Share

เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน
เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน
Author: เมิ่งอี้ซิน

<1> ฝันร้ายกลายเป็นจริง

last update Last Updated: 2025-09-05 19:23:19

ความรู้สึกแรกที่ทิ่มแทงเข้ามาในมโนสำนึกของ ทิศเหนือ คือความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วทั้งศีรษะ มันไม่ใช่ความปวดตุบ ๆ จากการอดนอนข้ามวันข้ามคืนเพื่อปั่นต้นฉบับ แต่เป็นความปวดร้าวรุนแรงราวกับมีช่างตีเหล็กนับสิบชีวิตมาตั้งโรงงานอยู่ในกะโหลก ทั้งทุบ ทั้งเผา ทั้งหลอมโลหะกันอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน

เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับมีหินถ่วงค่อย ๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพที่เห็นพร่าเลือนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ จับโฟกัสเป็นภาพเพดานไม้เก่าคร่ำคร่า ที่มีหยากไย่เกาะอยู่ตามมุมเป็นเครื่องประดับแห่งกาลเวลา แสงแดดยามสายลอดผ่านรูเล็กๆ บนหลังคาลงมาเป็นลำ ส่องให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ

“ที่ไหนวะเนี่ย...” เสียงแหบแห้งที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ มันไม่ใช่เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยของตัวเอง แต่กลับเป็นเสียงของชายหนุ่มที่ยังไม่แตกพานดีนัก

ทิศเหนือพยุงกายที่หนักอึ้งลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บจากท้ายทอยขึ้นมาอีกระลอก เขากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างงุนงง ห้องที่เขาอยู่มีขนาดคับแคบราวกับรังหนู ผนังทำจากไม้แผ่นที่ประกบกันอย่างลวก ๆ มีเตียงฟางแข็งกระด้างที่เขานอนอยู่ กับโต๊ะไม้ขาเกือบพังหนึ่งตัวเท่านั้นที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด กลิ่นดินชื้น ๆ และกลิ่นอับของไม้เก่าลอยคลุ้งปะปนกันจนแทบสำลัก นี่มันห่างไกลจากห้องพักขนาดเท่ารูหนูในเมืองหลวงของเขาลิบลับ ที่นั่นอย่างน้อยก็ยังมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกลิ่นอายของความสิ้นหวังเป็นเพื่อน

เขาเหลือบมองดูเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเอง มันเป็นอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบสีมอซอ ที่ให้ความรู้สึกระคายผิวทุกครั้งที่ขยับตัว นี่มันชุดอะไรกัน? ชุดคอสเพลย์จากยุคโบราณหรือไง? หรือว่าเพื่อนนักเขียนจะเล่นพิเรนทร์มอมเหล้าแล้วจับเขามาแกล้งเล่นในกองถ่ายละครย้อนยุค?

ความคิดเพ้อเจ้อถูกปัดทิ้งไปทันทีที่เขาลองหยิกแขนตัวเอง ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นจริงเสียยิ่งกว่ายอดวิวที่ตกต่ำของนิยายเรื่องล่าสุดเสียอีก

ทิศเหนือโซซัดโซเซลงจากเตียง ขาที่ดูยาวเก้งก้างกว่าเดิมเกือบจะพันกันจนหน้าเจ้าคะมำ สายตาของเขาสะดุดเข้ากับถังไม้ใบเขื่องที่มุมห้อง ในนั้นมีน้ำขังอยู่เกือบครึ่งค่อน แม้จะขุ่นมัวไปบ้าง แต่ก็พอจะใช้ส่องดูเงาสะท้อนได้ เขาก้มตัวลงไปอย่างเชื่องช้า หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก

สิ่งที่ปรากฏบนผิวน้ำไม่ใช่ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่มีขอบตาดำคล้ำเป็นวงเหมือนหมีแพนด้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก และมีแว่นตาหนาเตอะเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 แต่กลับเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปปีที่หล่อเหลาจนน่าโมโห

ผิวขาวละเอียดหมดจด ดวงตาเรียวคมกริบดุจตาเหยี่ยวรับกับคิ้วกระบี่ที่พาดเฉียงอย่างองอาจ สันจมูกโด่งเป็นคมสัน ริมฝีปากบางหยักได้รูป แม้จะซีดเซียวไปบ้างแต่ก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาลงได้แม้แต่น้อย สันกรามคมคายที่รับกับลำคอระหงบ่งบอกว่าเจ้าของร่างนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะต้องเป็นบุรุษรูปงามที่สามารถล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแน่นอน

“นี่มันใครวะ?”

