เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้
“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข้าล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อข้า ข้าจึงคิดได้ว่าจะพยายามต่อต้านท่านไปทำไม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“ท่านคิดได้เช่นนี้ข้าก็ดีใจ ดังนั้นวันนี้คัดบทคัดลอกนี้ให้เสร็จแล้วท่านก็สามารถพักผ่อนได้ตามสบาย ท่านสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจยกเว้นการออกไปหาคุณหนูจวนสกุลหยาง” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถิดข้าไม่คิดจะดื้อรั้นออกไปพบหยางสุ่ยเซียนอีกแล้ว” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันยิ้มออกมา
“ดีแล้วเจ้าค่ะ สหายของท่านผู้นั้นนางเติบโตในจวนสกุลใหญ่ความคิดความอ่านซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งท่านตามนางไม่ทันหรอก” เมื่อชุยอวี้หลันพูดจบก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาหานางในทันที
“ชุยอี๋เหนียง คุณชายน้อยหลบหนีออกไปนอกจวนอีกแล้วเจ้าค่ะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ชุยอวี้หลันพลันมีโทสะขึ้นมาในทันที
“เจ้าลูกคนนี้ทำไมวันๆ ถึงได้หาแต่เรื่องกันนะ สั่งการลงไปเกณฑ์คนออกไปจับตัวคุณชายน้อยกลับมา ผู้ใดพาเขากลับมาได้ข้าจะตกรางวัลอย่างงาม” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็รีบรับคำแล้วออกไปจัดการเกณฑ์ผู้คนเพื่อออกไปตามหาหลินโม่วในทันที
“คอยดูนะตามเขากลับมาได้เมื่อไหร่ข้าจะตีเขาให้ขาหักเลย” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาที่คัดลอกอักษรเสร็จแล้วก็พลันเงยหน้าขึ้นสีหน้าของมารดาเลี้ยงทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจึงได้เอ่ยปากขออาสาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนในทันที
“แม่เล็ก ข้ากับน้องชายรู้ใจกันดี เขาหนีออกไปเช่นนี้ข้ารู้ว่าจะไปตามเขาได้ที่ไหน อีกทั้งหากข้าเป็นคนไปตามเขาย่อมจะต้องยินดีกลับมาพร้อมข้าโดยไม่ต้องเปลืองกำลังแน่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันได้แต่ส่ายหน้า
“โม่วเอ๋อออกจากจวนไปเพียงคนเดียวข้าก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว หากให้คุณหนูใหญ่ออกจากจวนไปด้วยอีกคนในใจของข้าคงจะร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม ให้บ่าวไพร่ออกไปตามหาเถิด ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะยอมกลับมาหรือไม่ ขอเพียงมีคนอ้างชื่อข้าเขาก็คงจะยินยอมกลับมาแต่โดยดี... กระมัง” เมื่อเอ่ยมาถึงประโยคท้ายชุยอวี้หลันพลันมีน้ำเสียงไม่แน่ใจ บุตรชายของนางทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น ยิ่งเมื่อได้พี่สาวและบิดาคอยให้ท้ายเขาก็ยิ่งซุกซนและไม่เชื่อฟังนางเข้าไปใหญ่
“แม่เล็กให้ข้าไปเถิด ข้าจะพาคนไปด้วยอีกหลายคน อีกทั้งข้ายังมีผงยาสำหรับใช้ป้องกันตัวอีกมากมาย ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางชี้ให้มารดาเลี้ยงของตนมองดูสาวใช้และผู้ติดตามของนาง มารดาแท้ๆ ของนางทิ้งคนของตนเองให้บุตรสาวไว้หลายคน มีอยู่สองคนที่มีวิชายุทธ์สูงส่ง เมื่อชุยอวี้หลันเห็นว่าหลินเหม่ยเหยาจะพาคนเหล่านั้นติดตามไปด้วยนางก็พลันรู้สึกวางใจ
