จากเมืองโหย่วถิง ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซู ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน กว่าจะถึงเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ระหว่างทางซูเยว่ซินได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับในชีวิตก่อนของนางแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน เช่นรถม้าของจวนที่พวกสาวรับใช้โดยสารมา ล้อเกิดพังระหว่างทางจนเสีย หรือมีเหตุการณ์โจรป่าดักปล้นพวกพ่อค้า
ท่านพ่อและพี่ชายของนาง ได้ออกหน้าช่วยเหลือพวกพ่อค้าที่ถูกปล้น นำเหล่าทหารกล้าของตระกูลซูที่ติดตามขบวนมาด้วย จัดการปราบปรามกลุ่มโจรจนพวกมันไม่กล้าที่จะกลับมาก่อเหตุไปนานอีกหลายปี และระหว่างทางก่อนที่จะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางและสาวรับใช้อาวุโสบางคน ก็พากันเจ็บป่วยด้วยโรคไข้ป่า ดีที่นางเตรียมยารักษามาด้วย เพราะนางรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ทั้งท่านแม่ และสาวรับใช้อาวุโส รอดพ้นจากปากประตูผีมาได้ ผิดกับชีวิตก่อนที่กว่าจะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางก็ต้องเสียสาวรับใช้อาวุโสไปถึงสองคน
“หากไม่ได้ซินเอ๋อร์ที่เตรียมยามาด้วย มีหวังแม่กับพวกสาวรับใช้อาวุโสเหล่านี้ คงไม่มีชีวิตรอดไปถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแน่”
ซูฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ บุตรสาวของนางนั้นช่างรอบคอบยิ่งนัก สิ่งที่นางคิดไม่ถึงบุตรสาวของนางนั้นมักจะเตรียมเอาไว้อยู่เสมอ เห็นท่านางคงจะดูเบาบุตรสาวไม่ได้เสียแล้ว การที่ซูเยว่ซินไปอยู่ในค่ายทหารมานานถึงสามปี คงจะไม่ใช่เรื่องที่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ คุณหนูรองช่างเป็นเด็กที่มองการณ์ไกลยิ่งนัก บ่าวเองยังไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าพวกเราจะได้มาเจอกับโรคภัยไข้เจ็บระหว่างทางเยี่ยงนี้ได้” ป้ากุย สาวใช้อาวุโสที่คอยรับใช้ข้างกายซูฮูหยิน แสดงความชื่นชมคุณหนูรองออกมาเช่นกัน
เป็นเพราะพวกสาวรับใช้ของตระกูลซู ต่างก็ไม่เคยมีผู้ใดที่ต้องออกเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน จึงไม่มีผู้ใดที่คิดว่าจะได้เจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นโรคไข้ป่าได้ ทว่าคุณหนูรองที่ไปอยู่ในค่ายทหารกับนายท่านและคุณชายใหญ่มานานเกือบสามปี กลับตระหนักได้ถึงเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายเหล่านี้
“เดินทางไกล ไร้โรงหมอ ข้าย่อมมิอาจมองข้ามได้อยู่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ป้ากุย" ซูเยว่ซินกล่าวออกมาด้วยท่าทีขัดเขิน
ชีวิตก่อนนางนั้นมักจะเมินเฉยต่อผู้คนรอบกาย นางจำได้ว่าในชีวิตก่อนเวลานี้ท่านแม่ของนางป่วยหนักจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ดีที่ท่านพ่อสั่งให้บ่าวรับใช้คนสนิทห้อม้าไปรับท่านหมอมาจากเมืองโหย่วติงซึ่งเป็นเมืองผ่านพอดี เสียเวลาไปไม่น้อยกว่าอาการของท่านแม่จะดีขึ้น แต่ทว่าก็มีสาวรับใช้อาวุโสถึงสองคน ที่ต้องมาสิ้นใจไปเพราะพิษไข้เล่นงาน ถูกฝังเอาไว้กลางทาง ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจวนหลังใหม่เสียด้วยซ้ำ ทว่าชีวิตนี้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ซูเยว่ซินลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
