ลองนึกภาพเพลงที่ใช้ชื่อเดียวกับดอกไม้ทะเลหรือดอกไม้บนฝั่ง—'
anemone'—แล้วความหมายของคำนั้นก็แทบจะบอกเล่าเรื่องราวได้เอง ผมมักเจอเพลงชื่อ 'Anemone' หลายเวอร์ชันจากศิลปินที่ต่างกันไป บางครั้งเป็นเพลงช้าเปียโน เนื้อร้องสะท้อนความเปราะบาง บางครั้งเป็นแทร็กอิเล็กทรอนิกที่เล่นกับเสียงก้องและบรรยากาศ ทำให้เพลงที่มีชื่อนี้มักมีธีมร่วมคือความเปราะบาง ความคิดถึง หรือการฟื้นตัวหลังความเจ็บปวด ฉะนั้นพอมีคนถามว่าเพลง 'Anemone' แต่งโดยใครและมีที่มาจากอะไร คำตอบจึงมักไม่ชัดเพียงชื่อเดียว ต้องดูว่าหมายถึงเวอร์ชันไหน เพราะมีหลายเพลงที่ใช้ชื่อนี้และแต่ละเวอร์ชันก็มีคนนำเสนอเรื่องราวและแรงบันดาลใจต่างกันไป
การตั้งชื่อว่า 'Anemone' มักได้แรงบันดาลใจจากสองภาพหลัก: ดอกอีโมเมียน (anemone, windflower) และดอกทะเลอย่าง sea anemone ทั้งสองมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมต่าง ๆ ดอกอีโมเมียนใน
ตำนานกรีกเกี่ยวพันกับเรื่องราวความรักและการสูญเสีย จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าแต่สวยงาม ส่วน sea anemone ให้ภาพของสิ่งมีชีวิตที่ดูบอบบางแต่มีวิธีป้องกันตัวเองอย่างฉลาด ศิลปินที่ตั้งชื่อเพลงว่า 'Anemone' มักต้องการสื่อถึงความงามที่ไม่ยั่งยืน ความเปราะบางที่ยังคงมีพลังซ่อนอยู่ หรือความสัมพันธ์ที่ผสมปนเปไปด้วยความเจ็บปวดและการเยียวยา ในเชิงดนตรี ผู้แต่งเพลงมักเลือกใช้องค์ประกอบเสียงที่ทำให้เกิดอารมณ์ใกล้เคียงกับความหมายเหล่านี้ เช่น คอร์ดที่เปิดกว้าง เสียงสตริงบาง ๆ หรือซาวด์สเคปที่เหมือนคลื่น
ในเชิงปฏิบัติ มีทั้งศิลปินอินดี้ที่แต่งเอง นักแต่งเพลงที่เขียนให้วงหรือไอดอล และโปรดิวเซอร์เพลงอนิเมะที่ใช้ชื่อนี้เป็นเพลงประกอบฉากซึ้ง ๆ หรือฉากปิดเรื่อง ผลงานบางชิ้นอาจเป็นบี-ไซด์ที่แฟน ๆ ค้นพบและยกขึ้นเป็นเพลงโปรด เพราะเนื้อหาและคอนเซปต์เข้มข้นกว่าซิงเกิลหลัก นอกจากนี้ในโลก Vocaloid และวงร็อกญี่ปุ่น ชื่อ 'Anemone' ก็ถูกนำไปใช้บ่อยเพราะภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์มันชัดเจน การจะระบุให้แน่นอนว่าศิลปินคนใดแต่งเพลง 'Anemone' จึงต้องอ้างอิงเวอร์ชันที่ชัดเจน ถ้าต้องการข้อมูลของเวอร์ชันหนึ่ง ๆ จะต้องดูเครดิตในอัลบั้มหรือข้อมูลเพลงนั้น ๆ แต่โดยรวมแล้วที่มาทางอารมณ์และภาพรวมก็คือแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและสัญลักษณ์ทางวรรณกรรมมากกว่าเหตุการณ์เฉพาะตัว
สรุปง่าย ๆ คือชื่อ 'Anemone' ในเพลงเป็นเหมือนป้ายบอกอารมณ์—ความเปราะบาง ความงามชั่วคราว และการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ซึ่งนักแต่งเพลงหลายคนเอาไปใช้ในบริบทที่ต่างกัน ผมชอบมองชื่อเพลงแบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการตีความ: เพลงเวอร์ชันไหนที่ทำให้คุณสะเทือนใจหรือคิดถึงใคร ผมเองมักถูกดึงเข้าหาเวอร์ชันที่ใช้เสียงเปียโนโปร่ง ๆ เพราะมันทำให้ภาพของดอกไม้ที่โบกไหวในลมชัดเจนขึ้น ส่งท้ายด้วยความรู้สึกว่าชื่อเดียวกันนี่แหละที่เปิดทางให้ศิลปินแต่ละคนเล่าเรื่องเดียวกันออกมาในโทนและสีสันที่ต่างกันอย่างน่าตื่นเต้น