เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซิน
ออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ
“คุณชายใหญ่ขอรับ…นั่นใช่น้องสาวของคุณชายใหญ่ซูเยว่คงใช่หรือไม่ขอรับ” ตู้จิ้น บ่่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยทักขึ้นมาหลังจากที่มองตามสายตาของผู้เป็นนายไป
วันนี้หลังออกมาจากสำนักศึกษา ตู้จิ้นก็นึกประหลาดใจ ว่าเหตุใดคุณชายใหญ่ถึงยังไม่กลับจวน แต่ทว่าเลือกมานั่งจิบชาพลางมองผู้คนที่เดินอยู่บนถนนในตลาดตวนอี หรือที่แท้คุณชายใหญ่มีแผนการใดอยู่ในใจ แต่ก่อนที่เขาจะคิดไปไกล คุณหนูรองที่มาพร้อมกับสาวรับใช้และผู้คุ้มกัน ก็เข้ามาภายในห้องรับรองของโรงน้ำชานี้อย่างไม่ทันตั้งตัว
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านเรียกข้ามาที่หอจิ่วซาด้วยเหตุใดกันรึ” นั่งถามพี่ชายออกมา ก่อนที่จะนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไร ว่าอีกไม่กี่วันจวนของเราก็จะจัดงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศแล้ว วันนั้นจะมีบรรดาฮูหยินและคุณหนูจากหลายตระกูลมาร่วมงานมากมาย เจ้าไม่อยากซื้อเครื่องประดับ หรืออาภรณ์ใหม่เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตระกูลกู้ของเราหรอกรึ”
คำตอบของพี่ชายทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ปกติเขาไม่เคยจะมาสนใจ หรือใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ ทว่าเหตุใดครานี้เขาถึงได้สนใจนางกันเล่า หรือว่าพี่ชายใหญ่มีสิ่งใดแอบแฝง นางมองเขาอย่างระแวดระวังก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านแปลกๆ ไปนะเจ้าคะ”
กู้มู่หรงยกน้ำชาขึ้นมาจิบพลางลอบสังเกตใบหน้าพี่ชาย ทว่าอีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าออกมาเป็นปกติ แม้พี่ชายของนางจะรูปงาม ทว่าใบหน้าของเขานั้นมองแล้วให้ความรู้สึกเยือกเย็นอยู่หลายส่วน ด้วยบุคลิกที่เป็นคนสุขุม สมกับเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อที่มีอายุน้อย
“เจ้าเป็นน้องสาวพี่ พี่จึงไม่อยากให้เจ้าต้องน้อยหน้ากว่าผู้ใด อย่าคิดให้มันซับซ้อนวุ่นวาย พี่จะพาเจ้าไปเลือกเครื่องประดับที่ร้านชิวจี้เอง”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น กู้มู่หรงก็พยักหน้าแล้วยิ้มออกมาให้กับความใจดีของพี่ชาย สองพี่น้องจึงออกจากหอจิ่วซา มุ่งหน้าไปยังร้านขายเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของตลาดตวนฉีแห่งนี้ด้วยกัน
ร่างระหงในชุดเป้ยจึสีชมพูอ่อน กำลังยืนเลือกเครื่องประดับเป็นกำไลหยกจักรพรรดิ กับกำไลหยกเหอเถียนอยู่อย่างลังเล ด้วยในชีวิตก่อนนางพอจะได้รู้มาบ้างแล้วว่า กู้ฮูหยินนั้นชื่นชอบสะสมกำไลหยกมากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นหยกเหอเถียน หรือหยกมิ่งจูล้วนถูกใจนางทั้งสิ้น ทำให้การมาเลือกของกำนัลในวันที่ครอบครัวของนาง ต้องไปร่วมงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่จวนตระกูลกู้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก ทว่าในยามนี้นางกลับตัดสินใจเลือกกำไลหยกสองชิ้นนี้ไม่ได้เสียที