หลังจากซูฮูหยินและสาวรับใช้อาวุโสรักษาตัวจนมีอาการดีขึ้นแล้ว ขบวนรถม้ากับเกวียนสัมภาระของตระกูลซูจึงเคลื่อนขบวนกันต่อ และไม่ถึงสิบวันขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซูก็ได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวง ผู้คนสัญจรขวักไขว่ตลอดสองข้างทาง ต่างพากันมองมายังขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซูกันอย่างสนอกสนใจ บ้างก็จับกลุ่มซุบซิบกัน บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือชักชวนให้คนข้างกายมองมาเช่นกัน
ซูเยว่ซินมองผ่านผ้าม่านบนรถม้าออกไปก็เห็นเป็นภาพที่ชินตา ภาพเช่นนี้นางเคยพบเห็นมาแล้วในชีวิตก่อนนี้ เพราะเมืองหลวงนั้นเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง ย่อมมีชาวเมืองอาศัยอยู่มากกว่าที่ใด ครั้นมีเรื่องราวแปลกตาย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คน
“คุณหนูรอง ท่านดูนั่นสิเจ้าคะ”
ชิงหลวนรีบชักชวนให้คุณหนูรองของนางมองออกไปยังนอกรถม้า ที่มีร้านค้าข้างทางตั้งกันเรียงราย มีทั้งขายอาหาร เครื่องประดับ ขนม หรือแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนมีให้เลือกซื้ออย่างมากมาย ซูเยว่ซินยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อยพลางกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ที่นี่คือเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ย่อมมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวเมืองต้องการซื้อหากันอยู่แล้ว”
เมืองโหย่วถิงที่นางจากมานั้นเป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดน อีกทั้งยังเกิดสงครามอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ความเจริญรุ่งเรืองเทียบไม่ได้กับเมืองหลวงแห่งนี้ สาวรับใช้ของนางเกิดและเติบโตที่เมืองนั้น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งที่เพิ่งจะเคยเห็น ทว่าสำหรับนางที่เคยได้มาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้นานเกือบสี่ปี ความตื่นเต้นยินดีจึงน้อยกว่าสาวรับใช้คนสนิท
ชิงหลวนรู้สึกประหลาดใจในท่าทีและความสุขุมของคุณหนูรอง ครั้นนึกไปว่าคุณหนูรองของนางนั้น เคยใช้ชีวิตที่ผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาแล้ว สิ่งเหล่านี้คงจะไม่นับว่าน่าสนใจอันใด ชิงหลวนนึกเห็นใจที่คุณหนูรองของนางใช้ชีวิตที่แตกต่างจากคุณหนูจวนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน ที่ต่างรักสวยรักงาม ชอบแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยม และชื่นชอบในเครื่องประดับ หากจะให้คุณหนูรองของนางเลือกระหว่างเครื่องประดับงามๆ สักอัน กับดาบคมๆ สักเล่ม นางคิดว่าคงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า ในขณะที่ชิงหลวนกำลังคิดไปอีกอย่าง ซูเยว่ซินก็คิดไปอีกอย่าง
อีกไม่นานก็จะได้พบกันแล้ว การได้พบกับสตรีผู้นั้นต่างหาก ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับซูเยว่ซิน เพราะนางเฝ้านับวันคืนที่จะได้พบกับหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นมานานถึงสามปี และแล้ววันที่นางรอคอยก็ใกล้เข้ามาทุกที ทว่าก่อนที่นางจะได้พบกับหลูเจียงหลี นางจะได้พบกับคุณชายใหญ่สกุลกู้ก่อน และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีใจให้นาง ชีวิตก่อนเขาต้องมาตายเพราะความโลภของน้องชายต่างมารดาผู้นั้น ชีวิตนี้นางจึงอยากที่จะปกป้องเขา และตอบแทนในไมตรีที่เขาเคยมอบให้
ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระที่มีทหารนับห้าสิบติดตามมาด้วย ย่อมเป็นที่สะดุดตาของชาวเมือง ทว่าข่าวเรื่องที่ท่านแม่ทัพซู ได้ย้ายมาประจำการอยู่ที่ค่ายทหารประจำเมืองหลวง ย่อมถูกกล่าวถึงก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงอยู่แล้ว การมาถึงของเขาและเหล่าทหารจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจอันใดสำหรับชาวเมืองมากนัก ซ้ำยังได้รับการต้อนรับจากพวกชาวเมืองอย่างอบอุ่นอีกด้วย
ในที่สุดรถม้าที่ซูเยว่ซินโดยสารมานานนับเดือน ก็หยุดนิ่งลงจริงๆ เสียที หน้าประตูจวนหลังใหญ่ติดป้ายตระกูลซูเอาไว้อย่างสมเกียรติ เป็นป้ายที่มีตัวอักษรสีทอง ซึ่งได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาท แสดงให้เห็นว่าตระกูลซูได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงใด นอกจากมอบจวนพระราชทานให้แล้ว ยังมอบป้ายตระกูลพระราชทานให้อีกด้วย นับเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลซูยิ่ง หลังจากนี้มีหวังประตูจวนคงต้องเปิดอ้าเอาไว้เพื่อรับแขกไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่
“พ่อกับแม่จะอยู่ที่เรือนซูอี้ คงเอ๋อร์…อยู่ที่เรือนซูเอ้อร์ และลูกซินเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ที่เรือนซูซาน สาวรับใช้จากเรือนเดิมของพวกเจ้า ให้เพิ่มเข้าไปอีกเรือนละสิบคน” ท่านแม่ทัพซูแจกแจงเรือนสำหรับเข้าพำนักให้ตัวเขากับภรรยา บุตรชายและบุตรสาวตามลำดับ รวมไปถึงจำนวนสาวรับใช้ และบ่าวแรงงานที่จะคอยดูแลรับใช้เจ้านายของเรือนต่างๆ ด้วย
ทุกคนต่างก็ไม่คัดค้านอันใด ซูเยว่ซินมองไปรอบๆ จวนหลังนี้ก็รู้สึกว่า ฝ่าบาททรงเห็นความสำคัญของตระกูลซูยิ่งนัก คงเพราะเห็นว่าเป็นตระกูลแม่ทัพ ที่สร้างคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน จึงได้รับพระเมตตามากกว่าผู้ใด จวนแห่งนี้นับว่าฮวงจุ้ยดีมากทีเดียว ด้านหน้ามีน้ำตกจำลองขนาดกลางๆ
เสียงน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาหินจำลอง กระทบผิวน้ำดังซ่าๆ ปลานานาพันธุ์แหวกว่ายไปมามองแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลิน ทว่าความรู้สึกของซูเยว่ซินในยามนี้นั้นต่างจากชีวิตก่อนนัก มันไร้ความตื่นเต้นดีใจ อาจจะเป็นเพราะนางเคยได้อาศัยอยู่ในจวนหลังนี้มาในชีวิตก่อนแล้ว จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง
“คุณหนูรองเจ้าคะ พวกบ่าวที่ดูแลเรือนทำความสะอาดเรือนซูซานเอาไว้ก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาถึงแล้ว คุณหนูอยากจะเข้าไปพักผ่อนที่เรือนก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ชิงหลวนถามคุณหนูรองออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ช่วยดึงสติของซูเยว่ซินที่เอาแต่จ้องมองปลาในน้ำราวกับตกอยู่ในภวังค์ นางหันมาตอบสาวรับใช้คนสนิท
“ก็ดีเหมือนกัน ชิงหลวน…เจ้าเองก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้ชิงหลัวกับชิงหรงคอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้าก็พอ”
