นักท่องเที่ยวจะไปชมโลเคชันโลกเวทมนตร์ได้ที่ไหนบ้าง?

ไม่มีอะไรตื่นเต้นไปกว่าการได้ยืนอยู่หน้าฉากที่เคยเห็นในจอแล้วคิดว่า 'นี่มันของจริงนะ'—นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเดินทางไปชมโลเคชันโลกเวทมนตร์บ่อยๆ

ฉันชอบเริ่มต้นที่จุดซึ่งเชื่อมกับตำนานภาพยนตร์และนิยาย เช่น เดินเข้าไปในพื้นที่จัดแสดงของ 'Harry Potter' ที่ Warner Bros. Studio Tour ใกล้ลอนดอน รู้สึกเหมือนสามารถหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแล้วท่องคาถาได้จริงๆ ส่วนปราสาทอย่าง Alnwick Castle ในสกอตแลนด์ก็ให้บรรยากาศแบบโรงเรียนเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่และมีมุมให้ถ่ายรูปเพลินๆ อีกทั้ง Glenfinnan Viaduct ที่เห็นรถไฟวิ่งผ่านก็คล้ายฉากจากหนังแฟนตาซี ทำให้ภาพในหัวกลายเป็นของจริงได้ทันที

ต่อมาฉันมักตามหาสถานที่ที่ธรรมชาติและงานสถาปัตย์มารวมกันจนดูราวกับหลุดมาจากนิทาน เช่น ปราสาท Neuschwanstein ในเยอรมนีซึ่งเป็นต้นแบบปราสาทเทพนิยาย หรือ Mont Saint-Michel ในฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่กลางน้ำในช่วงน้ำขึ้น การเลือกฤดูกาลก็สำคัญ: แสงเช้าหรือหมอกหนาจะยิ่งเพิ่มความลึกลับให้โลเคชันเหล่านี้ ส่วนใครชอบความสะดวกสบายมากขึ้น สวนสนุกและโซนธีมเวทมนตร์อย่าง The Wizarding World ของ Universal ก็ให้ความสมจริงและมีฉากที่จัดเต็ม เหมาะกับคนอยากรู้สึกเป็นตัวละครสักวันหนึ่ง สุดท้ายแล้วการยืนดูแสงและเงาบนกำแพงหิน หรือได้จิบเครื่องดื่มในคาเฟ่โบราณที่มีมุมคล้ายฉากภาพยนตร์ ก็ทำให้การเดินทางนั้นคุ้มค่าและอบอวลไปด้วยความทรงจำแบบนิยาย

พาไปนึกภาพแผนการเที่ยวที่คัดสรรมาเน้นโลเคชันสมจริงและเดินนอกเส้นทางบ้าง—ฉันมักแบ่งทริปเป็นสามแบบย่อๆ

แบบที่หนึ่ง: แหล่งถ่ายทำภาพยนตร์ฉากแฟนตาซี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการไปเยือน Matamata ในนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน Hobbiton จาก 'The Lord of the Rings' การเดินชมหลังคาหญ้าและประตูกลมๆ ทำให้เข้าใจว่าทำไมแฟนๆ ถึงคลั่งไคล้ มีทัวร์แนะนำเยอะและควรจองล่วงหน้าในช่วงหน้าเที่ยว แบบที่สอง: เมืองโบราณและป้อมปราการอย่าง Dubrovnik ในโครเอเชีย ที่ใช้เป็นโลเคชันถ่ายทำฉากเมืองในซีรีส์ 'Game of Thrones' การเดินบนกำแพงเมืองช่วงพระอาทิตย์ตกเป็นประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและให้ความรู้สึกว่าเดินผ่านประวัติศาสตร์ ผสมจินตนาการแบบแฟนตาซีได้สวยงาม แบบที่สาม: ทริปธรรมชาติแต่ให้บรรยากาศเวทมนตร์ เช่นขึ้นเขาไฟหรือป่าโบราณในเส้นทางที่ไม่พลุกพล่าน ความสงบและแสงที่ลอดผ่านใบไม้ทำให้มู้ดของทริปเปลี่ยนเป็นหนังสือภาพ ทั้งสามแบบนี้ช่วยให้ฉันเลือกได้ว่าอยากได้ความสะดวกแบบจัดเต็มหรืออยากได้ความเงียบสงบเพื่อปล่อยให้จินตนาการลอยไป

เคล็ดลับสั้นๆ ที่ฉันใช้คือวางแผนล่วงหน้า ตรวจสอบเวลาการเข้าชม และเผื่อเวลาไปเดินเล่นรอบๆ มากกว่าแค่จุดไฮไลท์ เพราะบ่อยครั้งมุมเล็กๆ ข้างทางต่างหากที่ให้ภาพความทรงจำในแบบที่ไม่มีในโปสเตอร์

ฉันชอบมองหามุมที่ทำให้รู้สึกว่าโลกจริงกับโลกเวทมนตร์เบลอเข้าหากัน เช่นการเดินลอดทางเดินเสาสีส้มที่ทอดยาวหรือเข้าไปในถ้ำที่มีหิ่งห้อยส่องแสง

ประสบการณ์โปรดของฉันคือการล่องเรือผ่านบ่อน้ำใสและน้ำตกที่ดูเหมือนอยู่ในเทพนิยาย สถานที่อย่าง Waitomo Glowworm Caves ในนิวซีแลนด์ ทำให้การนั่งเรือในความมืดแต่มีแสงหิ่งห้อยล้อมรอบรู้สึกเหนือจริง ส่วน Cappadocia ในตุรกี ที่ท้องฟ้าตั้งเต็มไปด้วยบอลลูนยามเช้า ก็เหมือนฉากเปิดเรื่องจากนิยายแฟนตาซี ผู้ที่ชอบสถาปัตยกรรมมักจะหลงรัก Plitvice Lakes ในโครเอเชีย เพราะทางเดินไม้ที่ทอดผ่านทะเลสาบและน้ำตกทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินเล่นในภาพวาด

ท้ายที่สุดแล้วการไปเยือนโลเคชันเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงแค่ถ่ายรูปให้เหมือนฉากหนัง แต่มันเป็นการปล่อยให้ตัวเองได้เดินเข้าไปในเรื่องเล่าและเก็บมุมเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง—นั่นแหละความมหัศจรรย์ที่คอยดึงฉันกลับไปเรื่อยๆ