บททั้งหมดของ อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง: บทที่ 171 - บทที่ 180

242

บทที่ 171

[ตราบใดที่นางชอบ เสียเงินเท่าใดก็คุ้มค่าทั้งนั้น]เจียงหวนพูดไม่ออก วิธีการแสดงความโปรดปรานของฮ่องเต้นี้ เรียบง่ายและดุดันตรงไปตรงมาเกินไปไหม?“จริงๆ แล้ว” นางกระซิบกับฮั่วหลิน “หม่อมฉันแค่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่เท่านั้นเองเพคะ ไม่จำเป็นต้อง...”“ไม่เป็นไร” ฮั่วหลินพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ที่จวนบังเอิญขาดคนทำขนมเป็นพอดี”ในที่สุดเจียกุ้ยเฟยที่ฟังฮั่วหลินโกหกตาไม่กะพริบ ก็ทนต่อไปไม่ไหวห้องครัวหลวงมีพ่อครัวมากมาย ฝีมือล้วนยอดเยี่ยม แล้วจะทำขนมไม่เป็นได้อย่างไร“คุณชาย ที่จวนเรามิใช่มี...”“เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ” ฮั่วหลินตัดบทนางอย่างไม่อ้อมค้อมเจียกุ้ยเฟยไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าใดแล้ว ที่นางถูกฮั่วหลินตัดบทนางมองสายตาแปลกๆ ของผู้ดูแลร้านและอาจารย์จาง สีหน้าของนางเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียวสลับกันไปมา ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่จากไปพร้อมความโกรธผู้ดูแลร้านไม่พอใจพฤติกรรมการซื้อตัวคนต่อหน้าของฮั่วหลินอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นฮั่วหลินมีบุคลิกไม่ธรรมดา จึงมิได้แตกหักในทันที “แขกท่านนี้ อาจารย์จางเป็นดาวเด่นของหอจุ้ยเซียนเรา ท่านทำเช่นนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะนักใช่หรือไม่”เมื่อได้ยินดังนั้น ฮั่วหลิ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 172

หลังจากกลับถึงพระราชวัง คนทั้งสองก็ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ทว่าความสงบสุขนี้อยู่ได้ไม่นานนัก พายุก็โหมกระหน่ำเข้าสู่ราชสำนักมีรายงานด่วนจากทางเหนือ ว่าหลายมณฑลเกิดการระบาดของตั๊กแตนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบศตวรรษ ฝูงตั๊กแตนปกคลุมเต็มท้องฟ้าจนบดบังแสงอาทิตย์ พวกมันกัดกินต้นอ่อนของพืชผลจนหมดสิ้น ราษฎรผู้ประสบภัยไร้ที่อยู่อาศัย เสียงร้องไห้ครวญคร่ำดังระงมไปทั่วเกือบจะพร้อมกันนั้น ก็มีข่าวด่วนมาจากทางชายแดนใต้ แคว้นศัตรูฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้ามารุกรานยั่วยุบ่อยครั้ง สงครามใกล้จะเกิดขึ้นแล้วแสงไฟในห้องทรงงานสว่างไสวตลอดคืน ฮั่วหลินเรียกประชุมเหล่าขุนนางเพื่อหารือมาตรการรับมือติดต่อกันหลายวัน เขามักนั่งตรวจฎีกาที่สูงเป็นกองพะเนินเหมือนภูเขาตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงกลางดึกแม้เจียงหวนจะได้รับคำสั่งจากฮั่วหลินให้พักฟื้นอยู่ในตำหนักเว่ยยาง แต่นางก็ไม่ถึงกับไม่รู้ความเป็นไปภายนอกเลยทุกวัน เสี่ยวเจาจะพูดถึงบรรยากาศตึงเครียดในราชสำนักอย่างกังวล หว่างคิ้วของหวังเต๋อกุ้ยที่แวะเวียนมาส่งของเป็นครั้งคราว ก็ปรากฏความเหนื่อยล้าที่ยากจะปกปิดเช่นกันและสิ่งที่ทำให
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 173