“คุณหนูรู้จักร้านชิวจี้ด้วยหรือเจ้าคะ”
ชิงหลัวเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะนางรู้มาว่า คุณหนูรองไม่ได้มาเยือนเมืองหลวงนานนับสิบปีแล้ว หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดคุณหนูรองถึงรู้จักร้านขายเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวงแห่งนี้ได้
“พี่ชายใหญ่บอกข้ามาน่ะ ข้าเป็นคนช่างสังเกต เดินตามหนทางที่เขาบอก ก็มาเจอร้านนี้”
ความเฉลียวฉลาดของคุณหนูรอง มีหรือที่ชิงหลวนซึ่งติดตามนางมานานจะไม่รู้ นางหาได้นึกแปลกใจเช่นเดียวกับสองสาวรับใช้รุ่นน้องไม่
ในขณะที่ซูเยว่ซินกำลังเลือกหยกเหอเถียนอยู่นั้น คุณชายใหญ่และคุณหนูรองสกุลกู้ พร้อมทั้งผู้ติดตามก็พากันเข้ามาภายในร้านเช่นกัน เสียงของเถ้าแก่เจ้าของร้านทักทายสองพี่น้องด้วยความนอบน้อมยินดี ซูเยว่ซินครั้นได้ยินว่าลูกค้าที่เข้ามาใหม่คือผู้ใด นางก็หันไปมองทั้งสองคนอย่างตกตะลึง ชีวิตก่อนนางหาได้พบเจอกับสองพี่น้องในร้านชิวจี้แห่งนี้ไม่ เหตุใดวันนี้ทั้งสองคนถึงมาเยือนที่นี่ได้ หัวใจของนางพลันเต้นแรง
นางสำรวจมองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังยิ้มแย้มพูดคุยกับเจ้าของร้าน ก็ทำให้นางอดที่จะคิดถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนไม่ได้ ความรู้สึกที่ทั้งเสียดาย และรู้สึกผิดตีกันจนทำให้นางรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ กู้มู่เฉิน ทั้งเป็นคนดี สุภาพและรูปงามถึงเพียงนี้ เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองข้ามเขาไปกัน ในระหว่างที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ สายตาคมของคุณชายใหญ่สกุลกู้ ก็สบเข้ากับนัยน์ตากลมโตของซูเยว่ซินพอดี นางจึงต้องรีบหลบตาเขา แล้วหันไปสนใจเลือกกำไลหยกตรงหน้าราวกับว่าไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
“คุณชายใหญ่กู้กับคุณหนูรองกู้อยากได้เครื่องประดับแบบใดหรือขอรับ”
เจ้าของร้านสอบถามลูกค้าทั้งสองอย่างประจบเอาใจ เพราะผู้ใดก็รู้ว่าตระกูลกู้นั้นเป็นหนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งของเมืองหลวง เพราะฮูหยินใหญ่มาจากตระกูลคหบดีเก่า มีสินเดิมยามที่แต่งเข้าจวนตระกูลกู้มากมายก่ายกอง แล้วบุตรชายกับบุตรสาวแท้ๆ ของนาง จะถูกผู้คนมองข้ามได้เยี่ยงไร
“ท่านพี่ใหญ่…ข้าอยากได้ต่างหูเจ้าค่ะ” กู้มู่หรงออดอ้อนพี่ชายออกมา เขาหันกลับมามองหน้านาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นพี่จะซื้อให้เจ้าสักสองคู่ดีหรือไม่” เด็กหญิงวัยสิบสามปีพยักหน้าขึ้นลงอย่างดีใจ ริมฝีปากจิ้มลิ้มก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา
