“นั่นสิ พี่สาวเพิ่งหายป่วยแต่ทำไมกินน้อยจังเลย นี่ต้องเป็นเพราะพี่สาวไม่ยอมกิน คุณลุงกับป้าสะใภ้ก็เลยไม่ยอมกินไปด้วยเลย พี่สาวจะทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงพี่ก็โตแล้ว” เป็นเว่ยหนานที่ร้องรับ
เธอเกลียดใบหน้าสวย ๆ ของเว่ยซิ่วอิงกับแม่มัน เกลียดที่ต้องถูกเปรียบเทียบกับทั้งสองตั้งแต่ยังเด็ก แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็กลับมาเข้าข้างเธออยู่ดี
ทั้งคุณย่า เพื่อน ๆ รุ่นพี่ที่โรงเรียน คนในครอบครัว ทุกคนอยู่ข้างอาหนานที่น่ารัก ใจดี อ่อนไหวง่ายกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่หยาบกระด้าง ไร้การศึกษาอย่างเว่ยซิ่วอิง
“ครอบครัวลุงใหญ่ทำแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา บ้านเราคงโดนครหาแย่” เว่ยจุนแค่เข้าข้างครอบครัวตัวเองเท่านั้น และต้องการชี้ให้เห็นถึงความชอบธรรม
แต่ความชอบธรรมนั้นเป็นจริงหรือ? ในเมื่อเขาก็ยังเข้าข้างครอบครัวตนเองอยู่เลย
“นั่นสิ พวกแกกินทิ้งกินขว้างแบบนั้น แล้วพอออกไปทำงานก็ทำได้น้อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็มาโทษที่บ้านอีก หน็อย~ อย่านึกว่าฉันไม่รู้แผนร้ายของพวกแกนะ” หวังซื่อกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
ยิ่งมีคนจากบ้านรองช่วยกันพูดยุยง ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนบ้านใหญ่นิสัยไม่ดีมากขึ้น ยุคนี้ใคร ๆ ก็อดอยากแต่พวกเขากลับกินทิ้งกินขว้างแบบนี้ได้อย่างไร
“แม่…” เว่ยตงพยายามแย้ง แต่โดนลูกสาวดึงตัวเอาไว้
ซิ่วอิงเอาผัดผักที่เหมือนอาหารหมูมาจากมือแม่ จากนั้นก็วิ่งไปตรงหน้าเว่ยหยางโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็ยื่นมือไปบีบกรามเขา เทอาหารหมูในจานลงปากชายหนุ่มตรง ๆ
“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องโวยวายดังลั่น ทุกคนในบ้านรองช่วยกันดันเว่ยซิ่วอิงออกห่างจากเว่ยหยาง โดยเฉพาะเว่ยจงที่ถึงขนาดเตะซิ่วอิงออกห่างจากลูกชายของเขา
“เว่ยจง!” เว่ยตงผู้เป็นพ่อของซิ่วอิงคำราม แทบพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายหากไม่ได้ซิ่วอิงดึงเอาไว้ หล่อนยังนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง หอบหายใจเร็ว ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“นี่หล่อนทำอะไร!” เสียงของย่าเว่ยคำรามราวกับฟ้าผ่า ร่างใหญ่ราวกับจะกลิ้งมาทับซิ่วอิงให้ตาย ๆ ไป แต่เมื่อมีเว่ยตงขวางอยู่ตรงกลาง นางจึงทำได้เพียงชี้นิ้วด่า
“ฉันเห็นเว่ยหยางบอกว่าเรากินเหลือเสียของ เลยคิดว่าเขาจะช่วยกินที่เหลือจะไม่ได้ไม่มีของเหลือไงคะ”
คำพูดของซิ่วอิงทำให้บรรยากาศหยุดนิ่ง
“กรี๊ด ซิ่วอิง เว่ยซิ่วอิง ทำร้ายพี่ใหญ่แบบนี้ได้ยังไง ยังกล้าพูดแบบนั้นออกมาอีก” เว่ยหนานกรีดร้องอย่างไม่พอใจ อยากเข้าไปข่วนหน้าสวย ๆ ของซิ่วอิง แต่ติดที่เว่ยตงปกป้องหล่อนไว้ด้านหลังนี่สิ
“แค่ก ๆ ๆ นังซิ่วอิง แกเอาขยะแบบนั้นให้ฉันกินได้ยังไง!” ตั้งแต่เกิดจนโต เว่ยหยางไม่เคยกินของสกปรกขนาดนี้มาก่อน เขาเคยกินแต่เนื้อและผักที่ชาวบ้านเพาะปลูก ไม่เคยได้แตะต้องผักป่าพวกนี้ด้วยซ้ำแม้จะขาดแคลนแค่ไหน
มาวันนี้ได้รู้แล้วว่านี่มันไม่ใช่อาหารมนุษย์ แต่เป็นอาหารหมู นังซิ่วอิงกล้าดีอย่างไรเอาอาหารหมูให้เขากิน
“แหม ก็เห็นเว่ยหยางเสียดาย เลยนึกว่าอยากกินให้หมดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดาย”
“อิงอิง” เหม่ยฟางเข้าไปบังร่างลูกสาวไว้ด้านหลังด้วยคนเมื่อคำพูดนั้นชวนให้คนบ้านรองพุ่งมาตีหล่อนเหลือเกิน
เว่ยตงราวกับรู้ความคิดของลูกสาว เขารีบหันไปมองบิดาแล้วพูดออกมา
“ซิ่วอิงเข้าใจผิด คิดว่าหลานชายอยากช่วยกินอาหารเท่านั้น พ่อครับ ซิ่วอิงมีเจตนาดี”
“เจตนาดีกับผีน่ะสิ ไอ้อาหารหมูแบบนั้นใครจะไปอยากกิน!” เว่ยหยางโวยวายออกมาอย่างเหลืออด
บรรยากาศในบ้านเงียบลงครู่หนึ่งเมื่อเขาพูดจบ เขาเรียกอาหารที่กินเข้าไปว่าอาหารหมู ไม่ได้แปลว่าที่ผ่านมาบ้านใหญ่กินอาหารหมูมาตลอดหรือ
“พ่อครับ บ้านนี้มีความแตกต่างมากเกินไปจนเว่ยหยางคิดว่าอาหารธรรมดาที่ผมกับลูกเมียกินเป็นอาหารหมู เรื่องนี้จะโทษซิ่วอิงไม่ได้…” เว่ยตงพยายามอธิบายกับผู้เป็นพ่อ
อย่างไรเว่ยถงก็เป็นประมุขของบ้าน หากเขาพูดสักคำอย่างไรนางหวังซื่อก็ต้องหยุดและฟังบ้าง ไม่เช่นนั้นเขาก็มีสิทธิ์ไล่นางกลับบ้านเดิมได้ทุกเมื่อ
ถึงอย่างนั้นเว่ยถงก็ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น สำหรับเขาลูกสำคัญแต่ภรรยาสำคัญที่สุด นอกจากนี้ตาชั่งในใจของเขาเองก็เอนเอียงไปที่บ้านรองเช่นกัน
“เอาละ นี่ไม่ใช่ความผิดของซิ่วอิง พอเถอะ” เมื่อเว่ยถงเอ่ยปาก คนทั้งบ้านก็ต้องเงียบปากตามไปด้วย
นางหวังซื่อมีหรือจะยอม หลานชายคนสำคัญของตนถูกรังแกขนาดนี้ ต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้
“หึ! ฉันนึกแล้วว่าพวกแกต้องสำออย ตอนนี้มีแรงถึงขนาดนั้นแล้วกลับไม่ยอมไปทำงาน เว่ยซิ่วอิงแกก็แค่นอนขี้เกียจอยู่บ้านรอกินข้าวจริง ๆ ใช่ไหม”
เสียงแหวของนางหวังซื่อนั้นดังมากจนซิ่วอิงต้องใช้มือปิดหู นี่ย่าแกเป็นโทรโข่งเหรอ
“แม่ ซิ่วอิงเพิ่งฟื้นไข้ นี่ก็ยังไม่หายดีจริง ๆ เราจะโกหกไปทำไม” เว่ยตงกำหมัดแน่น เขารับรู้ว่าลูกสาวต้องไปไกลกว่านั้นแล้ว ถึงได้กลับมาจากน้ำพุเหลืองพร้อมของวิเศษ
เขาเกือบจะเสียลูกสาวไปเพราะครอบครัวนี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก หากอยู่ต่อไปลูกสาวของเขาจะถูกกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก
คนพวกนี้ไม่มีวันปรานีหล่อน แม้จะแต่งงานออกไปไม่แน่ว่าอาจจะตามไปวุ่นวายจนอยู่ไม่เป็นสุข ทางที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นทางเดียวแล้วจริง ๆ
“เฮอะ มีแรงต่อล้อต่อเถียงกับน้อง ๆ ขนาดนี้ จะบอกว่าไม่มีแรงไปทำงานงั้นเหรอ นี่มันไม่มีเหตุผลเลย ทุกคนในบ้านนี้ล้วนแต่ต้องทำงานตามหน้าที่ตัวเอง อาจุนก็เพิ่งจะสอบได้คะแนนดีทั้งที่เป็นเด็กคนหนึ่งด้วยซ้ำ แต่เว่ยซิ่วอิงจะไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง”
“แต่แม่…” เว่ยตงพยายามเถียงและหยุดนางหวังซื่อ ถึงอย่างนั้นเขาจะหยุดได้อย่างไร แค่สู้เสียงสิบแปดหลอดของนางยังไม่ไหวเลย
“แล้วดูเว่ยซิ่วอิงสิ วัน ๆ ทำอะไรนอกจากนอน แต่งตัวสวยออกไปกินแรงที่ทุ่ง ไม่แน่ว่าอาจใช้เวลาทำงานนัดแนะกับชายหนุ่มเอาไว้แล้ว ถึงได้ไม่ยอมแต่งงานตามที่ผู้ใหญ่จัดการให้ นี่หรือลูกกตัญญูของพวกแกบ้านใหญ่ หลาน ๆ ของฉันยังดีกว่าเป็นล้านเท่า”
“แม่ครับ พอเถอะ” เว่ยตงกล่าวอย่างหมดแรง น่าแปลกที่หลังจากตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาไม่สามารถทนได้แม้สักน้อยนิดเมื่อมีคนมาด่าว่าครอบครัวตน
และตอนนี้คำพูดของนางหวังซื่อราวกับมีดทื่อที่ทุบลงไปในสายสัมพันธ์ของพวกเขาซ้ำ ๆ มันไม่ขาดแต่บอบช้ำจนไม่เหลือชิ้นดี
“พรุ่งนี้ เว่ยซิ่วอิงต้องไปทำงาน บ้านนี้ไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ ไม่งั้นก็ไม่ต้องกินข้าว”
“แม่! ซิ่วอิงยังไม่หายดี ถ้ากลับไปทำงานอีกร่างกายของลูกต้องรับไม่ไหวแน่” เว่ยตงตะโกนออกมาอย่างเหลืออด มือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ ในที่สุดความเจ็บปวดนี้ก็ทำให้เขาได้สติ
“แล้วมันยังไง” คำพูดเย็นชาของมารดา สายตาเหยียดหยามที่คนบ้านรองมองมาราวกับผู้เหนือกว่าที่ได้รับชัยชนะ โดยเฉพาะน้องชายอย่างเว่ยจงที่เขาเชื่อมาตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่อ่อนโยนต่อตนเองในบ้านหลังนี้
เว่ยตงยอมแพ้แล้ว ที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่สายตาของทุกคนในวันนี้บ่งบอกทุกอย่าง บ้านรองทุกคนมองเขาเป็นศัตรู มองลูกเมียเขาเป็นเพียงเบี้ยล่างเท่านั้น
“พ่อครับ ตอนนี้เว่ยหยางโตแล้ว ผมและภรรยาคงไม่สามารถมีลูกสืบสกุลได้ ผมอยากขอให้พ่อแยกบ้านให้เรา”
คำพูดของเว่ยตงทำให้ทุกคนตกตะลึง
เว่ยถงผ่อนลมหายใจออกมองหน้าทุกคน เขารับรู้ว่าภรรยาลำเอียง ตัวเขาเองยังแอบลำเอียงให้ลูกคนรองเพราะเรื่องทายาท ในเมื่อเว่ยตงกับครอบครัวอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์เหมือนที่ภรรยาบอก อย่างนั้นก็แยกบ้านกันดีกว่าจริง ๆ
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น