หวังเต๋อกุ้ยถอนใจด้วยใบหน้าอมทุกข์ ขณะกำลังจะเดินออกไป นอกพระตำหนักก็มีเสียงล้อรถดังมา พร้อมกับกลิ่นหอมอันเย้ายวนใจฮั่วหลินเงยหน้าขึ้นทันที ก็เห็นเจียงหวนอยู่บนรถเข็นที่เสี่ยวเจากำลังเข็นเข้ามาอย่างช้าๆนางยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายขณะจ้องมองเขา“ฝ่าบาท หม่อมฉันนำของว่างยามดึกมาให้พระองค์แล้วเพคะ”ฮั่วหลินคิดจะยืนขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ ทว่าร่างกายกลับแข็งเกร็งอยู่บ้างเพราะนั่งนานเกินไป“เหลวไหล!” เขาชักสีหน้า จงใจทำเสียงเคร่งขรึม“ผู้ใดให้เจ้าวิ่งไปวิ่งมากัน ขายังไม่หายดี หากไปชนไปกระแทกถูกสิ่งใดเข้าอีกจะทำอย่างไร?”[มืดขนาดนี้ ระหว่างทางอันตรายจะตาย][เหตุใดนางไม่พักผ่อนอยู่ในห้องดีๆ นะ]เจียงหวนฟังออกถึงความห่วงใยที่ปิดไม่มิดในน้ำเสียงเข้มงวดของเขา ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แต่กลับแสดงสีหน้ายอมรับผิดอย่างสุภาพว่า“ฝ่าบาท โปรดทรงระงับโทสะ หม่อมฉันไม่ดีเองเพคะ แต่มีเสี่ยวเจาคอยเข็นให้ ตลอดทางก็จุดไฟไว้ จึงปลอดภัยอยู่เพคะ”นางหยิบหม้อตุ๋นออกมาแล้วเลื่อนไปที่ด้านหน้าของเขา เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมเข้มข้นก็กำจายมาทันทีตัวน้ำแกงใส เผยให้เห็นเนื้อไก่ที่ถูกตุ๋นจนนุ่มร่วน
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 174

วันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งสางฮั่วหลินก็เรียกตัวเหล่าขุนนางคนสนิทมาที่ห้องทรงพระอักษรแล้วเสียงกระซิบกระซาบในที่ประชุมทั้งกดดันและเร่งร้อน แม้จะมีประตูตำหนักที่หนาหนักขวางกั้น ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียดจนกระทั่งยามเที่ยงวัน เหล่าขุนนางจึงทยอยเดินออกมา แต่ละคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมฮั่วหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรเพียงลำพัง กดปลายนิ้วลงบนขมับที่ปวดตุบๆฎีกาที่กองอยู่บนโต๊ะมิได้ลดลงเลย และเพราะรายงานข่าวทางทหารและรายงานด่วนเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มาใหม่ ทำให้เพิ่มพูนจนน่าตกใจขึ้นไปอีกการส่งอาหารและเงินบรรเทาทุกข์ การเติมเสบียงยุทโธปกรณ์ทางทหาร การโต้เถียงระหว่างฝ่ายต่างๆ ในราชสำนัก...ทุกเรื่องล้วนเร่งรีบ แต่ความคืบหน้ากลับเป็นไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกินคนข้างกายของเขาที่ใช้งานได้ก็แทบถูกส่งออกไปหมดแล้ว ยามนี้ไม่อาจแบ่งคนแบ่งเวลาไปจัดการได้แล้วจริงๆกำลังคนยังคงไม่เพียงพอฮั่วหลินหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ใบหน้าคนในราชสำนักแล่นผ่านไปในสมอง ในที่สุดก็หยุดลงที่เงาร่างของคนผู้หนึ่งเสด็จอาทรงว่างงานมานานเพียงนี้ ถึงเวลาที่เขาต้องกลับมาออกแรงสักหน่อยแล้วฮั่วหลินลืมตาขึ้นทันท
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 175