“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด เพียงแต่หากพบโม่วเอ๋อแล้วท่านต้องรีบกลับจวนนะ หากนายท่านกลับมาถึงจวนแล้วไม่ได้พบท่าน เขาจะต้องเกณฑ์คนทั้งจวนออกไปตามหาท่านเป็นแน่”
“แม่เล็กวางใจเถิด พบโม่วเอ๋อเมื่อไหร่ข้าจะรีบพาเขากลับจวนในทันที” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็พยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยวาจาคัดค้านหลินเหม่ยเหยาอีก
หลังจากนั้นหลินเหม่ยเหยาก็พาคนของนางออกจากจวน นางรู้ดีว่าน้องชายของนางไปอยู่ที่ไหน หลินโม่วคนนี้เป็นเด็กที่ถูกนางกับบิดาตามใจจนเสียคน แม้ว่าจะเกิดในสกุลแพทย์แต่เขากลับให้ความสนใจเรื่องวิชายุทธ์ ทุกครั้งที่ว่างเขามักจะมาเรียนรู้วิชาการป้องกันตนเองกับมู่เหอและมู่จิ่น สองผู้คุ้มกันที่มารดาของนางทิ้งเอาไว้ให้ หากวันไหนมู่เหอและมู่จิ่นไม่ว่างเขาก็มักจะมาที่สำนักคุ้มภัยสกุลมู่เพื่อจะได้ใช้ลานฝึกของสำนักคุมภัยเป็นที่ฝึกซ้อมฝีมือของตนเอง
สกุลมู่เป็นสกุลเดิมของมารดาแท้ๆ ของนาง ท่านตาของนางเคยเป็นอดีตแม่ทัพใหญ่ของแคว้น พอสิ้นท่านตาสกุลมู่ก็ไร้ผู้สืบทอด เมื่อไร้ผู้สืบทอดตราแม่ทัพก็ถูกส่งคืนราชสำนัก เมื่อสิ้นท่านตาบรรดาแม่ทัพนายกองหลายคนก็ล้วนลาออกจากกองทัพ มารดาของนางกังวลว่าพอพวกเขาไร้เบี้ยหวัดที่เคยได้รับจากในกองทัพแล้วจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางจึงได้ก่อตั้งสำนักคุ้มภัยสกุลมู่ขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มคนที่เคยเป็นอดีตลูกน้องของท่านตามีอาชีพที่สามารถหาเงินเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
“โม่วเอ๋อ!” เสียงของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินโม่วที่กำลังฝึกเพลงทวนอยู่ชะงักงันไปในทันที เขารีบส่งทวนให้มู่เปียวแล้ววิ่งมาหาพี่สาวของตนเองในทันที
“พี่หญิง ท่านมาทำอะไรที่นี่” คำถามของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาขึงตาใส่น้องชายในทันที
“ก็มาตามเจ้ากลับจวนอย่างไรเล่า ร้ายกาจนักนะเดี๋ยวนี้กล้าหลบหนีออกจากจวนแล้วหรือ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อนในทันที
“ก็ท่านแม่ห้ามไม่ให้ข้าฝึกยุทธ์ภายในจวนนี่นา ข้าก็เลยต้องแอบลักลอบออกจากจวนมาฝึกที่นี่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ส่ายหน้า
“แต่ถึงอย่างไรการหลบหนีออกจากจวนโดยไม่บอกกล่าวกับผู้ใด ก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี ดังนั้นเจ้ารีบเดินทางกลับจวนเสียเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าอาจจะถูกแม่เล็กลงมือเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวปริแตกไปเลยก็ได้นะ” คำพูดของพี่สาวทำให้หลินโม่วพลันมีสีหน้าซีดเซียวในทันที
“พี่หญิงท่านต้องช่วยข้านะ ไม่เช่นนั้นท่านแม่จะต้องลงมือเฆี่ยนตีข้าด้วยตนเองหรือไม่ก็ส่งข้าไปที่หอลงทัณฑ์เพื่อรับโทษโบยเป็นแน่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาในทันที น้องชายผู้นี้ของนางแม้ว่าจะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้จักเกรงกลัวการต้องรับโทษทัณฑ์อยู่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะถ้าหากว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยคงยากที่จะควบคุมความประพฤติของเขาได้
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต