เวลา 14.30 น.
อีกเพียงครึ่งชั่วโมงการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มภายในงานจะเริ่มขึ้นเหล่าบรรดาแขกที่ได้รับเชิญต่างเริ่มทยอยเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงกันไม่ขาดสาย แขกแต่ละคนลงทะเบียนเข้างานเพื่อการคัดกรองให้นั่งตามโซนโต๊ะรับประทานอาหารที่ถูกจัดไว้อย่างถูกต้อง โดยจะมีหมายเลขติดที่ป้ายไว้
สำหรับแขกที่ได้หมายเลข 1 คือแขกทั่วไปซึ่งทางทีมแรกจะเป็นผู้ดูแล ในขณะเดียวกันทีมที่สองจะดูแลแขกที่ติดหมายเลข 2 หรือที่เรียกว่า VIP เมื่อแขกที่ต้องดูแลเดินเข้ามาที่ห้องจัดเลี้ยง ซูมี่จึงเดินไปสวัสดีทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและเชิญแขกไปนั่งประจำโต๊ะในระหว่างที่รอเวลาอาหารพร้อมเสิร์ฟ ในช่วงนั้นเองเธอสามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขกระหว่างรอได้
แขกคนแรกที่หญิงสาวได้ต้อนรับเป็นนักธุรกิจชายชาวจีนที่พอพูดอังกฤษได้เล็กน้อย ทว่าภาษาไทยเป็นศูนย์ โชคดีที่เธอได้ภาษาจีนติดตัวมาทางสายเลือดจึงเป็นเรื่องง่ายในการสื่อสาร
“ฉิ่ง เวิ่น หนี เสี่ยง เฮอ เสิ่น เมอะ หยิ่นเลี่ยว?”
ซูมี่ถามแขกเป็นภาษาจีนว่า ‘ขออนุญาตถามค่ะ คุณอยากดื่มเครื่องดื่มอะไรดีคะ’
“โหย่ว เสิ่น เมอะ หยิ่นเลี่ยว?”
นักธุรกิจชาวจีนถามเธอกลับว่า ‘มีเครื่องดื่มอะไรบ้าง’
ด้วยความที่เป็นแขก VIP เครื่องดื่มที่ให้เสิร์ฟมีแค่ไวน์ไม่ก็แชมเปญ หญิงสาวจึงตอบแขกผู้นั้นเป็นภาษาจีนกลับว่า ‘มีไวน์และแชมเปญ’
“โหย่ว ผูเถาจิ่ว เหอ เซียงปิน”
ท้ายที่สุดนักธุรกิจชาวจีนตัดสินใจเลือกดื่มแชมเปญ พร้อมทั้งกล่าวชมซูมี่ที่พูดภาษาจีนได้คล่องมาก จะไม่ให้คล่องได้อย่างไรคุณพ่อเป็นคนจีนแท้ ๆ
เมื่อให้บริการแขกคนดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย ซูมี่จึงเดินไปต้อนรับแขกที่มาใหม่ต่อ พอมองนาฬิกาอีกทีเผลอแป๊บเดียวก็เป็นเวลา 15.00 น. พร้อมสำหรับการเสิร์ฟอาหารให้กับแขก ทันใดนั้นพี่ศักดิ์กวักมือเรียกซูมี่และน้อง ๆ ในทีมให้เดินเข้ามาหาแล้วพลางชี้อาหารจานต่าง ๆ ที่ถูกติดชื่อแขกไว้ตามหมายเลขโต๊ะเพื่อกระจายคนเสิร์ฟออกไปให้ทั่วโซน VIP
ขณะเดียวกันอลันก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาแขกนับร้อยคน เขามาในมาดหล่อคมเข้มในชุดสูทสีดำ พร้อมกับยกมือไหว้และยิ้มทักทายแขกผู้ใหญ่แทบจะทุกโต๊ะบริเวณห้องจัดเลี้ยงก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งในโซน VIP
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณเรียกให้พนักงานเสิร์ฟสักคนเดินเข้ามาหาเขา ซึ่งพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ใกล้โต๊ะเขามากที่สุดในตอนนั้นก็คือ ซูมี่
“ขอไวน์แดง 1 แก้วครับ”
ชายหนุ่มยื่นแก้วรูปทรงยาวที่ว่างเปล่าให้กับหญิงสาว ทว่าเธอไม่รับแก้วจากเขาแล้วเดินหมุนตัวออกจากโต๊ะไปที่จุดบริการเครื่องดื่มทันที นั่นทำให้เขาที่ยื่นแก้วต้องลุกขึ้นเดินตามเธอไปติด ๆ เหมือนมีความข้องใจอะไรบางอย่าง
“คุณน้ำผึ้งครับ คุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่า” อลันเดินมาพูดใกล้ ๆ ขณะที่ซูมี่ที่กำลังเปิดไวน์ขวดใหม่อยู่
“เปล่านะคะพี่..คุณอลัน”
ซูมี่หันหน้ามาพูดกับอลัน แต่ด้วยความเคยชินที่เธอเรียกเขาว่าพี่มาโดยตลอดจึงเกือบทำให้บทบาทการละครแทบหลุด
“แล้วทำไมถึงไม่รับแก้วไวน์ที่ผมยื่นให้”
“คุณอลันอยากดื่มไวน์แดงไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ แล้วไงครับ”
“แต่แก้วที่คุณยื่นให้ มันเป็นแก้วที่เอาไว้ใส่แชมเปญนี่คะ”
“แก้วไหนก็ดื่มได้เหมือนกันครับ”
“ไม่ค่ะ รูปทรงของแก้วมีผลต่อรสชาติในการดื่มไวน์ค่ะ”
“มีผลอย่างไรครับ”
“คุณอลันบอกว่าอยากดื่มไวน์แดง รสชาติและกลิ่นของไวน์แดงจะนุ่มละมุนได้นั้นต้องใช้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาเคมีกับไวน์ในแก้ว เพราะฉะนั้นลักษณะของแก้วต้องเป็นทรงอ้วนและมีปากกว้างเพื่อให้อากาศผ่านเข้าไปได้มากที่สุดค่ะ แต่แก้วแชมเปญที่คุณยื่นให้ลักษณะของมันเป็นทรงยาวและปากแก้วมีความแคบ แก้วทรงนี้ทำขึ้นมาเพื่อช่วยให้เครื่องดื่มลดการสัมผัสอากาศ มันเหมาะกับเครื่องดื่มที่ต้องรักษาความซ่าเอาไว้อย่างแชมเปญ สรุปว่าแก้วที่คุณอลันให้มาจึงไม่เหมาะที่จะใช้รินไวน์แดงค่ะ”
อลันยืนนิ่งมองซูมี่สักพัก สีหน้าเขาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเมื่อได้ฟังคำตอบของเธอ ก่อนจะผายมือให้เธอจัดการเครื่องดื่มต่อ
“งั้นก็ว่าไปตามที่คุณบอก ฝากรบกวนไปเสิร์ฟที่โต๊ะด้วยครับ”
“รับทราบค่ะ”
ซูมี่จัดการรินไวน์แดงในแก้วใบใหม่ตามลักษณะที่ถูกต้องแล้ววางแก้วไว้บนถาดเพื่อเดินไปเสิร์ฟที่โต๊ะให้อลัน จากนั้นก็เดินกลับมาประจำอยู่ที่จุดบริการเครื่องดื่มเหมือนเดิม หญิงสาวกวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อมองคนในทีมที่กำลังวุ่นวายกับการเสิร์ฟให้แขกโต๊ะอื่นในเวลาเดียวกัน ตอนนี้จึงมีเธอมายืนเฝ้าตรงนี้อยู่เพียงคนเดียว
จู่ ๆ ก็มีแขกผู้ชายหน้าตาหล่อระดับพระเจ้าเดินเข้ามาหา พร้อมส่งสายตากะล่อนผสมรอยยิ้มสุดกระชากใจให้เธอ ซูมี่ก้มมองป้ายที่ติดหมายเลข จึงรู้ว่าชายคนนี้เป็นแขก VIP หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้เพื่อทักทายแขกคนนั้น
“สวัสดีค่ะ รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
“สวัสดีครับคุณ...น้ำผึ้ง ผมซันเป็น CEO บริษัทโชคธนาพิพัฒน์กรุ๊ปยินดีที่ได้รู้จักครับ”
บุรุษหนุ่มที่นามว่า ‘ซัน’ ก้มมองที่ป้ายชื่อติดหน้าอกของเธอ ก่อนจะแนะนำตัวเองเต็มยศเหมือนทำท่าอวดฐานะเรียกร้องสาวสวยให้สนใจในตัวเขา
“ค่ะ สรุปคุณซันจะรับอะไรดีคะ”
ซูมี่เริ่มรู้สึกรำคาญที่ไม่ได้คำตอบจากแขกคนนี้เสียที แต่พยายามข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้
“อยากรับเป็นน้ำผึ้ง...สักแก้วได้ไหมครับ”
“คุณซันคงต้องไปหาซื้อข้างนอกแล้วค่ะ ตรงนี้มีแต่ไวน์และแชมเปญค่ะ”
ซูมี่ฉลาดพูดและพอที่จะตามทันพวกผู้ชายแนวเจ้าชู้ประตูดินอย่างคุณซัน
“ว้าแย่จัง งั้นขอเป็นไวน์สักแก้วแทนแล้วกันครับ”