ทันทีที่สิ้นเสียงพึมพำนั้นเอง ความทรงจำของคนแปลกหน้าก็ถาโถมเข้ามาในหัวสมองราวกับคลื่นยักษ์สึนามิที่พัดถล่มชายฝั่งอย่างไม่ปรานี ภาพแล้วภาพเล่า เสียงแล้วเสียงเล่าไหลบ่าเข้ามาปะปนกับความทรงจำเดิมของเขาจนแทบแยกไม่ออก เด็กหนุ่มกำพร้า เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม การดิ้นรนเอาชีวิตรอด...

ซึ่งชื่อของเจ้าของร่างนี้คือ กงหยางเหวิน

ราวกับมีอสนีบาตฟาดผ่าลงมากลางกระหม่อม ทิศเหนือจากโลกศตวรรษที่ 21 ผงะถอยหลังไปสองสามก้าว เข่าอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีด

กงหยางเหวิน เมืองชิงเย่ อาณาจักรมังกรคราม...

ชื่อเหล่านี้ สถานที่เหล่านี้ มันคือชื่อตัวละครและฉากในนิยายแฟนตาซีดันเจี้ยนเรื่องล่าสุดที่เขากำลังเขียนอยู่นี่หว่า นิยายแนวเกิดใหม่ในต่างโลกที่ชื่อว่า ราชันย์อสูรสะท้านภพ

ความจริงอันน่าสะพรึงกลัวข้อนี้หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าการโดนบรรณาธิการโทรมาทวงต้นฉบับตอนตีสามเสียอีก เขาทะลุมิติเข้ามาในนิยายของตัวเอง!

“ไม่... ไม่จริงน่า... เรื่องบ้า ๆ แบบนี้...” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น แต่เสียงที่ได้ยินกลับสั่นเครือเสียจนน่าสมเพช

แต่แล้ว ราวกับสวรรค์ยังเล่นตลกไม่พอ ความจริงอีกข้อหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ

กงหยางเหวินในนิยายของเขา เป็นเพียงตัวประกอบฉาก เป็นแค่ไอ้หนุ่มดวงซวยที่อาศัยอยู่ในเมืองเริ่มต้น เป็นเด็กกำพร้าที่หาเช้ากินค่ำ และมีบทบาทเพียงแค่ตาย...

ใช่แล้ว ตาย! บทบาทของกงหยางเหวินคนนี้คือการเป็นศพแรกที่ปรากฏตัวใน บทที่ 3 เพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงความน่ากลัวของมอนสเตอร์ระดับล่างอย่างหมาป่าเขี้ยวเหล็ก เป็นการปูทางให้พระเอกตัวจริงอย่าง เจิ้งเฟิงเยวี่ย ได้ออกมาโชว์เทพเป็นครั้งแรก

นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ ไม่สิ นี่มันตกนรกทั้งเป็นเลยต่างหาก!

ทะลุมิติมาทั้งที ไม่ได้เป็นพระเอก ไม่ได้เป็นตัวร้ายสุดแกร่ง แต่กลับได้เป็นแค่ตัวประกอบฉากที่ต้องตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นปกเล่มหนึ่ง!

“บ้าเอ๊ย! ใครมันจะไปยอมตายง่าย ๆ แบบนั้นวะ!” เขาตะโกนก้องอย่างเหลืออด

[ติ๊ง!]

เสียงใส ๆ ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกยุคโบราณนี้ดังขึ้นในหัวของเขา พร้อมกับปรากฏหน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงลอยขึ้นตรงหน้า ราวกับภาพโฮโลแกรมในหนังไซไฟ

[ยินดีด้วย! ท่านได้ปลุกระบบ AI ผู้สร้างสรรค์สำเร็จ]

ทิศเหนืออ้าปากค้าง ตาแทบถลนออกจากเบ้า “ระ ระบบ? นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย? พล็อตยอดฮิตของนักเขียนนิยายเว็บรึไง?!”