ยามนี้นางได้สาวรับใช้ที่คอยติดตามมาเพิ่มอีกสองคน เป็นเด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิบปีที่มีใบหน้าจิ้มลิ้ม เกลี้ยงเกลา เพราะเป็นบุตรหลานของอดีตขุนนางต้องโทษ ถูกลดบรรดาศักดิ์ให้มาเป็นชนชั้นทาส เท่าที่ซูเยว่ซินจำได้ ในชีวิตก่อนของนางนั้น ไม่ได้พาสาวรับใช้ทั้งสองติดตามออกเรือนไปด้วย ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้พบกับจุดจบเช่นเดียวกับชิงหลวน ที่ต้องมาตายเพราะปกป้องผู้เป็นนายที่โง่เขลาเช่นนาง
เรือนซูซานที่บิดามอบให้นางใช้เป็นเรือนพักส่วนตัวนั้นเป็นเรือนขนาดกลาง มีห้องหับสำหรับผู้เป็นเจ้านายและสาวรับใช้ข้างกาย มีห้องอาบน้ำ ห้องเก็บตำรา ห้องรับรองผู้มาเยือนแยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าซูเยว่ซินนั้นเคยชินกับเรือนหลังนี้เป็นอย่างดี เพราะในชีวิตก่อนนางเองก็ได้พำนักอยู่ในเรือนหลังนี้นานถึงสองปี ก่อนที่นางจะออกเรือนไป
ร่างระหงเดินตรงไปยังห้องนอนอย่างลืมตน ท่ามกลางสายตางุนงงของสองสาวรับใช้ที่เพิ่งได้รับมาใหม่จากบิดา พวกนางอยู่ที่นี่มาก่อนหลายเดือน คอยดูแลจวนหลังนี้มาก่อนที่ตระกูลซูจะได้เข้ามาครอบครองเสียอีก ทว่าพวกนางยังมิอาจจดจำห้องหับได้ทั้งหมด เพราะจวนหลังนี้นั้นมีพื้นที่กว้างขวาง และมีเรือนอยู่หลายเรือน แต่เหตุใดคุณหนูรองสกุลซูที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงจวนหลังนี้ได้ไม่นาน ถึงได้เดินเข้าห้องนอนของนางไปได้อย่างถูกทิศทาง
“พวกเจ้าทั้งสองหาสิ่งใดทำอยู่แถวนี้ก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปนอนกลางวันสักพัก”
ก่อนที่นางจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ซูเยว่ซินชะงักเท้าแล้วหันกลับมาสั่งสาวรับใช้ทั้งสอง ทั้งชิงหลัวและชิงหรงต่างพากันคำนับรับคำสั่งของนางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ริมฝีปากบางจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา จากนั้นร่างระหงจึงเดินเข้าไปภายในห้องนอน
“เหตุใดคุณหนูรองนางถึงได้รู้ว่า ที่นี่คือห้องนอนของเรือนหลังนี้ได้เล่า นางเพิ่งจะมาถึงจวนเองมิใช่หรอกหรือ” ชิงหรงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นั่นสิ…หรือแม้แต่จวนแม่ทัพที่เมืองโหย่วถิงก็เป็นเช่นนี้”
ชิงหลัวเห็นด้วย ทว่ากลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรือนหลังนี้ไม่ต่างไปจากเรือนเดิมของเจ้านายคนใหม่ สองสาวรับใช้ขจัดความประหลาดใจออกไป ก่อนที่จะออกไปหาสิ่งใดทำ เพื่อรอเวลาให้คุณหนูรองตื่นมาก่อนมื้ออาหารเย็น
วันนี้ครอบครัวกินมื้อเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ตลาดของเมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากจวนหลังนี้มากนัก ทำให้แม่บ้านและสาวรับใช้ของจวน สามารถออกไปหาซื้อวัตถุดิบมาเตรียมอาหารให้แก่ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูรองได้ไม่ยาก แม้มื้อนี้จะเป็นอาหารที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่ทว่ากลับมิมีผู้ใดปริปากบ่น อาจจะเป็นเพราะนี่คืออาหารมื้อแรกในจวนหลังใหม่ก็เป็นได้