หวังเต๋อกุ้ยหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างแฝงนัยว่า “ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องบ้านเมือง บรรทมไม่หลับมาหลายวันแล้ว หากทรงทราบว่าท่านอ๋องทรงประชวรหนักเพียงนี้ เกรงว่าจะทรงส่งหมอหลวงมาตรวจรักษาให้ท่านอ๋องด้วยพระองค์เองเป็นแน่”ภายในใจของฮั่วอวิ๋นสิงสะดุ้งขึ้นมา ส่งหมอหลวงมางั้นหรือ? แบบนั้นก็ถูกจับได้สิเขารีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงหรอก ข้าแค่เป็นโรคเก่า พักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว”หวังเต๋อกุ้ยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เขาเหลือบมององุ่นข้างเตียงที่ฮั่วอวิ๋นสิงยังไม่ทันเก็บครั้งหนึ่ง แล้วโค้งคำนับจากไปข่าวนี้ถูกส่งกลับไปที่ห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็วหลังฮั่วหลินได้ฟังคำรายงานของหวังเต๋อกุ้ย ก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันคราหนึ่งแกล้งป่วยหรือ? มุขนี้ฮั่วอวิ๋นสิงใช้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว!เขาวางพู่กันชาดลงแล้วมองหวังเต๋อกุ้ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก“ถ่ายทอดคำสั่งของเราลงไป ในเมื่อเซียวเหยาอ๋องป่วยหนักเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะจวนอ๋องเงียบเหงาเกินไป ไร้คนดูแล เราเห็นใจเสด็จอา จึงประทานหญิงงามสี่นางให้เป็นพิเศษ ให้ส่งตัวไปที่ตำหนักอ๋องเดี๋ยวนี้ เพื่อคอยปรนนิบัติป้อนยาให้เสด็จอาทั้งกลางวันและ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 176

เสมือนดั่งเบื้องหน้าของฮั่วอวิ๋นสิงได้ปรากฏภาพของสาวงามขึ้นสี่นาง พวกนางกำลังกอดก่ายแสดงความห่วงใย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขาอย่างน่าขนลุก“อย่านะ มีสิ่งใดก็คุยกันได้” ฮั่วอวิ๋นสิงขี้ขลาดขึ้นมาทันที“ข้ารับปากเจ้าก็ได้ แค่เข้าประชุมราชสำนักหารือข้อราชการไม่ใช่หรือไง ข้าขอเสี่ยงแล้ว”สีหน้าของเขาเศร้าสลด ราวกับสถานที่ที่จะไปมิใช่ท้องพระโรง แต่เป็นลานประหารกระนั้นรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นในก้นบึ้งดวงตาของฮั่วหลิน ทว่ารวดเร็วจนคนจับไม่ได้หากเป็นเช่นนี้แต่แรกก็จบแล้วมิใช่หรือ?“เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้เราจะรอเสด็จอาที่การประชุมราชสำนักในตอนเช้า”ผ่านไปอีกวันหนึ่ง วันต่อมา ณ ตำหนักจินหลวนเหล่าขุนนางยังคงรายงานเรื่องภัยพิบัติทางตอนเหนือและสถานการณ์ทางทหารทางใต้ แต่ละคำล้วนเป็นดั่งหินก้อนยักษ์ที่กดทับจิตใจผู้คนฮั่วหลินนั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาเมื่อฝูงตั๊กแตนผ่านมา ก็จะไม่เหลือพืชพรรณให้งอกเงยอีก การเพาะปลูกในปีหน้าก็จะเป็นปัญหาหนักด้วยการพึ่งพาการแจกจ่ายโจ๊กของทางการเพียงอย่างเดียว ก็เหมือนน้ำน้อยที่ไม่อาจดับไฟ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโรคระบาดอีกขณะที่บรรยากาศในราช
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 177