[ถูกต้องส่วนหนึ่ง ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากจิตสำนึกของโลกที่ท่านสร้าง เพื่อช่วยเหลือผู้เขียนในการแก้ไขข้อผิดพลาดของโชคชะตา]

เสียงที่ดังขึ้นนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ราวกับเสียงสังเคราะห์จากเครื่องจักร แต่น้ำเสียงกลับแฝงความกวนประสาทไว้อย่างประหลาด

“แก้ไขข้อผิดพลาด? หมายความว่าไง? แล้วทำไมต้องเป็นฉัน! ส่งฉันกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ทิศเหนือโวยวายใส่หน้าจอโปร่งแสง

[ไม่สามารถทำตามคำร้องขอได้ เนื่องจากลาสบอสที่ท่านสร้างขึ้นเริ่มแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตัวเอกจะรับมือไหวตามเส้นเรื่องเดิม โลกใบนี้กำลังเผชิญกับภาวะล่มสลาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดึงผู้สร้างเข้ามาเพื่อปรับเปลี่ยนอนาคต]

“ลาสบอส? นี่แกจะบอกว่าที่ฉันต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ นี่ก็เพราะฉันเขียนให้ตัวร้ายมันเก่งเกินไปเนี่ยนะ! แล้วทำไมไม่ให้ฉันไปเกิดเป็นพระเอก หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวละครที่มีชีวิตรอดเกินบทที่สิบเล่า!”

[จากการคำนวณข้อมูลทั้งหมด การให้ท่านอยู่ในร่างของกงหยางเหวิน ตัวประกอบผู้มีชะตาถึงฆาต คือจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเปลี่ยนแปลงเส้นเรื่อง เพราะเป็นการแทรกแซงที่น้อยที่สุดแต่ส่งผลกระทบต่อตัวเอกโดยตรงมากที่สุด]

“ส่งผลกระทบโดยตรงบ้านป้าแกสิ! อีกไม่เกินสองวันฉันก็ต้องไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้วไม่ใช่รึไง!”

[ถูกต้องตามข้อมูลในต้นฉบับของท่าน ตามเส้นเรื่องเดิม ในอีก 48 ชั่วโมง 13 นาที และ 22 วินาทีข้างหน้า ท่านจะถูกหมาป่าเขี้ยวเหล็กฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ที่ชายป่าด้านตะวันตกของเมือง]

หน้าจอสีฟ้าแสดงเวลานับถอยหลังขึ้นมาประกอบคำพูดอย่างไร้ความปรานี

ทิศเหนือทรุดฮวบลงกับพื้นอีกครั้ง ความหวังริบหรี่สุดท้ายดับวูบลงราวกับเปลวเทียนต้องลมพายุ เขายกมือกุมขมับ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง ชะตากรรมของเขาถูกผนึกไว้แล้วด้วยน้ำหมึกจากปลายปากกาของตัวเองแท้ ๆ

นี่ไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันคือความจริงที่เลวร้ายยิ่งกว่าฝันเสียอีก

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (2)
goodnovel comment avatar
Tan'z Brownny
ลั่นเลยอ่ะ ตรงฉายา 5555
goodnovel comment avatar
Tan'z Brownny
สนุกดีอ่ะ นี่ลาวงการวายไประยะหนึ่งแล้วเพราะไม่ค่อยมีพล็อตเรื่องแนวผจญภัยอะไรแบบนี้ จะอ่านจนจบเลยค่ะ ให้กำลังใจนักเขียนนะคะ
VIEW ALL COMMENTS

Latest chapter

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <35> แผนการสอบตก

    “ผู้สมัครคนต่อไป... กงหยางเหวิน แห่งเมืองชิงเย่!”ณ มุมหนึ่งหลังเสาหิน ร่างที่พยายามทำตัวลีบเล็กที่สุดสะดุ้งเฮือก กงหยางเหวินหลับตาปี๋ ก่นด่าโชคชะตาในใจเป็นรอบที่ล้าน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น‘เดี๋ยวนะ ข้าจะกลัวอะไร?’ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในสมองที่กำลังตื่นตระหนก เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาตื่นขึ้นมาในกระท่อมผุพัง วันที่เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะของตัวเองเป็นครั้งแรก‘พละกำลัง 5 ความว่องไว 6 สติปัญญา 7 ความทนทาน 4 โชค 1’ ใช่แล้ว นี่มันค่าสถานะของสไลม์เลเวลหนึ่งชัด ๆ เขามันคือตัวประกอบที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ๆในสถานการณ์อื่น นี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังที่สุด แต่สำหรับวินาทีนี้มันคือใบเบิกทางสู่อิสรภาพ มันคือตั๋วเที่ยวเดียวที่จะพาเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจิ้งเฟิงเยวี่ย“ฮ่า ๆๆ” เขาแทบจะหัวเราะออกมา “สวรรค์มีตา! เจิ้งเฟิงเยวี่ยสอบผ่านเพราะเขาเก่งกาจ แต่ข้า! ข้าจะสอบตกเพราะข้ามันกาก!”นี่คือแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุด ‘แผนการสอบตก’ เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะเขาอ่อนแอจริง ๆกงหยางเหวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวเท้าออกจากที่ซ่อนด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความหวัง เขาเดินไปยังกลางลานป