เมื่อเขาบอกก็จัดให้ตามคำขอ ซูมี่รินไวน์ในปริมาณพอเหมาะก่อนจะหมุนตัวกลับมายื่นแก้วไวน์ให้เขา ทว่าก็เกิดเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้นจนได้ ขณะที่ซูมี่ยื่นแก้วให้ ซันตั้งใจใช้มือมาสัมผัสลากที่ปลายนิ้วของเธอก่อนจะหยิบแก้วเครื่องดื่มไปจากมือหญิงสาว แน่นอนว่าซูมี่มีอาการไม่พอใจกับการกระทำเช่นนี้ แต่ด้วยเขาเป็นแขก VIP ของอลัน เธอจึงพยายามนิ่งและเก็บอารมณ์ให้ได้มากที่สุด
“ซันสบายดีนะ”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งแทรกเข้ามาในจังหวะที่ไฟในทรวงอกของซูมี่กำลังคุกรุ่น เมื่อเธอหันไปมองเจ้าของเสียงก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่คนมาช่วยนั้นคืออลัน
“ไอ้อลันมึงสบายดีนะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
คำพูดที่ผสมภาษาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ เอ่ยออกจากปากไอ้ผู้ชายนิสัยไม่ดีทำให้ซูมี่รู้ว่าเขาและอลันน่าจะสนิทกันมาก
“สบายดี เราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะตรงนั้นกันดีกว่า” อลันชี้โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปและพยายามดันตัวซันให้เดินออกไปทันที
ซันยังไม่ยอมขยับเดิน เขาใช้สายตาเหล่มองมาที่ซูมี่ราวกับอยากได้เธอมาครอบครองให้ได้ จึงเดินเข้าไปใกล้อลันแล้วกระซิบบอกความต้องการของเขา
“กูขอชมมึงก่อนไปที่โต๊ะสักหนึ่งเรื่อง ที่นี่คัดเลือกพนักงานได้ถูกใจกูเสียจริง คัดมาทั้งหน้าตาก็สวยแถมบริการยังดีอีก ไม่ต้องนึกถึงการบริการอย่างอื่นน่าจะเป็นเลิศไม่แพ้กัน...ว่าแต่น้องคนนี้กูขอเบอร์หรือไลน์จากมึงได้เปล่าวะ”
อลันน่าจะรู้วัตถุประสงค์ของเพื่อนชายคนนี้เป็นอย่างดี ว่าเขาต้องการเพื่อเอาไปทำอะไรต่อ ด้วยความที่วันนี้เขามาเป็นแขกคนสำคัญในงานคงต้องเลือกคำตอบที่ดูไม่ทำให้เกิดความขุ่นหมองกันให้ได้มากที่สุด
“คงไม่ได้ว่ะ บริษัทจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย PDPA”
เขาฉลาดที่เลือกใช้กฎหมายที่บังคับใช้มาปฏิเสธการให้ความร่วมมือส่งต่อข้อมูลส่วนตัวของพนักงาน แน่นอนว่าซันทำสีหน้าเซ็งไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็เข้าใจได้ในเรื่องกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพราะเจ้าตัวเองก็เป็นเจ้าของบริษัท
เมื่อชายที่ชื่อซันเดินออกไปจากบริเวณนั้น ในตอนนี้ก็เหลือเพียงอลันกับ
ซูมี่ที่ยังยืนอยู่ด้วยกันสิ่งที่หญิงสาวคาดหวังในใจคือ อยากจะได้ยินคนที่เธอเรียกว่าพี่ถามเธอด้วยความเป็นห่วง เช่น ‘เมื่อกี้เป็นอะไรหรือเปล่า’ แล้วเธอพร้อมจะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ทว่าความคิดของคนเราอาจจะไม่ได้ตรงกันในทุกครั้ง ก่อนเขาจะเดินจากไปก็ได้ทิ้งท้ายประโยคหนึ่งกับเธอ
“คุณแค่เสิร์ฟเครื่องดื่มก็พอ ไม่ต้องทำหน้าที่เสิร์ฟขนมจีบให้แขกครับ”
มุมมองของซูมี่ ♥
ขอถามหนึ่งข้อว่าฉันผิดตรงไหนเนี่ย! น้องเสียหายนะคะคุณพี่ โดนผู้ชายจับมือถือแขน ไหงคดีพลิกกลายเป็นฉันไปจีบนายพระอาทิตย์นั่นได้ อ๋ออย่างว่าสนิทกันเพื่อนปกป้องเพื่อนสินะ...