และข่าวที่ท่านแม่ทัพพร้อมทั้งครอบครัว เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้แพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่าย่อมมีเหล่าขุนนาง และพ่อค้าจากหลากหลายตระกูลในเมืองหลวง ที่อยากจะมาผูกไมตรีกับจวนแม่ทัพ จึงได้พากันส่งของกำนัลต้อนรับมาให้ท่านแม่ทัพซูไม่ขาดสาย บ้างก็ส่งเทียบขอมาเยี่ยมเยือน บ้างก็ส่งเทียบเชิญซูฮูหยินให้ออกไปชื่นชมงานเลี้ยงต่างๆ ที่บรรดาฮูหยินของจวนนั้นๆ เป็นผู้จัดงาน เพื่ออยากทำความรู้จักและผูกไมตรีกับสตรีเรือนหลังเอาไว้
ทว่าเดิมทีซูฮูหยินนั้นหาใช่คนที่ชื่นชอบการพบปะผู้คนไม่ นางจึงเลือกที่จะปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่านางเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง อีกทั้งธุระงานเรือนก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง และอีกห้าวันหลังจากนี้ ที่จวนยังจะต้องจัดเตรียมพิธีปักปิ่นให้แก่บุตรีอีก จึงขอรับไมตรีเหล่านั้นเอาไว้ด้วยใจก็พอ หากมีโอกาสคราหน้านางย่อมไปร่วมงานอย่างแน่นอน
ทำให้ฮูหยินเหล่านั้นพากันยอมถอยไปเอง เพราะต่างคิดดูแล้วพวกนางก็ค่อนข้างที่จะเสียมารยาท ในเมื่อตระกูลแม่ทัพเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง พวกตนก็เสนอหน้าเข้าไปประจบประแจงเสียแล้ว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเกิดจากผู้เป็นสามีของพวกนางทั้งนั้น ผู้ที่มีอำนาจในมือไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก ผู้ใดบ้างที่ไม่อยากจะขอพึ่งพาบารมี
เหตุการณ์เหล่านี้ซูเยว่ซินล้วนรู้อยู่ก่อนแล้ว นางหาได้สนใจบรรดาฮูหยินจากสกุลต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่อยากเข้ามาผูกไมตรีกับมารดา เพียงอำนาจของบิดาและพี่ชายของนางไม่ ทว่าสิ่งที่นางสนใจคืองานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่จวนสกุลกู้จะจัดขึ้นหลังจากพิธีปักปิ่นของนางมากกว่า เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางจะได้พบกับผู้คนที่ทั้งดีและไม่ดีกับนางในอดีต
“ท่านแม่เจ้าคะ หลังผ่านพิธีปักปิ่นของข้าไปแล้ว ข้าว่าพวกเราตอบรับเทียบเชิญ ไปร่วมงานเลี้ยงของจวนอื่นกันสักสองสามจวนเถิดเจ้าค่ะ อย่างน้อยการที่เราเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง จำเป็นต้องผูกไมตรีกับสตรีจวนอื่นเอาไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องที่ดี”
นางไม่อยากให้มารดาต้องถูกฮูหยินตระกูลอื่นดูแคลน และถูกพวกนางเหล่านั้นทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ในยามที่ได้พบเจอกับปัญหา เฉกเช่นในชีวิตก่อนที่มารดาไร้ที่พึ่งพาทางใจ เพราะนางออกเรือนไปแล้ว ก็หาได้กลับมาเยือนสกุลเดิมบ่อยๆ ได้ ในชีวิตก่อนมีเพียงฮูหยินใหญ่สกุลกู้เท่านั้น ที่ท่านแม่ของนางคบหาและมีไมตรีด้วย
ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน หลังจากนางแต่งเข้าตระกูลกู้ไปเพียงแค่สามเดือน นางรู้ดีว่าฮูหยินใหญ่สกุลกู้นั้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีมากเพียงใด พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว การจากไปของจางซินอี๋ หรือกู้ฮูหยินในยามนั้น อาจจะเป็นฝีมือของแม่สามีของนางในชีวิตก่อนก็เป็นได้ เพราะแม่ร้ายฉันใด ลูกย่อมร้ายไม่ต่างกัน
“ถ้าเช่นนั้น…แม่ให้เจ้าเลือกดีหรือไม่ ว่าเจ้าอยากจะไปงานของตระกูลใดบ้าง”