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <34> การทดสอบของเจิ้งเฟิงเยวี่ย

    กงหยางเหวินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นไก่ป่าหลงฝูงหงส์อย่างแท้จริงเขาถูกเจิ้งเฟิงเยวี่ยลากมาลงทะเบียนด้วยจนได้ และบัดนี้กำลังยืนตัวลีบซ่อนอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่ง พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด ขณะที่ผู้สมัครคนอื่น ๆ สวมใส่อาภรณ์ตระกูลที่ปักเย็บอย่างวิจิตร บ้างก็สวมเกราะหนังชั้นดี เขากลับอยู่ในชุดผ้าป่านธรรมดาที่เพิ่งซื้อมาจากเมืองชิงเย่ ดูไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้ที่ติดตามคุณชายมาสอบ“กลุ่มต่อไป!” เสียงอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้นอย่างเฉียบขาด “เจิ้งเฟิงเยวี่ย แห่งเมืองชิงเย่ ก้าวเข้าสู่ลานประลอง!”ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเข้ม เจิ้งเฟิงเยวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาก้าวเท้าออกจากกลุ่มผู้สมัครอย่างมั่นคง ท่วงท่าสง่างามราวนกกระเรียนที่เยื้องย่าง แผ่นหลังตั้งตรงดุจกระบี่ที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก รัศมีเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แผ่ออกมาจาง ๆ ทำให้เสียงซุบซิบโดยรอบเงียบลงไปหลายส่วน“นั่นใครน่ะ? หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่มาจากเมืองชิงเย่ เมืองบ้านนอกนั่นมีคนแบบนี้ด้วยรึ?”“ดูท่าทางสงบนิ่งนั่นสิ ไม่เหมือนคนที่กำลังจะเข้าทดสอบเลย เหมือนมาเดินเล่นในสวนหลังบ้านเสียมากกว่า”

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <33> เมืองหลวงซีหยาง

    เมื่อม่านหมอกยามเช้าจางลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กทำให้กงหยางเหวินถึงกับลืมหายใจเบื้องหน้าของพวกเขาคือกำแพงเมืองมหึมาที่ทอดกายยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรหินที่กำลังหลับใหล มันสูงตระหง่านเสียดฟ้า หอคอยสังเกตการณ์ตั้งตระหง่านเป็นระยะ ๆ ธงทิวโบกสะบัดอย่างองอาจ นี่ไม่ใช่กำแพงไม้ผุพังที่เขาเคยลอบมุดหนีออกมาทันทีที่ผ่านประตูเมือง กลิ่นอายของความเจริญก็ปะทะเข้าหน้าอย่างจัง คลื่นมนุษย์ที่สวมใส่อาภรณ์หลากสีสันเดินกันขวักไขว่ เสียงจอแจดังเซ็งแซ่จนแทบไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง โรงเตี๊ยมและร้านค้าไม่ได้เป็นเพียงกระท่อมไม้ชั้นเดียวอีกต่อไป แต่กลับเป็นอาคารสูงสามชั้น สี่ชั้น ที่สลักเสลาอย่างวิจิตรงดงาม กลิ่นหอมของเครื่องเทศราคาแพงและอาหารเลิศรสลอยตลบอบอวลกงหยางเหวินตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับหลิวเหล่าเหล่าเข้าสวนทัศนา[1] นี่คือเมืองหลวงซีหยางที่เขาเคยจินตนาการไว้ในหน้ากระดาษ แต่ของจริงกลับยิ่งใหญ่และมีชีวิตชีวากว่าจินตนาการของเขานับร้อยเท่าทว่าบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายเขากลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปเจิ้งเฟิงเยวี่ยยังคงสงบนิ่งดุจหินผา แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แววตาของเขากล

