวมายังเตียงคนเจ็บ“เป็นอะไรหรือเปล่าน้องดาว” เขาเอ่ยถาม ขณะกดกริ่งเรียกพยาบาล“ปวด... ฉันปวดหัว เจ็บไปหมด”หญิงสาวเอ่ยออกมาทั้งที่ตายังไม่ปิดอยู่ มือยกขึ้นแตะบนแผลที่ศีรษะ ใบหน้างามมีรอยเหยเกเมื่อมือสัมผัสโดนแผลที่เจ็บ ค่อยลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อแสงสว่างจ้าเกินไป“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับน้องดาว พี่จะดูแลน้องดาวเอง” นทีปลอบโยน เขาจับมือของเธอเอาไว้ มองอาการของคนเจ็บด้วยสายตาห่วงใย คู่หมั้นของเขามีอาการหลับๆ ตื่นๆ ไม่ได้สติมาตลอดสามวัน“คุณเป็นใคร ฉันไม่รู้จักคุณ”ดาริกาดึงมือออก มองชายหนุ่มที่กุมมือเธอด้วยสายตาของคนไม่รู้จักกัน ทำเอานทีใจหายวาบ“พี่เป็นคู่หมั้นของน้องดาว พี่ชื่อนทีหรือพี่น้ำ น้องดาวค่อยๆ นึกนะครับ”“ไม่ ฉันจำอะไรไม่ได้ แล้วที่นี
นทีเดินกลับเข้าไปในร้าน พบกับบรรเจิดที่เดินมาพอดี“อ้าวเจ้านาย มีอะไรหรือเปล่าครับ”“มีคนทำน้ำหวานหกใส่น่ะ ฉันต้องไปล้างก่อน น้องดาวรออยู่ที่รถบรรเจิดไปดูแลเธอด้วยนะ เดี๋ยวฉันตามไป”นทีบอก ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ เขาเข้าไปล้างคราบน้ำหวานออกจากแขนเสื้อ ใช้ทิชชูซับจนแขนเสื้อหมาด จึงกลับออกมา ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อเห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวคนหนึ่ง เดินย่องไปทางด้านหลังของห้องน้ำ เขานิ่วหน้าด้วยความสงสัยแล้วเดินตามเธอไปทันทีหญิงสาวเดินออกจากประตูหลังร้าน มองซ้ายมองขวาอย่างระแวง ก่อนจะรีบซอยเท้าจะเดินออกไปตามถนนในซอยข้างร้าน ไม่ทันจะเดินไปไกลก็ถูกจับแขนรั้งเอาไว้ก่อน“น้องดาว จะไปไหนหรือครับ”นทีจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ เอ่ยถามเสียงเข้ม“ปล่อยนะ แก... แกเป็นคนของน้าแขใช่ไหม ปล่อยนะ”ดาริกาสะบัดมือออกจากการจับของนที แล้วรีบวิ่งหนีทันที ชายหนุ่มรีบวิ่งตามไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคู่หมั้นสาวถึงทำท่าเหมือนกลัวเขาทำร้ายด้วย แถมยังวิ่งหนีเขาไปอีก“หยุดเดี๋ยวนี้นะน้องดาว!” นทีตะโกนเรียก“อย่านะ อย่าตามมานะ ว้าย!”เอี๊ยด... โครม!รถคันหนึ่งเบรกเสียงดัง ก่อนจะหักพวงมาลัยหลบร่างของคนที่วิ่งตัดหน้ารถ ไปชนเข
หลังจากออกมาจากธนาคาร เชิญขวัญก็พาดาริกามาไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต“ทำบุญไหว้พระแล้ว ต่อไปชีวิตของเธอก็จะเจริญรุ่งเรือง พ้นทุกข์ พ้นเคราะห์เสียทีนะยายดาว”“ฉันก็หวังว่าต่อไป ชีวิตของฉันจะได้พบสิ่งดีๆ บ้าง อย่างน้อยก็ขอให้ได้พบหนทางแก้ปัญหา”ดาริกาพนมมือกราบพระประทานในโบสถ์ ใบหน้ามีร่องรอยแจ่มใสไม่อมทุกข์เหมือนที่ผ่านมา ภาวนาให้ชีวิตข้างหน้าได้พบเจอสิ่งดีๆ หลุดพ้นจากคนชั่วร้ายอย่างแขไข“อีกชั่วโมงกว่าเรือเที่ยวต่อไปจะออก ฉันว่าเราไปเดินเล่นแถวๆ นี้กันดีไหม”เชิญขวัญเห็นว่ามีเวลาเหลือ จึงชวนเพื่อนเดินเล่น ก่อนที่จะพาไปกันไปยังท่าเรือ สองสาวเดินชมเมืองเก่าและแวะเดินดูของที่ระลึก