เสียงกีตาร์ท่อนเปิดของ 'ไหนว่าจะไม่หลอกกัน' ทำให้ผมหยุดฟังทันทีและเริ่มตามดูวง 'Silly Fools' อย่างจริงจัง สมัยนั้นผมยังเป็นคนที่ไปรวมตัวกับเพื่อนๆ ดูวงท้องถิ่นเล่นกันตามผับเล็กๆ อยู่บ่อยๆ และความตรงไปตรงมาของดนตรีพวกเขาโดนใจมาก—ทั้งพลัง ความเศร้า และท่อนฮุคที่ร้องตามได้ง่าย ๆ
จากมุมมองของคนที่โตมากับวงการร็อกไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน ผมเห็นว่า 'Silly Fools' ไม่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมชื่อเสียง แต่ค่อยๆ สะสมฐานแฟนจากการเล่นสดและผลงานที่จับใจ คนร้องมีวิธีถ่ายทอดน้ำเสียงให้รู้สึกใกล้ชิด ขณะที่ดนตรีผสมกลิ่นอายอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก และเมโลดี้แบบป็อป ทำให้เพลงอย่าง 'ไหนว่าจะไม่หลอกกัน' ฟังแล้วทั้งร้องไห้ทั้งอยากลุกขึ้นโบกมือพร้อมกันในคอนเสิร์ต
สิ่งที่ผมให้ความสนใจมากกว่าประวัติย่อๆ คือวิธีที่วงนี้ปรับตัว เมื่อเวลาผ่านไป เสียงเพลงและการจัดเรียงดนตรีเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัย แต่แก่นของการบอกเล่าเรื่องราวความรัก ความผิดหวัง และการยืนหยัดยังคงอยู่ ค่าเป็นวงที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกและรสนิยมของคนฟังหลายรอบได้โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง นอกจากนี้การเปิดตัวเพลงที่มีท่อนคอรัสชัดเจนทำให้หลายเพลงกลายเป็นเพลงสากลของหลายคนในช่วงนั้น
ถ้าจะพูดถึงความน่าสนใจเชิงสังคม อีกประเด็นคือบทเพลงของพวกเขามักเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ส่วนตัวในชีวิตฟัง ทำให้กลายเป็นเพลงประกอบความทรงจำของหลายคน ผมเองยังจำครั้งที่ได้ยิน 'ไหนว่าจะไม่หลอกกัน' ครั้งแรกขณะเดิน
ทางกลับบ้าน และรู้สึกว่ามันพูดถึงความหวังที่พังทลายได้อย่างเรียล นั่นแหละคือเสน่ห์ที่ทำให้เพลงและวงนี้ยังถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้