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <32> ทางลัด

    เจิ้งเฟิงเยวี่ยกระตุกบังเหียนม้าอย่างแรงจนมันร้องฮี้ สองตาของเขาที่เคยสงบนิ่งกลับทอประกายเจิดจ้าจับจ้องไปยังป่าทึบทางซ้ายมือ ราวกับเพิ่งมองทะลุกลลวงของโลกทั้งใบได้สำเร็จ‘ผู้สร้าง!’ นี่คือความคิดเดียวในหัวของเจิ้งเฟิงเยวี่ย ‘เขาพูดอีกแล้ว! เขาใช้คำว่าคนเขียน!’คำพูดเมื่อครู่ไม่ใช่การตัดพ้อต่อโชคชะตา แต่มันคือการประกาศิต มันคือการชี้แนะจากผู้สร้างที่ทนเห็นหุ่นเชิดเช่นเขาเดินทางผิดพลาดบนเส้นทางที่เขียนไว้ไม่ดีอีกต่อไปไม่ได้“ท่านหยางเหวิน!” เจิ้งเฟิงเยวี่ยหันขวับมา สีหน้าของเขาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทางลัดมันอยู่ในป่านี้ใช่หรือไม่?”กงหยางเหวินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำลายกฎแห่งความเงียบของตัวเองไปเสียแล้ว ถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน‘ฉิบหาย ข้าพูดอะไรออกไป!!’“เอ่อ... ข้า...” กงหยางเหวินอ้าปากพะงาบ ๆ พยายามจะแก้ตัว “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย อากาศมันร้อนน่ะ ท่านอย่า...”“ข้าเข้าใจแล้ว” เจิ้งเฟิงเยวี่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขากระแทกส้นเท้าเข้ากับสีข้างม้า “ในเมื่อท่านชี้แนะแล้ว ข้าจะลังเลได้อย่างไร!”สิ้นเสียงนั้น ม้าศึกคู่ใจของเขาก็พุ่งทะยานออกจากถนนหลวง เปลี่ยนทิศทางบุกฝ่าพงหนามและ

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <31> การเดินทาง

    ทว่าสำหรับกงหยางเหวินแล้ว ฉายานี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานกดทับบ่า“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาบอกกับตัวเองในใจ ขณะที่ม้าคู่ใจเริ่มย่างก้าวออกจากเขตเมือง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายหลัก “นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะยึดมั่นในคติพูดมากยากนาน ข้าจะเป็นดั่งปลาในห้วงน้ำลึก จะไม่ปริปากพูดสิ่งใดที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป!”นี่คือแผนการเอาตัวรอดขั้นสูงสุดของเขา หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทุกคำพูด ทุกคำบ่น แม้กระทั่งการจาม ล้วนสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากวังวนแห่งความเข้าใจผิดนี้ ก็คือการปิดปากเงียบเสียเจิ้งเฟิงเยวี่ยที่ควบม้าอยู่ข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป สหายร่วมทางของเขาที่ปกติมักจะมีท่าทีล่อกแล่กหรือบ่นพึมพำ บัดนี้กลับนิ่งขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ไหวติง‘เขากำลังเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว’ เจิ้งเฟิงเยวี่ยครุ่นคิดในใจด้วยความเลื่อมใส ‘บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบเย็นยิ่งนัก นี่คือจิตของผู้บรรลุธรรมโดยแท้’ความจริงแล้ว กงหยางเหวินแค่กำลังเกร็งจนแทบหยุดหายใจ เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่พูดอะไรออกมาเสียงกีบม้าดังกระทบพื้นด

  • เมื่อผมดันทะลุมิติมาเจอพระเอกนิยายในดันเจี้ยน   <30> แพ้เกสรดอกไม้

    หลังจากจัดการกับภัยคุกคามจากโจรภูเขาที่เหลือรอดจนสิ้นซากแล้ว การเดินทางของทั้งสองก็กลับสู่ความสงบสุขครั้งหนึ่ง เจิ้งเฟิงเยวี่ยดูจะยิ่งให้ความเคารพยำเกรงในตัวอาจารย์ผู้ซ่อนเร้นของเขามากขึ้นไปอีกหลายส่วน ทุกการกระทำของหยางเหวินไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ล้วนถูกตีความไปในเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งได้เสมอส่วนกงหยางเหวินนั้นเขาเริ่มจะปลงตกกับชีวิตแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงตลกที่ถูกโชคชะตาผลักให้ขึ้นไปแสดงบนเวทีละครโศกนาฏกรรม ไม่ว่าจะพยายามเล่นมุกตลกแค่ไหน คนดูก็ยังคงร้องไห้และซาบซึ้งไปกับการแสดงอันลึกซึ้งของเขาอยู่ดีหลายวันต่อมา พวกเขาได้เดินทางเข้าสู่แคว้นที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์วิเศษหายาก ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ พวกเขาได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจเข้าโดยบังเอิญ“พวกท่านได้ยินหรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อคืนมีคนเห็นบุปผาจันทราบานสะพรั่งอยู่ในทุ่งทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยล่ะ” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“จริงรึ! บุปผาจันทราในตำนานนั่นน่ะนะ ว่ากันว่ามันจะเบ่งบานเฉพาะในคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และน้ำค้างที่เกาะอยู่บนกลีบของมันก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status