นางถือน้ำแกงสาลี่ที่เพิ่งตุ๋นเสร็จใหม่ๆ โดยมีเสี่ยวเจาเข็นพาไปที่โต๊ะทรงพระอักษรอย่างช้าๆฮั่วหลินมิได้เงยหน้าขึ้นมอง เขายังคงจับจ้องอยู่ที่รายงานในมือ ความกังวลคั่งค้างอยู่บริเวณหว่างคิ้ว“ฝ่าบาท”เจียงหวนวางน้ำแกงสาลี่ลงบนมุมโต๊ะทรงพระอักษรอย่างแผ่วเบา เสียงวางนั้นนุ่มนวลอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเส้นประสาทที่อ่อนล้าของเขา“ทรงดื่มน้ำแกงเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำคอหน่อยเถิดเพคะ”เมื่อมองริมฝีปากแห้งๆ ของฮั่วหลิน ในใจของเจียงหวนก็รู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาฮั่วหลินถูกเสียงของนางดึงกลับมาจากความคิดอันหนักอึ้งเล็กน้อยเขาเงยหน้าขึ้นมองเจียงหวน แววตานั้นทั้งอ่อนล้าและลึกล้ำ [ขาของนางยังไม่หายดี ยังนำอาหารมาให้เราทุกวันอีก ลำบากนางแล้วจริงๆ]หัวใจของเขาสั่นไหวเบาๆ ความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นผ่านร่างเขา แต่ก็ถูกความกังวลที่ลึกล้ำกว่าก็กลบทับไปอย่างรวดเร็ว[ไม่อยากอาหารเลย หากแปลงน้ำแกงสาลี่นี่เป็นร้อยที่ไปแจกจ่ายให้ราษฎรที่ประสบภัยได้ก็คงดี]ฮั่วหลินไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย แต่เพราะเจียงหวนเป็นคนทำ เขาไม่อยากให้ความพยายามของนางต้องสูญเปล่า จึงยังคงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำแกง เพียงแต่การ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 178

ในช่วงเวลาอาหารเย็น เจียงหวนให้เสี่ยวเจาเตรียมเครื่องเคียงรสชาติสดชื่นสองสามอย่างที่ฮั่วหลินชอบทานเป็นพิเศษในยามปกติ พร้อมกันนั้นนางได้ทำน้ำแกงกระเพาะหมูตุ๋นพริกไทยดำ ที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและบำรุงร่างกายอีกถ้วยหนึ่ง“นายหญิงน้อย ทุกอย่างพร้อมแล้วเพคะ” เสี่ยวเจากล่าวเบาๆ“อื้ม ไปกันเถอะ”เจียงหวนเก็บกระดาษที่เขียนคำแนะนำไว้ลงในแขนเสื้อ แล้วนำกล่องอาหารมุ่งหน้าไปที่ห้องทรงพระอักษรแสงไฟภายในห้องทรงพระอักษรสว่างไสว ฮั่วหลินยังคงฝังตัวอยู่ในกองฎีกาที่กองสูงเป็นภูเขาเมื่อได้ยินเสียงล้อรถที่คุ้นเคย เขาก็เงยหน้าขึ้น ในตอนที่เห็นเจียงหวน ในดวงตาก็ปรากฏความอบอุ่นขึ้นจางๆ[บอกไปแล้วว่าไม่ให้นางมาส่งอีก นางไม่เชื่อฟังเช่นนี้เสมอเลย]“ฝ่าบาท” เจียงหวนหมุนรถเข็นเข้ามาใกล้โต๊ะทรงอักษร “ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว ทรงเสวยสักหน่อยเถิดเพคะ วันนี้หม่อมฉันทำน้ำแกงกระเพาะหมูตุ๋นพริกไทยดำ ชุ่มคอไม่แห้ง มีฤทธิ์อุ่นช่วยบำรุงร่างกายได้ดีที่สุดเลยเพคะ”“ตกลง” ฮั่วหลินตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าอยู่บ้างที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากอาหารมากนัก แต่เมื่อเห็นแววตาที่กระตือรือร้นของเจียงหวน เขาก็เอ่ยคำปฏิเสธไม่ออก
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 179