การตัดสินใจของซูฮูหยินเข้าทางซูเยว่ซินทันที ชีวิตก่อนนางไม่เคยที่จะแสดงความเห็นออกมาเยี่ยงนี้ แต่ทว่ามารดาก็ยังตัดสินใจเลือกไปงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนตระกูลกู้ด้วยตัวนางเองอยู่ดี ทว่าครานี้นางเป็นคนเลือกโชคชะตานี้ด้วยตนเอง ซูเยว่ซินฉีกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยิบเอาเทียบเชิญมากมายก่ายกองที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเลือก สุดท้ายนางก็ส่งเทียบเชิญที่นางเลือกไปให้แก่มารดา
มีงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนสกุลกู้ และมีงานชมบุปผาที่จวนสกุลเจียง สองเทียบเชิญเท่านั้นที่นางเลือกให้แก่มารดา ทั้งสองตระกูลล้วนแล้วแต่มีฮูหยินใหญ่ที่เป็นสตรีที่ดี น่าคบหาด้วยทั้งสิ้น ชีวิตนี้นางไม่เพียงแค่จะช่วยให้คนที่นางรักไม่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร นางยังมีความคิดที่จะช่วยเหลือมารดาของกู้มู่เฉินให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยอีกคน
ซูฮูหยินเงยหน้ามองบุตรสาวแล้วส่งยิ้มจางๆ ออกมา นางได้ให้คนไปลองสืบดูมาแล้ว สตรีจากสองตระกูลนี้น่าคบหาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งท่านผู้เฒ่าตระกูลจาง ซึ่งเป็นบิดาของกู้ฮูหยิน ก็ยังนับว่าเป็นสหายเก่าของท่านพ่อของนางที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย แสดงว่าบุตรสาวของนาง ก็คงจะมีสายตากว้างไกล หาใช่เด็กที่นางจะดูเบาได้
สองแม่ลูกนั่งสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ซูเยว่ซินจะเอ่ยขอตัว…อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีปักปิ่นของนางแล้ว และหลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน นางก็จะได้พบกับคนที่นางรอคอย นางเดินออกจากเรือนใหญ่ไป พลันใบหน้างามกลับปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา โดยที่ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
“เจ้าพูดจริงหรือไม่” กู้มู่อวิ๋นถามตู้ชวนออกมาเพื่อความแน่ใจ เด็กชายตัวน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีกว่าๆ พยักหน้าขึ้นลง“ตู้ชวน ข้าให้เจ้าคิดดูให้ดี ว่าเจ้าจะทิ้งท่านแม่ของเจ้าไปได้แน่รึ สามปีเชียวนะ…หาใช่สามวัน” กู้มู่อวิ๋นถามย้ำตู้ชวนหันไปมองหน้ามารดา นางมองมายังเขาด้วยแววตาอาวรณ์ ทว่าเขาตระหนักถึงคำสอนของบิดา ว่าพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลกู้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษไม่ว่าเจ้านายจะไปที่ใด หากเป็นที่ที่พวกตนสามารถติดตามเข้าไปได้ ก็ต้องติดตามไปรับใช้พวกเขาทุกที่ เด็กชายจดจำคำสอนของบิดาอย่างขึ้นใจ เขาจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่จะหันไปคำนับขออนุญาตมารดา“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านแม่…โปรดอนุญาตให้ลูกติดตามไปรับใช้คุณชายใหญ่ด้วยเถิดขอรับ”ชิงหลวนน้ำตาซึม บุตรชายยังเยาว์วัยนัก แต่ถ้าหากนางอยากจะให้บุตรชายแข็งแรง และสามารถปกป้องคุณชายใหญ่ได้ในภายภาคหน้า นางก็จำต้องให้เขาไป“แม่อนุญาต” ชิงหลวนตอบบุตรชายกลั้นสะอื้นซูเยว่ซินมองสาวรับใช้คนสนิทด้วยแววตาขอบคุณ กู้มู่เฉินหันไ