เจ้าของร้านเห็นเช่นนั้น จึงเดินนำหน้าสองพี่น้องไปยังตู้ที่มีต่างหูให้เลือกดูมากมาย กู้มู่เฉินลอบมองสตรีที่กำลังเลือกกำไลหยกอยู่โดยไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกต กู้มู่หรงเลือกต่างหูไปพลางสอบถามความเห็นของเขาไป ทว่ากลับมีอยู่หลายคราที่นางมองตามสายตาของผู้เป็นพี่ชายไป จนได้พบว่าใจเขากำลังจดจ่ออยู่ที่ใด พี่ชายของนางกำลังสนใจสตรีที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพธิดา แม้แต่นางเองก็ยังแทบจะละสายตาจากอีกฝ่ายไม่ได้ ริมฝีปากจิ้มลิ้มฉีกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วจึงรีบผละจากพี่ชาย เดินไปยังโต๊ะที่มีกำไลหยกอยู่เรียงรายทันที
ซูเยว่ซินรู้สึกใจเต้นแรงจนแทบจะไม่มีสมาธิเลือกกำไลหยกตรงหน้า ในขณะที่นางตัดสินใจเลือกได้แล้ว ให้สาวรับใช้คนสนิทนำไปจ่ายเงิน และกำลังจะเดินออกจากร้านไป เสียงเล็กของคุณหนูรองสกุลกู้ ก็ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ซูเยว่ซินต้องชะงักเท้าแล้วหันกลับไปมอง กู้มู่เฉินกำลังจะเข้ามาหาน้องสาวเพื่อห้ามไม่ให้เสียมารยาท ทว่ากลับไม่ทันการณ์
“พี่สาวท่านนี้ ท่านเป็นคุณหนูจากตระกูลใดหรือเจ้าคะ”
ซูเยว่ซินไม่ถือสาน้องสาวของคุณชายใหญ่กู้ เพราะชีวิตก่อนนางเองก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน นางจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แล้วตอบคำถามของกู้มู่หรงออกมา
“น้องสาว… ข้ามาจากตระกูลซู เพิ่งจะย้ายมาอยู่ในเมืองหลวงนี้ได้ไม่นาน”
กู้มู่หรงรู้สึกชื่นชอบสตรีตรงหน้ายิ่งนัก แววตาของอีกฝ่ายแสดงออกมาถึงความจริงใจ รอยยิ้มก็ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ทำให้นางนึกชื่นชมพี่ชายที่สายตาดี
“ตระกูลซู…พี่ชายใหญ่เจ้าคะ ตระกูลซูคือตระกูลของท่านแม่ทัพ ที่เพิ่งจะย้ายมาประจำการที่เมืองหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวทวนนามตระกูลของสตรีตรงหน้า ก่อนที่จะหันกลับไปถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ขออภัยคุณหนูรองซู น้องสาวข้าเสียมารยาทต่อเจ้าแล้ว” กู้มู่เฉินไม่ตอบน้องสาว ทว่าหันไปกล่าวขออภัยต่อสตรีตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงสุภาพแทน ซูเยว่ซินส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว
“ไม่เสียมารยาทเลยเจ้าค่ะ อืม…ข้าขอบน้ำใจคุณชายใหญ่ เรื่องพู่หยกด้วยนะเจ้าคะ”
ไหนๆ วันนี้ก็ได้พบเขากับตัวแล้ว ซูเยว่ซินจึงถือโอกาสนี้ขอบน้ำใจเขาต่อหน้าเสียเลย สำหรับพู่หยกที่เขาฝากพี่ชายมามอบให้แก่นางในวันปักปิ่นที่ผ่านมา กู้มู่หรงรู้สึกงุนงง พลางมองหน้าทั้งสองสลับกัน
“ท่านทั้งสองรู้จักกันมาก่อนหรือเจ้าคะ” สองหนุ่มสาวส่ายหน้าพร้อมกัน ก่อนที่กู้มู่เฉินจะกล่าว
