เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่แฝงแววตัดพ้อของมู่เมิ่งเสวี่ย เฉียวเนี่ยนและฉู่จืออี้ก็ลอบสบตากันโดยสัญชาตญาณ ต่างฝ่ายต่างอ่านความนัยในแววตาของอีกคนออก มันคือความอับจนหนทางและความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ดูเหมือนมู่เมิ่งเสวี่ยเองก็ไร้เจตนาจะยื้อยุดฉุดความในยามนี้ นางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับสติอารมณ์ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง: “แต่อย่างไรเสีย ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นตระกูลมู่ของข้าที่ผิดก่อน คุมขังผู้ภักดี เรื่องที่ท่านวางแผนหลอกใช้ข้า ข้าจะขอละเว้นไม่เอาความชั่วคราว ทว่าข้ามีคำเตือนประโยคหนึ่ง จำต้องมอบให้ท่านทั้งสอง”สายตาของนางกวาดมองเฉียวเนี่ยนและฉู่จืออี้ พลางกดเสียงต่ำ ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ: “คุกน้ำเน่าของตระกูลมู่ ก่อตั้งโดยบรรพชนมากว่าร้อยปีแล้ว ตลอดร้อยปีมานี้ ไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาได้แม้แต่คนเดียว... ท่านอ๋อง ระวังตัวด้วย”วาจาของมู่เมิ่งเสวี่ยเพียงสะกิดเตือน มิได้ลงรายละเอียด ทว่านัยแห่งคำเตือนนั้นกลับเปรียบประดุจน้ำเย็นจัดสาดรดลงกลางใจของคนทั้งคู่คุกน้ำเน่านั้นรายล้อมด้วยการคุ้มกันแน่นหนา ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือแห่งยุทธภพ ภายในยังเต็มไปด้วยค่ายกลกับดักที่สังหารคนได้ไร้ร่องรอย
続きを読む