ในช่วงเหมันตฤดู มีหิมะโปรยปรายร่วงหล่นลงมาบนพื้นดิน จนปรากฏให้เห็นภาพขาวโพลน บริเวณลานกว้างในจวนสกุลกู้ ยามนี้มีเด็กชายตัวน้อยสองคน กำลังวิ่งเล่นกันอยู่กลางลานกว้างหน้าเรือน ด้านหลังมีสตรีวัยยี่สิบต้นๆ กับสตรีวัยแรกแย้มอีกสองคนคอยวิ่งตามหลังจนเหนื่อยหอบเสียงหัวเราะสดใสตามวัยดังขึ้นเป็นระยะ บัดนี้กู้มู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของท่านราชครูกู้มู่เฉิน กับฮูหยินใหญ่ซูเยว่ซิน ก็ได้เติบโตเข้าสู่วัยเจ็ดปีแล้ว เด็กน้อยเกิดในฤดูหนาว ทำให้เขาคุ้นชินกับสภาพอากาศเช่นนี้และเด็กน้อยอีกคนที่กำลังวิ่งตามหลังเขา นั่นก็คือบุตรชายของตู้จิ้นและชิงหลวน ซึ่งเป็นบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของท่านราชครูและฮูหยินใหญ่ ทั้งคู่แต่งงานกันหลังจากที่ฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ได้เพียงสามเดือน และไม่นานนัก ชิงหลวนก็ตั้งครรภ์ ทันใช้สมใจของผู้เป็นบิดามารดา ที่ต้องการจะให้ทายาทของตน มาคอยรับใช้คุณชายน้อยต่อไปเช่นกัน“คุณชายใหญ่ ระวังลื่นนะเจ้าคะ” แม่นมกุ้ยร้องตามหลังคุณชายตัวน้อย“ไม่ล้ม…ข้าเก่ง ตู้ชวนเร็วเข้า”กู้มู่อวิ๋นร้องบอกแม่นมขณะที่ยังคงวิ่งวนอยู่บริเวณลานกว้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น มีชาวเมืองพบศพของสตรีนางหนึ่ง ที่ลอยไปติดอยู่กับเรือบรรทุกสินค้าของพ่อค้า ที่เดินทางมาค้าขายในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเขาจอดเรือเทียบท่าเอาไว้ แล้วตนเองไปเข้าพักที่หอชิวเซียน ยามเช้ากลับมาสำรวจเรือตนเอง จึงได้พบศพของสตรี เขาจึงรีบแจ้งให้แก่ทางการได้ทราบครั้นทางการนำศพขึ้นมาแล้วก็พบว่า ผู้ตายเป็นอดีตฮูหยินของกู้อี้เหวิน คุณชายรองสกุลกู้ที่เพิ่งจะป่วยตายจากไปได้ไม่นาน ชาวเมืองหลายคนต่างพากันนึกเวทนา หญิงสาวที่ก่อนหน้าเคยเป็นสตรีที่เพียบพร้อมนางหนึ่ง อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนสติไม่ดี ผู้ใดเลยจะคิดว่าคุณหนูสี่ผู้เย่อหยิ่งแห่งจวนตระกูลหลู จะได้มาพบกับจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้ซูเยว่ซินนั่งมองดอกบัวหลากสีที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระกลางจวนตระกูลกู้ นางกำลังขบคิดว่า จุดจบที่ชายหญิงสารเลวทั้งสองได้พบเจอ นั้นสาสมกับสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำต่อนางและผู้คนที่รักนางในชีวิตก่อนแล้วหรือ ทว่าพอกลับมาคิดดูอีกที หากเรื่องที่นางย้อนเวลากลับมาไม่เคยเกิดขึ้น จะไม่เท่ากับว่านางเองก็เป็นสตรีร้ายกาจ ไม่ต่างจากคนพวกนั้นหรือในระหว่างที่ซูเยว่ซินกำลังว้าวุ่นใจอยู่นั้น กู้มู่เฉินก็เดินเ
หลังจากที่กู้อี้เหวินถูกใต้เท้ากู้ลงโทษตามกฎของตระกูล เขาก็ทนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน ทว่าก่อนที่เขาจะจากไป เขากลับได้ฝันเห็นเรื่องราวบางอย่าง ช่างเป็นความฝันที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก เป็นความฝันที่เขาไม่อาจสัมผัสในชีวิตนี้ในฝันนั้นเขาได้แต่งงานกับซูเยว่ซิน และได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสมดังใจปรารถนา แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็เป็นผู้ที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางผู้เป็นภรรยา เพียงเพราะมีสตรีที่คอยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่ต้น