“พี่กับพี่ชายของคุณหนูรองสกุลซูเป็นสหายกัน เมื่อวานได้มีโอกาสไปเยือนจวนตระกูลซู จึงได้รู้ว่าแม่นางน้อยเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อวาน พอดีว่ายามนั้นพี่ไม่มีสิ่งใดติดตัว จึงได้มอบพู่หยกที่มีอยู่ให้แก่นางเป็นของกำนัล”
กู้มู่หรงตาโต ในใจตื่นเต้นยินดี ก่อนที่จะหันไปมองเจ้าของดวงหน้างาม ที่ยามนี้ใบหน้าของนางก็ยังคงมีแต่รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรส่งมาให้ เรื่องนี้เห็นทีต้องนำไปเล่าให้มารดาฟังเสียแล้ว กู้มู่หรงเห็นว่าไหนๆ อีกฝ่ายก็เป็นน้องสาวของสหายสนิทพี่ชาย นางจึงรั้งซูเยว่ซินให้ช่วยนางเลือกต่างหูอย่างออดอ้อน พี่สาววัยสิบห้านึกเอ็นดูน้องสาววัยสิบสามอยู่ไม่น้อยจึงไม่ปฏิเสธ อยู่ช่วยอีกฝ่ายจนเลือกต่างหูเสร็จจึงกล่าวขอตัว
คราแรกกู้มู่หรงอยากจะรั้งให้อีกฝ่ายเดินเที่ยวชมตลาดด้วยกันก่อน ทว่าพี่ชายกลับตำหนินางว่าอย่าเสียมารยาท สุดท้ายกู้มู่หรงจึงตัดใจยอมปล่อยซูเยว่ซินให้กลับไป ก่อนจะจากกันซูเยว่ซินก็ไม่ลืมที่จะบอกคุณหนูรองสกุลกู้ ว่านางและครอบครัวจะไปเยือนที่จวน ในเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่กู้ฮูหยินเป็นเจ้าภาพอย่างแน่นอน และนั่นยิ่งทำให้กู้มู่หรงรู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก จึงยอมปล่อยพี่สาวที่นางชอบไปแต่โดยดี
“หรงเอ๋อร์… วันนี้เจ้าเสียมารยาทกับคุณหนูรองซูยิ่งนัก เจ้ารู้ตัวหรือไม่”
กู้มู่เฉินตำหนิน้องสาวขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ากลับจวนตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นไร แม้การที่นางแสดงออกมา ว่ายินดีที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับน้องสาวของเขา ทว่าในใจของนางผู้ใดเล่าจะรู้
“เสียมารยาทอันใดกันเจ้าคะ ข้าไม่ได้บังคับนางเสียหน่อย อีกอย่างข้าชอบนางจึงอยากใช้เวลาเที่ยวเล่นกับนาง ข้าผิดด้วยหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงที่ดังออกมาจากเจ้าของดวงหน้างามฟังดูแล้วให้ความรู้สึกปวดใจ
กู้มู่เฉินถอนหายใจออกมา เป็นเขาเองมิใช่หรอกหรือ ที่อยากจะเข้าไปอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย ถึงได้ดึงให้น้องสาวมาร่วมเดินบนเส้นทางนี้ด้วย แล้วเขาจะตำหนินางได้เยี่ยงไร ในเมื่อใจจริงแล้ว เขาอยากให้น้องสาวและสตรีผู้นั้นมีไมตรีที่ดีต่อกัน
“เอาล่ะ…เอาล่ะ คราหน้า หากได้พบหน้านางอีก ก็มีมารยาทให้มากขึ้นหน่อย อย่ารบเร้านางให้มากนัก ข้าเกรงว่าจากที่นางรู้สึกเอ็นดูเจ้า อาจจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกรำคาญเจ้าเอาได้”
กู้มู่หรงพยักหน้าขึ้นลงอย่างรู้ความ นางเชื่อว่านางมองคนไม่ผิด และถึงอย่างไรแล้ว พี่หญิงซูผู้นั้นก็คือหนึ่งในสตรีที่นางหมายตา ให้มาเป็นพี่สะใภ้ของนางในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ส่วนพี่ชายต่างมารดาอีกคน นางไม่เคยคิดแม้แต่จะใส่ใจ ไม่ว่าเขาจะแต่งงานกับผู้ใด เขาก็เป็นเพียงได้แค่ผู้อาศัยอยู่ในจวนอยู่ดี