สิ่งที่เห็นคือ ในส่วนลึกของหน้าฎีกา มีกระดาษที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยแผ่นหนึ่งสอดอยู่เนื้อสัมผัสและสีของกระดาษนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับกระดาษฎีกาสีเหลืองสดที่ทางการใช้ผู้ใดเป็นคนใส่เข้ามากัน?ทันใดนั้น ฮั่วหลินก็เกิดความรู้สึกหวาดระแวงและไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยห้องทรงพระอักษรเป็นเขตหวงห้ามสำคัญ ผู้ใดที่กล้าหาญชาญชัยเพียงนี้ ถึงกับกล้าเอาของแบบนี้มาสอดไว้ในฎีกาที่เขาต้องพิจารณา?นิ้วเรียวยาวที่แฝงด้วยความเย็นชาของเขาดึงแผ่นกระดาษออกมาแล้วกางออกลายมือที่งดงามพุ่งสู่สายตาของเขาทันที มันดูคุ้นเคยอยู่บ้าง ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ฮั่วหลินก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยเห็นมันจากที่ใดหัวคิ้วของเขาขมวดแน่น แววตามีการพินิจพิจารณา ใช้กระบอกไม้ไผ่ดึงน้ำจากที่ต่ำ? กลบด้วยขี้เถ้าไม้? นี่มันตำรับชาวบ้านอะไรกัน? ยังกล้าใส่เข้ามาในฎีกาอีก?เขาคิดจะขยำกระดาษแล้วโยนมันทิ้งไปโดยสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม ขณะที่สายตาของเขาเลื่อนต่อลงไปด้านล่าง และกวาดผ่านคำอธิบายที่กระชับแต่ชัดเจนพวกนั้น ความเคลื่อนไหวของเขาก็ชะงักลง“นำไม้ไผ่ที่หนาและแข็งแรงมาเจาะทะลุลำข้อ แล้วปักลึกสู่ใต้ดินเพื่อค้นหาแหล่งน้ำ”กระบอกไม้ไผ่
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 180

คืนนั้น ฮั่วหลินเรียกตัวคนสนิทจากกรมโยธาธิการและกรมคลังมาพบ เขาปรับเปลี่ยนวิธีการในกระดาษเล็กน้อย แล้วสั่งให้พวกเขาเริ่มโครงการนำร่องในมณฑลอวิ๋นโจว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายในราชสำนักและไอสงครามที่คุกรุ่นบริเวณชายแดน ก็ยังมิได้สงบลงเพียงเพราะกระดาษคำแนะนำอันยอดเยี่ยมแผ่นหนึ่งไม่กี่วันต่อมา ข่าวที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็พุ่งทะลุมาทำลายความสงบสุขของพระราชวังรายงานด่วนจากชายแดนใต้แจ้งว่า ขณะที่หน่วยหนึ่งของกองทัพเจิ้นหนานกำลังไล่ล่ากองกำลังข้าศึกที่มารุกรานพรมแดน กองทัพเจิ้นหนานเพราะประเมินข้าศึกต่ำไป จึงรุกคืบอย่างหุนหัน ทำให้ถูกศัตรูซุ่มโจมตี เสบียงอาหารที่กองทัพนำไปด้วยก็ถูกเผาทำลายไปกว่าครึ่ง ผู้บัญชาการใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และสูญเสียทหารหลายพันนายในตอนที่ข่าวถูกส่งมาถึง ก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วในห้องทรงอักษร ฮั่วหลินเพิ่งตรวจรายงานเกี่ยวกับโครงการนำร่องทางตอนเหนือฉบับหนึ่งเสร็จทว่าเรื่องปลอบประโลมใจอันหาได้ยากนี้ ได้ถูกข่าวการพ่ายแพ้ทางตอนใต้ บดขยี้จนเป็นผุยผงในเสี้ยววินาที
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
1
...
1617181920
...
25
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status