อย่างหลูเจียงหลีคอยยุยงเขายืมมือมารดาเพื่อกำจัดท่านแม่ใหญ่ เขาหลอกใช้พี่ชายของซูเยว่ซินเพื่อกำจัดกู้มู่เฉิน ครั้นคุณชายใหญ่ซูผู้นั้นกำจัดพี่ชายของเขาสำเร็จ เขาก็จ้างให้นักฆ่าไปสังหารอีกฝ่ายเพื่อปิดปากบิดาของซูเยว่ซินก็เป็นเขา ที่สั่งให้นักฆ่าลอบสังหาร ยามที่อีกฝ่ายต้องเข้าไปปราบโจรในป่า เขาบีบน้องสาวต่างมารดาให้ออกเรือนไปกับขุนนางเฒ่า เพื่อผลประโยชน์ของตระกูล สิ่งที่เขากระทำนั้นช่างชั่วช้ายิ่งนักหากภาพที่เขาเห็นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ที่อาจจะเป็นชาติภพใดชาติภพหนึ่ง เขาก็ไม่นึกประหลาดใจเลย ว่าเหตุใดชีวิตนี้ซูเยว่ซินถึงได้เลือกที่จะเมินเฉย
เช้าวันต่อมา ข่าวการถูกปล้นฆ่าของพ่อลูกตระกูลหลู ก็ถูกเล่าลือเข้ามาในเมืองหลวง หลูเจียงหลีที่ได้ยินข่าวมาจากพวกสาวรับใช้ก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป ยามที่นางฟื้นขึ้นมานางก็ได้แต่นั่งซึม พลางขบคิดอยู่เพียงลำพัง บิดาของนางกับพี่ชายสามถูกลอบสังหาร ฝีมือของผู้ใดกัน กล้าสังหารขุนนางของราชสำนักได้เยี่ยงไร พลันนางก็คิดไปถึงความบาดหมางระหว่างสามีกับบิดา หรือจะเป็นเขากัน หลูเจียงหลีโกรธจนตัวสั่น ทว่านางต้องพยายามทำใจให้สงบ หากนางจะจัดการกับกู้อี้เหวิน นางจะต้องใช้ความเงียบแทนการส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว“ฟู่เอ๋อร์… เจ้าอยากเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้าหรือไม่” กู้อี้เหวินเอ่ยถามสตรีที่นอนอยู่ข้างกาย“อยากสิเจ้าคะ ผู้ใดบ้างที่อยากจะให้สามีมีภรรยาหลายคน” นางตอบเขาออกมาอย่างกระตือรือร้น“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องช่วยข้า…จัดการสตรีที่ขวางทางเจ้าอยู่”“น่ะ…นายท่าน…กะ…กล่าวถึง ฮูหยินเล็กรองน่ะหรือเจ้าคะ” ฟู่เอ๋อร์ลุกขึ้น เอ่ยถามเขาออกมาอย่างละล่ำละลัก“ในเรือนนี้จะยังมีผู้ใดอีกเล่า” เขาเอ
ข่าวที่ฮูหยินเล็กมีครรภ์ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งจวนตระกูลกู้ เพราะถือเป็นข่าวที่น่ายินดีไม่น้อย ต่างจากเรือนหลงจู้ที่ยังไม่ข่าวดีในเรื่องนี้เสียที จนกู้อี้เหวินทนไม่ไหว สองเดือนก่อนเขาจึงได้ใช้เงินสินเดิมของมารดา ไปไถ่ตัวฟู่เอ่อร์ออกมาจากหอชิวโหรว และซื้อเรือนให้นางอยู่แถวตรอกซืออู้ อีกทั้งยังส่งสาวรับใช้ในเรือนไปคอยรับใช้นางอีกสองสามคน“เจ้าได้ยินมาเช่นนั้นจริงๆ รึ”ตั้งแต่แต่งเข้าจวนตระกูลกู้มา หลูเจียงหลีพยายามตีสนิทพี่สะใภ้ กับแม่เลี้ยงของสามีมาตลอด ทว่าพวกนางกลับแสดงท่าทีเมินเฉยต่อนาง ราวกับว่าไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับนางไม่ นางจนใจจึงคิดว่าต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด อีกทั้งนางก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ยามที่นางได้อยู่ใกล้กับพี่สะใภ้ใหญ่ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้น“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ สาวรับใช้และบ่าวรับใช้ทุกขั้นได้รับของกำนัลจากนายท่านกันทุกคน ที่เรือนเราก็ได้รับเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” นางหยิบเหรียญเงินสองเหรียญที่ได้รับมาเป็นรางวัลเช่นกัน ชูให้แก่หลูเจียงหลีดู“เหตุใดข้าถึงได้ไม่ท้องก่อนนาง อืม…แล้ว