ทางด้านซูเยว่ซินก็รู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ไม่น้อย ในชีวิตก่อนนางหาได้พบกับสองพี่น้องในร้านชิวจี้ไม่ เหตุการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมเยี่ยงนี้ทำให้นางรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจไม่น้อย แล้วเหตุการณ์ที่สตรีผู้นั้นจะใส่ร้ายคุณหนูรองสกุลกู้จะยังเกิดขึ้นหรือไม่ นางก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว ในขณะที่นางกำลังนั่งเงียบ สามสาวรับใช้ก็พูดคุยกันถึงคุณหนูรองสกุลกู้
“คุณหนูรองสกุลกู้ผู้นั้น นางเป็นเด็กนิสัยดีอยู่ไม่น้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเคยได้พบนางตักข้าวต้มแจกผู้ยากไร้ในโรงทานของตระกูลกู้เมื่อปีก่อน ยามนั้นนางยังเด็กกว่านี้นัก” ชิงหรงเล่าถึงอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชื่นชม
ทำไมซูเยว่ซินจะไม่รู้ว่าสองพี่น้องสกุลกู้นั้นเป็นคนดีมากเพียงใด หากในชีวิตก่อนนางได้พบกับคุณหนูรองกู้มู่หรงก่อนได้พบกับสตรีผู้นั้นเช่นในชีวิตนี้ บางทีนางอาจจะไม่เชื่อเรื่องที่หลูเจียงหลี ใส่ร้ายว่าคุณหนูรองกู้มู่หรง ตั้งใจผลักตนเองให้ตกน้ำ ในวันงานชมดอกเบญจมาศที่จวนตระกูลกู้ก็ได้ เพราะชีวิตก่อนนางถูกสตรีผู้นั้นปิดบังอำพราง อีกทั้งนางก็มีสายตาที่คับแคบ ครั้นได้คบหากับสตรีผู้นั้นก็ยิ่งถูกอีกฝ่ายปิดหูปิดตา ลองมาคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตก่อนของนางก็ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
“ข้าน้อยสังเกตเห็นสายตาของคุณชายใหญ่สกุลกู้ที่มองมายังคุณหนูรองของเรา ช่างสื่อได้หลากหลายอารมณ์เหลือเกินเจ้าค่ะ” ชิงหลวนหันมาบอกกับคุณหนูรองของนาง ซูเยว่ซินที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดก็พลันได้สติกลับคืนมา นางจ้องหน้าสาวรับใช้คนสนิท ก่อนที่จะถาม
“อารมณ์เช่นไรรึ” ชิงหลวนยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“ตัดพ้อ อาวรณ์ ห่วงหา ลุ่มหลง” หัวใจของซูเยว่ซินเต้นแรงพลันใบหน้างามเห่อร้อน ความรู้สึกที่ชิงหลวนกล่าวออกมานั้น เป็นเขาที่แสดงออกมาจริงๆ น่ะหรือ แต่นางกับเขาเพิ่งจะได้พบกัน และเขายังไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้นางเลยด้วยซ้ำ แล้วอารมณ์ที่แสดงออกมาผ่านแววตาเหล่านี้คือสิ่งใดกัน
“เหลวไหล!!! ข้ากับเขาเพิ่งจะพบหน้ากัน เจ้าทั้งสามอย่าได้เอาไปพูดที่ใดเชียว ผู้อื่นได้ยินแล้วจะพากันเข้าใจผิดเอาได้”
นางแสร้งตำหนิชิงหลวนออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกสับสนภายในใจของตนเอง สาวรับใช้ทั้งสามกลั้นยิ้มพลางรับคำ ซูเยว่ซินจึงเลิกสนใจแล้วมองออกไปยังหน้าต่างรถม้าผ่านผ้าม่านผืนบาง ถึงนางจะมีความหวังให้เขามีใจให้นางเช่นในชีวิตก่อนเยี่ยงไร