หลังจากเหตุการณ์นี้ฉันก็หน้าบูดเหมือนตูดลิง แต่ด้วยถือคติที่ว่า ‘The show must go on’ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ต้องทำหน้าที่อย่างมืออาชีพให้ดีที่สุด พอมีแขกมาใช้บริการฉันก็เชิดหน้ายิ้มไหว้สวยราวกับนางสาวไทย แต่พอแขกเดินจากไปก็กลับมาหน้าบูดดังเดิม ในขณะที่พี่อลันและนายคนที่สร้างเรื่องพูดคุยกันอย่างถูกคอ ดูช่างมีความสุขเหลือเกินเนอะ
เวลา 16.00 น.
แขกเริ่มทยอยเดินออกจากห้องจัดเลี้ยง บ้างก็ขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องพัก บางคนก็เดินไปจับจองที่นั่งในห้องประชุมที่จะเริ่มขึ้นในเวลาห้าโมงเย็น ส่วนทีมแผนกอาหารและเครื่องดื่มต่างช่วยกันเคลียร์ของอย่างขะมักเขม้นจนเสร็จไว พี่ปุ้ยเดินเข้ามาโผกอดน้อง ๆ ในทีมทุกคนเพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทีม
“เก่งมากนะน้องน้ำผึ้ง เริ่มงานวันแรกทำได้ขนาดนี้” พี่ปุ้ยเดินเข้ามากอดฉันพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
“ต้องขอบคุณพี่ปุ้ยที่ให้โอกาสน้ำผึ้งมากกว่าค่ะ”
ฉันยิ้มขอบคุณพี่ปุ้ยและหันไปยกมือขอบคุณพี่ศักดิ์อีกคนด้วย พวกเราต่างยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข
ตอนนี้หมดเวลาหน้าที่ของทีมแผนกอาหารและเครื่องดื่มแล้ว พี่ปุ้ยให้ทุกคนไปพักผ่อนตามอัธยาศัยได้ แล้วค่อยมาเจอกันอีกทีหลังจบการประชุมสำคัญ ในใจฉันอยากจะถอดชุดยูนิฟอร์มแล้วรีบหาทางออกจากที่นี่เลยน่าจะดีกว่า ก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้ ส่วนเรื่องที่จะคุยกับพี่อลันค่อยหาเวลามาเจอใหม่ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ปวดฉี่มากเพราะอั้นมานาน งั้นแวะเข้าห้องน้ำก่อนไปเปลี่ยนชุดก็แล้วกัน
เมื่อฉันทำธุระส่วนตัวเสร็จและกำลังเดินเลี้ยวขวาออกมาจากห้องน้ำ ก็ดันประจันหน้ากับผู้ชายร่างสูงที่ฉันอยากจะหาเวลาคุยกับเขาสองต่อสองแทบตาย แต่ขอโทษทีตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขาแล้วเพราะน้อยใจอยู่ และจะไม่ยอมเฉลยด้วยว่าฉันคือซูมี่ ขอเดินตัดผ่านตัวพี่อลันแบบไม่สบตาไปเลยก็แล้วกัน เหอะ!
“ได้ลองทำงานจริงสนุกไหมล่ะเด็กดื้อ”
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่