ชื่อ 'โตมร' ฟังครั้งแรกเหมือนเป็นคำประกอบที่มีความหมายดิบๆ แต่พอขยับดูดีๆ มันกลายเป็นเครื่องมือสื่อความหมายที่หนักแน่นในเชิงสัญลักษณ์ของภาพยนตร์สำหรับผมเอง
การอ่าน 'โตมร' ในเชิงสัญลักษณ์ต้องแยกชิ้นส่วนคำ: 'โต' ที่พาไปสู่การเติบโต การเปลี่ยนผ่าน หรือการ
พ้นวัย และ 'มร' ที่สะท้อนความเกี่ยวพันกับความตาย มรดก หรือสิ่งที่ยังหลงเหลือจากอดีต เมื่อสองพลังนี้ปะทะกันในหน้าจอ เราได้เห็นภาพของตัวละครที่โตขึ้นในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการสูญเสีย การละทิ้ง หรือการสลายตัวของตัวตนเดิม ตัวอย่างเช่น ในบางฉาก ผู้กำกับอาจให้ตัวละครถือวัตถุชำรุด เช่น นาฬิกาเก่า เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่น หรือบ้านที่ผุพัง เพื่อทำให้ความคิดเรื่องความเป็นไปของเวลาและความตายกลมกลืนกับการเติบโต
การใช้องค์ประกอบภาพยนตร์ทำให้สัญลักษณ์นี้ชัดขึ้น: โทนสีที่เปลี่ยนจากอุ่นเป็นเย็นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต การตัดต่อข้ามเวลาแบบกระโดดเพื่อเน้นการพลัดพราก ซาวนด์สเคปที่ใส่เสียงก้องหรือเสียงหัวใจเต้นเบาๆ ในฉากที่ตัวละครต้องตัดสินใจ รวมถึงการจัดวางมุมกล้องที่ชอบจับเงาสะท้อนหรือเงาผ่านกระจกเพื่อสื่อว่ามีตัวตนอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังชื่อเดียวกัน เพื่อนฝูงหรือคนรอบตัวอาจเรียกชื่อเดียวกันนั้นซ้ำๆ จนมันกลายเป็นคำพูดสะกดจิตที่ย้ำเตือนถึงชะตากรรมและความคาดหวังของสังคม
ผมเห็นสัญลักษณ์แบบนี้ชัดในภาพยนตร์ที่เล่นกับความทรงจำและมรดกของคนรุ่นก่อน อย่างเช่นใน 'Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives' ที่เรื่องราวเกี่ยวพันกับการวนกลับของชีวิตและความตาย แม้เรื่องนั้นไม่ได้ใช้คำว่า 'โตมร' แต่หลักการอ่านแบบเดียวกันก็ใช้ได้: ชื่อหรือสิ่งของหนึ่งชิ้นอาจสื่อทั้งการเติบโตและการสิ้นสุดไปพร้อมกัน สรุปแล้ว 'โตมร' ในภาพยนตร์คือสะพานเชื่อมระหว่างการเติบโตกับความเป็นอมตะ/
มรณะ เป็นตัวตั้งคำถามว่าการโตขึ้นของเราแลกมาด้วยอะไร และเราจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังเมื่อก้าวออกไปจากอดีตของตัวเอง