ทว่านางก็ยังคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่เขาจะมามีใจให้แก่นางเช่นกัน ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ว่าคนที่เพิ่งพบกัน จะแสดงแววตาเช่นเดียวกับที่ชิงหลวนได้กล่าว ต้องเป็นสาวรับใช้ของนางที่มองผิดไปเป็นแน่ ซูเยว่ซินรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจ ก่อนที่นางจะพยายามทำจิตใจให้สงบ เลิกสนใจคุณชายใหญ่สกุลกู้ไปชั่วคราว และหันกลับไปสนใจคิดวิธีการล่มแผนการของสตรีผู้นั้น ในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่ใกล้เข้ามาทุกทีแทน
“เจ้าพูดจริงหรือไม่” กู้มู่อวิ๋นถามตู้ชวนออกมาเพื่อความแน่ใจ เด็กชายตัวน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีกว่าๆ พยักหน้าขึ้นลง“ตู้ชวน ข้าให้เจ้าคิดดูให้ดี ว่าเจ้าจะทิ้งท่านแม่ของเจ้าไปได้แน่รึ สามปีเชียวนะ…หาใช่สามวัน” กู้มู่อวิ๋นถามย้ำตู้ชวนหันไปมองหน้ามารดา นางมองมายังเขาด้วยแววตาอาวรณ์ ทว่าเขาตระหนักถึงคำสอนของบิดา ว่าพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลกู้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษไม่ว่าเจ้านายจะไปที่ใด หากเป็นที่ที่พวกตนสามารถติดตามเข้าไปได้ ก็ต้องติดตามไปรับใช้พวกเขาทุกที่ เด็กชายจดจำคำสอนของบิดาอย่างขึ้นใจ เขาจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่จะหันไปคำนับขออนุญาตมารดา“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านแม่…โปรดอนุญาตให้ลูกติดตามไปรับใช้คุณชายใหญ่ด้วยเถิดขอรับ”ชิงหลวนน้ำตาซึม บุตรชายยังเยาว์วัยนัก แต่ถ้าหากนางอยากจะให้บุตรชายแข็งแรง และสามารถปกป้องคุณชายใหญ่ได้ในภายภาคหน้า นางก็จำต้องให้เขาไป“แม่อนุญาต” ชิงหลวนตอบบุตรชายกลั้นสะอื้นซูเยว่ซินมองสาวรับใช้คนสนิทด้วยแววตาขอบคุณ กู้มู่เฉินหันไ
ในช่วงเหมันตฤดู มีหิมะโปรยปรายร่วงหล่นลงมาบนพื้นดิน จนปรากฏให้เห็นภาพขาวโพลน บริเวณลานกว้างในจวนสกุลกู้ ยามนี้มีเด็กชายตัวน้อยสองคน กำลังวิ่งเล่นกันอยู่กลางลานกว้างหน้าเรือน ด้านหลังมีสตรีวัยยี่สิบต้นๆ กับสตรีวัยแรกแย้มอีกสองคนคอยวิ่งตามหลังจนเหนื่อยหอบเสียงหัวเราะสดใสตามวัยดังขึ้นเป็นระยะ บัดนี้กู้มู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของท่านราชครูกู้มู่เฉิน กับฮูหยินใหญ่ซูเยว่ซิน ก็ได้เติบโตเข้าสู่วัยเจ็ดปีแล้ว เด็กน้อยเกิดในฤดูหนาว ทำให้เขาคุ้นชินกับสภาพอากาศเช่นนี้และเด็กน้อยอีกคนที่กำลังวิ่งตามหลังเขา นั่นก็คือบุตรชายของตู้จิ้นและชิงหลวน ซึ่งเป็นบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของท่านราชครูและฮูหยินใหญ่ ทั้งคู่แต่งงานกันหลังจากที่ฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ได้เพียงสามเดือน และไม่นานนัก ชิงหลวนก็ตั้งครรภ์ ทันใช้สมใจของผู้เป็นบิดามารดา ที่ต้องการจะให้ทายาทของตน มาคอยรับใช้คุณชายน้อยต่อไปเช่นกัน“คุณชายใหญ่ ระวังลื่นนะเจ้าคะ” แม่นมกุ้ยร้องตามหลังคุณชายตัวน้อย“ไม่ล้ม…ข้าเก่ง ตู้ชวนเร็วเข้า”กู้มู่อวิ๋นร้องบอกแม่นมขณะที่ยังคงวิ่งวนอยู่บริเวณลานกว้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น มีชาวเมืองพบศพของสตรีนางหนึ่ง ที่ลอยไปติดอยู่กับเรือบรรทุกสินค้าของพ่อค้า ที่เดินทางมาค้าขายในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเขาจอดเรือเทียบท่าเอาไว้ แล้วตนเองไปเข้าพักที่หอชิวเซียน ยามเช้ากลับมาสำรวจเรือตนเอง จึงได้พบศพของสตรี เขาจึงรีบแจ้งให้แก่ทางการได้ทราบครั้นทางการนำศพขึ้นมาแล้วก็พบว่า ผู้ตายเป็นอดีตฮูหยินของกู้อี้เหวิน คุณชายรองสกุลกู้ที่เพิ่งจะป่วยตายจากไปได้ไม่นาน ชาวเมืองหลายคนต่างพากันนึกเวทนา หญิงสาวที่ก่อนหน้าเคยเป็นสตรีที่เพียบพร้อมนางหนึ่ง อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนสติไม่ดี ผู้ใดเลยจะคิดว่าคุณหนูสี่ผู้เย่อหยิ่งแห่งจวนตระกูลหลู จะได้มาพบกับจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้ซูเยว่ซินนั่งมองดอกบัวหลากสีที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระกลางจวนตระกูลกู้ นางกำลังขบคิดว่า จุดจบที่ชายหญิงสารเลวทั้งสองได้พบเจอ นั้นสาสมกับสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำต่อนางและผู้คนที่รักนางในชีวิตก่อนแล้วหรือ ทว่าพอกลับมาคิดดูอีกที หากเรื่องที่นางย้อนเวลากลับมาไม่เคยเกิดขึ้น จะไม่เท่ากับว่านางเองก็เป็นสตรีร้ายกาจ ไม่ต่างจากคนพวกนั้นหรือในระหว่างที่ซูเยว่ซินกำลังว้าวุ่นใจอยู่นั้น กู้มู่เฉินก็เดินเ
หลังจากที่กู้อี้เหวินถูกใต้เท้ากู้ลงโทษตามกฎของตระกูล เขาก็ทนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน ทว่าก่อนที่เขาจะจากไป เขากลับได้ฝันเห็นเรื่องราวบางอย่าง ช่างเป็นความฝันที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก เป็นความฝันที่เขาไม่อาจสัมผัสในชีวิตนี้ในฝันนั้นเขาได้แต่งงานกับซูเยว่ซิน และได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสมดังใจปรารถนา แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็เป็นผู้ที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางผู้เป็นภรรยา เพียงเพราะมีสตรีที่คอยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่ต้น อย่างหลูเจียงหลีคอยยุยงเขายืมมือมารดาเพื่อกำจัดท่านแม่ใหญ่ เขาหลอกใช้พี่ชายของซูเยว่ซินเพื่อกำจัดกู้มู่เฉิน ครั้นคุณชายใหญ่ซูผู้นั้นกำจัดพี่ชายของเขาสำเร็จ เขาก็จ้างให้นักฆ่าไปสังหารอีกฝ่ายเพื่อปิดปากบิดาของซูเยว่ซินก็เป็นเขา ที่สั่งให้นักฆ่าลอบสังหาร ยามที่อีกฝ่ายต้องเข้าไปปราบโจรในป่า เขาบีบน้องสาวต่างมารดาให้ออกเรือนไปกับขุนนางเฒ่า เพื่อผลประโยชน์ของตระกูล สิ่งที่เขากระทำนั้นช่างชั่วช้ายิ่งนักหากภาพที่เขาเห็นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ที่อาจจะเป็นชาติภพใดชาติภพหนึ่ง เขาก็ไม่นึกประหลาดใจเลย ว่าเหตุใดชีวิตนี้ซูเยว่ซินถึงได้เลือกที่จะเมินเฉย
เช้าวันต่อมา ข่าวการถูกปล้นฆ่าของพ่อลูกตระกูลหลู ก็ถูกเล่าลือเข้ามาในเมืองหลวง หลูเจียงหลีที่ได้ยินข่าวมาจากพวกสาวรับใช้ก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป ยามที่นางฟื้นขึ้นมานางก็ได้แต่นั่งซึม พลางขบคิดอยู่เพียงลำพัง บิดาของนางกับพี่ชายสามถูกลอบสังหาร ฝีมือของผู้ใดกัน กล้าสังหารขุนนางของราชสำนักได้เยี่ยงไร พลันนางก็คิดไปถึงความบาดหมางระหว่างสามีกับบิดา หรือจะเป็นเขากัน หลูเจียงหลีโกรธจนตัวสั่น ทว่านางต้องพยายามทำใจให้สงบ หากนางจะจัดการกับกู้อี้เหวิน นางจะต้องใช้ความเงียบแทนการส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว“ฟู่เอ๋อร์… เจ้าอยากเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้าหรือไม่” กู้อี้เหวินเอ่ยถามสตรีที่นอนอยู่ข้างกาย“อยากสิเจ้าคะ ผู้ใดบ้างที่อยากจะให้สามีมีภรรยาหลายคน” นางตอบเขาออกมาอย่างกระตือรือร้น“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องช่วยข้า…จัดการสตรีที่ขวางทางเจ้าอยู่”“น่ะ…นายท่าน…กะ…กล่าวถึง ฮูหยินเล็กรองน่ะหรือเจ้าคะ” ฟู่เอ๋อร์ลุกขึ้น เอ่ยถามเขาออกมาอย่างละล่ำละลัก“ในเรือนนี้จะยังมีผู้ใดอีกเล่า” เขาเอ
ข่าวที่ฮูหยินเล็กมีครรภ์ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งจวนตระกูลกู้ เพราะถือเป็นข่าวที่น่ายินดีไม่น้อย ต่างจากเรือนหลงจู้ที่ยังไม่ข่าวดีในเรื่องนี้เสียที จนกู้อี้เหวินทนไม่ไหว สองเดือนก่อนเขาจึงได้ใช้เงินสินเดิมของมารดา ไปไถ่ตัวฟู่เอ่อร์ออกมาจากหอชิวโหรว และซื้อเรือนให้นางอยู่แถวตรอกซืออู้ อีกทั้งยังส่งสาวรับใช้ในเรือนไปคอยรับใช้นางอีกสองสามคน“เจ้าได้ยินมาเช่นนั้นจริงๆ รึ”ตั้งแต่แต่งเข้าจวนตระกูลกู้มา หลูเจียงหลีพยายามตีสนิทพี่สะใภ้ กับแม่เลี้ยงของสามีมาตลอด ทว่าพวกนางกลับแสดงท่าทีเมินเฉยต่อนาง ราวกับว่าไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับนางไม่ นางจนใจจึงคิดว่าต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด อีกทั้งนางก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ยามที่นางได้อยู่ใกล้กับพี่สะใภ้ใหญ่ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้น“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ สาวรับใช้และบ่าวรับใช้ทุกขั้นได้รับของกำนัลจากนายท่านกันทุกคน ที่เรือนเราก็ได้รับเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” นางหยิบเหรียญเงินสองเหรียญที่ได้รับมาเป็นรางวัลเช่นกัน ชูให้แก่หลูเจียงหลีดู“เหตุใดข้าถึงได้ไม่ท้องก่อนนาง อืม…แล้ว