บททั้งหมดของ อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง: บทที่ 181 - บทที่ 190

242

บทที่ 181

กลิ่นอายขมฝาดของน้ำชาและแรงกดดันอันตึงเครียดกระจายไปทั่วอากาศเจียงหวนเห็นดังนั้น ยื่นมือไปดึงมุมแขนเสื้อของเขาเบาๆ“ฝ่าบาทเพคะ…”เสียงเรียกอันแผ่วเบานี้ ได้ทลายทำนบที่ฮั่วหลินพยายามก่อขึ้นมาร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวหันมาภายใต้แสงไฟในวังที่ส่องสว่าง เจียงหวนมองเห็นใบหน้าของฮั่วหลินอย่างชัดเจนใบหน้าที่เย็นชาและแข็งกร้าวนั้น ยามนี้มีคำว่าเหนื่อยล้าเขียนไว้รอยคล้ำใต้ตาเข้มจนน่าตกใจ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแววตาที่เด็ดเดี่ยวสงบนิ่งเสมอมา สะท้อนแววล้มเหลวและเลื่อนลอย“เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงของฮั่วหลินฟังดูเหมือนคนสิ้นหวังที่กำลังจมน้ำคว้าเรือไม้ไว้ได้เขามองเจียงหวนด้วยแววตาลึกซึ้ง ร่างกายสูงใหญ่ค่อยๆ โน้มลงมา วางหน้าผากลงบนหัวไหล่ของเจียงหวนเบาๆ“ให้ข้าพิงสักหน่อยนะ เพียงแค่ประเดี๋ยวเท่านั้น”เสียงของเขาขึ้นจมูกอย่างชัดเจน แฝงไว้ด้วยความอ่อนแอและอ้อนวอนอย่างไม่เคยมีมาก่อนหัวใจของเจียงหวนอ่อนยวบในพริบตา นางมิได้ลังเลแม้แต่น้อย รีบยื่นแขนออกไปกอดเขาอย่างอ่อนโยน“ฝ่าบาทอยากพิงนานเท่าใดก็ย่อมได้เสมอเพคะ” นางกระซิบเสียงแผ่ว น้ำเสียงอ่อนโยนฮั่วหลินพิงไ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 182

“ข้ารู้”ฮั่วหลินตอบกลับเสียงเบา ในน้ำเสียงมีความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาตำหนักใหญ่เงียบสงบ บรรยากาศที่ยากจะอธิบายโอบล้อมรอบกายทั้งสองสายตาของฮั่วหลินค่อยๆ เลื่อนลง ก่อนจะหยุดจ้องที่มือของเจียงหวนมือของนางเรียวยาวขาวเนียน ปลายนิ้วอมชมพูแสดงให้เห็นถึงสุขภาพที่ดีเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือของตนออกไปกุมที่หลังฝ่ามือของเจียงหวนเบาๆหัวใจของเจียงหวนเต้นผิดจังหวะ ความอบอุ่นที่แผ่มาจากฝ่ามือของฮั่วหลินส่งผลให้แก้มของนางร้อนผ่าว ทว่านางกลับมิได้ดึงมือกลับ“เจียงหวน”ฮั่วหลินเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบต่ำทว่าชัดเจน แฝงไว้ด้วยความจริงจังต่างไปจากยามปกติ“ช่วงที่ผ่านมานี่ ยามที่ข้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หากคิดถึงเจ้า หัวใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เจ้า… จะยินยอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปหรือไม่?”วาจาของฮั่วหลินตรงไปตรงมาทว่าเร่าร้อน แต่ละคำกระแทกหัวใจของเจียงหวนอย่างไม่มีตกหล่นครานี้ เสียงในหัวใจก็ราวกับไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วนางมองฮั่วหลิน มองบุรุษที่ยามปกติสูงส่งอยู่เหนือผู้คน เวลานี้กลับแสดงความอ่อนแอต้องการที่พึ่งพาต่อหน้านางภาพแผ่นหลังของเขาที่ฝืนทำเป็นเคร่งขรึมยามอ่านฎีกา ภาพที่เขาจ้องมอง
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 183