ดาริกาไปติดใจกระเป๋าถัก“ป้าคะ ใบนี้ราคาเท่าไหร่คะ” ดาริกาถามแม่ค้า“ใบละสองร้อยค่ะ เอ... เหมือนเมื่อกี้คุณเพิ่งซื้อไปไม่ใช่หรือคะ”แม่ค้าบอก ก่อนจะทักขึ้นอย่างกังขา ว่าลูกค้าคนนี้เพิ่งซื้อกระเป๋าถักไปเมื่อครู่นี้เอง“เราเพิ่งมาค่ะป้า ป้าจำคนผิดแล้วค่ะ”เชิญขวัญท้วงขึ้น ยิ้มขำเมื่อนึกว่า ป้าแม่ค้าคงจำคนผิด“อ้อ สงสัยป้าจำคนผิดจริงๆ เอาใบนี้นะคะเดี๋ยวป้าใส่ถุงให้นะคะ”แม่ค้ายิ้มเก้อๆ เสไปหยิบถุงมาใส่กร
ในตอนเช้า อัคคีสั่งให้ขจรเช็ครายชื่อแขกที่เข้าพักในรีสอร์ต เพื่อค้นหาตัวว่าที่เจ้าสาวของเขาแต่ก็ไม่มีรายชื่อของดาริกา พัทธนันท์กุล ปรากฏในรายชื่อของคนเข้าพัก สร้างความหงุดหงิดใจให้เจ้าพ่อเกาะร้อยดาวมาก เมื่อคืนเขาปล้ำจูบเธอแต่ถูกอีกฝ่ายสวนกลับจนแทบสูญพันธุ์ ยังเจ็บจุกจนบัดนี้ หากไม่ได้ตัวเธอมาแก้แค้นให้สาสม เขาไม่มีวันหายเจ็บใจ “ดาริกา... หนูดาว ฉันจะให้เธอชดใช้สิ่งที่เธอทำกับฉันให้ได้ ฉันจะทำให้เธอร้องขอความเมตตาจากฉันคนนี้”อัคคีคำรามในคอ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรหามารดา เขาต้องการให้ท่านจัดการกับลูกหนี้ขัดดอกคนนี้ให้เขา“คุณแม่ครับ ผมจะจัดงานแต่งที่เกาะร้อยดาว หาฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่สุดให้ผมด้วย”“มาใจร้อนอะไรตอนนี้ เมื่อก่อนบอกให้หาเมียก็ทำยักท่า ตอนนี้ทำใจร้อนอยากแต่งเมีย”คนเป็นแม่เหน็บแนมลูกชายด้วยความหมั่นไส้“ก็ผู้หญิงที่คุณแม่หาให้ ถูกใจผมนี่ครับ ผมเลยอยากแต่งงานไวๆ ว่าแต่ทางนั้นเขาตอบตกลงแล้วใช่ไหมครับ”“คุณแขไขเขาตอบตกลงแล้ว เหลือแค่ทางเราหาวันแต่งเท่านั้นแหละ”อัคคีกระตุกยิ้ม นึกถึงท่าทางพยศของหญิงสาวเมื่อคืนแล้ว ก็แอบคิดว่าอีกฝ่ายคงแกล้งหยั่งเชิง หวังทำให้เขาสนใจ แต่วิ
“ใช่ หนูดาวหนีไปแล้ว ฉันเป็นคนบอกให้ลูกของฉันหนีไปเอง อย่าหวังว่าฉันจะบอกเธอว่าหนูดาวหนีไปไหน เพราะฉันเองไม่มีทางบอกเธอ”นายพิพัฒน์ปัดมือของแขไขออก เขาใช้แรงที่มีทั้งหมด ผลักร่างของผู้หญิงใจร้ายคนนี้จนเซล้ม นั่นทำให้แขไขโกรธยิ่งกว่าเดิม ลุกขึ้นได้ก็เข้ามาทุบตีนายพิพัฒน์ คนป่วยได้แต่ปัดป้องตัวเอง แต่ก็หนีไม่พ้นถูกตีไปหลายตุบ นางแก้วกับนายชมที่ได้ยินเสียงรีบเข้ามาห้าม แต่แขไขกลับเรียกลูกสาวให้มาช่วยกันคนแก่ทั้งสองออกไป“ยายเจน ลูกบัว มาช่วยแม่ด้วย มันรุมแม่!”เจนจรัสกับนลินรัตน์รีบเข้ามายื้อยุดฉุดนายชมกับนายแก้วเอาไว้ แขไขได้โอกาสเข้าไปทุบตีนายพิพัฒน์อีก“โอ๊ย! นังสารเลว นังยักษ์ใจมาร”นายพิพัฒน์ด่าทอภรรยาด้วยความเจ็บแค้น เขาปกป้องตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำร้ายข้างเดียว ด่าทอกลับบ้าง มือทั้งสองปัดป้องการตบตีของแขไขอย่างอ่อนแรง ร่างกายถูกทุบตีจนแดงช้ำหลายแห่ง“ฉันจะไม่ให้คุณกินข้าว จนกว่าคุณจะยอมบอกว่า ยายดาวอยู่ที่ไหน ยายแก้วกับนายชม พวกแกสองคนห้ามเอาข้าวให้คุณพิพัฒน์กิน ถ้าฉันรู้ว่าใครขัดคำสั่ง ฉันจะไล่พวกแกออกจากบ้าน ลูกบัวไปเอากุญแจมาล็อกห้องไว้ ไม่มีคำสั่งจากแม่ อย่าให้ใคร