จุมพิตของฮั่วหลินประทับลงมาอย่างนุ่มนวลเริ่มแรกเป็นสัมผัสอ่อนโยน แฝงไว้ด้วยแววหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง ครั้นสัมผัสได้ถึงความยินยอมของนาง จุมพิตก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง เจียงหวนตอบสนองอย่างงุ่มง่ามจุมพิตนี้กินเวลาไม่นานมาก ตอนที่ฮั่วหลินถอยออกไป หน้าผากของเขายังคงชนกับนาง ปลายจมูกสัมผัสกัน ลมหายใจผสานเป็นหนึ่งเดียว“เจียงหวน…”เขาขานเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ให้ความรู้สึกใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแก้มของเจียงหวนแดงไปทั้งแถบ นางรับคำเบาๆ “อื้ม”[อยากกอดนางไปตลอดเหลือเกิน…]น้ำเสียงของฮั่วหลินบ่งบอกถึงความอาวรณ์อย่างชัดเจนแต่ทว่า สติสัมปชัญญะในฐานะฮ่องเต้ก็ยังคงดึงเขาที่จมอยู่ในภวังค์อันอบอุ่นให้กลับมาสู่ความเป็นจริงรายงานสงครามจากทางใต้ราวกับน้ำเย็นที่สาดใส่ช่วงเวลาแห่งห้วงเสน่หาอันแสนสั้น“ข้า…”เขาเงียบไป น้ำเสียงกลับมาเคร่งขรึมดังเช่นยามปกติ ทว่ากลับมีความอ่อนโยนสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา“ข้าต้องเรียกพบแม่ทัพหลินเจิงเพื่อหารือเรื่องการทหารทางใต้ เจ้ารีบกลับไปผักผ่อนเถิด อย่าปล่อยให้ตนเองหนาว”เจียงหวนรู้ว่าเรื่องการทหารเร่งด่วน มิใช่เวลาที่จะมาบ่มเพาะความรักอันลึก
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 184

หลินเจิงไม่มีทางไล่น้องสาวให้ออกไปอยู่แล้ว ตรงกันข้ามเขากลับพยายามสนับสนุนสิ่งที่น้องสาวทำอย่างเต็มที่เขารีบส่งเสริมคำพูดของเจียกุ้ยเฟย ประสานหมัดเอ่ยว่า “ฝ่าบาท แม้เรื่องการทหารจะเร่งด่วน ทว่าพระวรกายของพระองค์นับเป็นรากฐานของบ้านเมือง พระองค์ทรงต้องทนุถนอมด้วยนะพะย่ะค่ะ“พระสนมกุ้ยเฟยทรงอ่อนโยนและใส่ใจเสมอมา ทรงรู้พระทัยของฝ่าบาท หากสามารถอยู่เคียงข้างและปลอบประโลมฝ่าบาทในยามที่พระองค์เหน็ดเหนื่อยจากการอุทิศตนให้แก่ราษฎรบ้านเมืองได้ ก็นับเป็นความยินดีของเหล่าขุนนางอย่างหม่อมฉัน และนับเป็นหน้าที่ของวังหลังด้วยพะย่ะค่ะ”ความหมายแฝงในวาจาของหลินเจิงนั้นชัดเจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้วดวงตาของฮั่วหลินฉายแววไม่พอใจ ทว่าภายนอกกลับไม่แสดงออกเขาเอ่ยวาจาเสียงขรึม สะท้อนบารมีน่าเกรงขามที่มิอาจต่อต้าน เปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมาเรื่องเดิมโดยไม่ไว้หน้า“แม่ทัพหลิน ปัญหาหลักที่กองทัพเจิ้นหนานเพลี้ยงพล้ำในครานี้ เป็นเพราะหน่วยสอดแนมมิอาจสืบรู้ความเคลื่อนไหวของกองกำลังหลักฝ่ายศัตรูล่วงหน้า ข้าขอถามท่าน เป็นเพราะหน่วยสอดแนมบกพร่องในหน้าที่ หรือเป็นเพราะยังมีเรื่องใดปิดบังอยู่อีก?”เขาจงใจเน้น
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 185

หวังเต๋อกุ้ยเป็นคนฉลาดเพียงใด เขารีบจัดวางน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวและกับแกล้มทุกอย่างไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ข้างโต๊ะทรงงาน จากนั้นก็ถอยหลังไปยืนอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบๆฮั่วหลินหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมา เขาตักน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวส่งเข้าปากหนึ่งคำรสชาติหวานชื่นลื่นคอกระจายไปทั่วลิ้น ปลอบประโลมเส้นประสาทในร่างกายที่ตึงเครียดมาทั้งคืนให้หายล้าในพริบตากับแกล้มรสชาติสดชื่นนั่นยิ่งปรับรสชาติหวานละมุนของน้ำแกงให้ไม่เลี่ยนเกินไป ส่งผลให้กระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดีรสมือของนางช่างเป็นหนึ่งไม่มีใครเทียมได้เลยจริงๆหากสามารถไปหานางที่ตำหนักเว่ยยางตอนนี้ได้เลยก็คงดีช่างเถิดๆ เสิ่นอี้เคยบอกไว้ บางครั้งการเว้นระยะห่างให้อีกฝ่ายบ้าง ความสัมพันธ์จะยิ่งพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ......ฮั่วหลินยังคงเสวยมื้อเช้าอย่างแช่มช้า เพียงแต่มุมปากที่หยักโค้งขึ้นเล็กน้อยกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆหลังเสวยมื้อเช้าเสร็จ ฮั่วหลินรับผ้าร้อนมาเช็ดหน้าและมืออย่างละเอียดลออสัมผัสอุ่นร้อนทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมา รู้สึกราวกับสรรพางค์กายเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอีกครั้งเขาลุกขึ้นยืน หวังเต๋อกุ้ยรีบก้าวเข้าไป จัดแจงเสื้อคลุ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 186

การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 187

“พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 188

พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 189

“โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 190

ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
1
...
1718192021
...
25
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status