Share

บทที่ 8

อันอันหยุดน้ำตาของตัวเองลงอย่างฉับพลัน มองซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังพลางตะโกนถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“เจ้าเป็นใครคนหรือผี” ใจเต้นตุบตับในอกข้างซ้ายรัวเหมือนกลองศึกก็ไม่ปาน

“เจ้าสิผี ข้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และผีนั่นแหละ ข้าคือผู้รับใช้ของเทพเสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่เลยนะเจ้าเด็กมนุษย์ตัวเหม็น” น้ำเสียงอันหยิ่งผยองโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน

อันอันคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทำให้นางผู้ปากไวอดที่จะย้อนออกไปไม่ได้เช่นกัน

“แหม ๆ ท่านเทพผู้รับใช้เสวียนอู่ผู้ยิ่งใหญ่หากท่านเก่งกาจจริงดั่งที่ว่าเห็นทีคงไม่ต้องร้องขอให้เด็กอย่างข้าช่วยหรอกกระมั้ง” สิ้นคำของเด็กหญิง

สัตว์เทพก็ถึงกับอยากจะกระอักเลือดออกมา ‘หน็อยยัยเด็กตัวแสบกล้ายอกย้อนข้าเชียวหรือ หากหลุดออกไปได้ข้าจะทรมานเจ้าให้หนำใจเลย’

สัตว์ตัวเล็กคิดอย่างเดือดดาลโดยลืมคำเตือนทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว “เสี่ยวเฮยความผิดของเจ้ามากยิ่ง

จงลงไปจองจำอยู่บนโลกมนุษย์จนกว่าจะมีผู้มีดวงชะตากำราบเจ้าได้มาปลดปล่อยเถอะ” นี่คือเสียงของผู้เป็นนายของมัน ก่อนที่เจ้าตัวจะมาถูกจองจำยังสถานที่ลึกลับแห่งนี้

สิ่งสุดท้ายที่ตนจำได้ก็คือเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอร้องอย่างบ้าคลั่ง “หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้างูดินตัวนั้นสิมันมาหาเรื่องข้าก่อนนะ” ถ้อยคำนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของตัวเอง

โดยที่เต่าตัวน้อยสีดำนี้ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้างูดินเทพรับใช้ของชิงหลงก็ถูกลงโทษเช่นเดียวกัน แต่จะไปอยู่ภพภูมิไหนนั้นไม่มีใครทราบได้

กลับมายังปัจจุบันอันอันผู้รอการโต้กลับของสัตว์เทพก็หน้ามุ่ยอย่างขัดใจ “เจ้ากระอักเลือดตายไปแล้วเหรอ” คำกล่าวของนางทำให้สัตว์เทพอยากจะขบหัวของเด็กหญิงอีกครั้ง

“เจ้าสิตาย ข้าอยู่มานานเป็นพันปียังรอดมาได้ทุกครั้ง กับคำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของเด็กยังไม่หย่านมเช่นเจ้าจะทำอะไรข้าได้” น้ำเสียงนั้นยังคงไว้ซึ่งความเย่อหยิ่ง

“เอาเถอะท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ข้าไม่อยากเถียงกับท่านแล้ว ว่าแต่ท่านจะให้ช่วยอะไรรีบบอกมา ข้ายังต้องตามหาคนอีก” อันอันคร้านจะต่อล้อเถียงพูดขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ห๊ะ! เจ้าจะหยุดก็หยุดง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ” กุยเฮยร้องเสียงสูงถามออกมาอย่างตกใจ

“ท่านจะเอายังไงก็ว่ามา ว่าแต่ท่านเป็นเทพหรือมารเอา ดี ๆ นะข้าไม่อยากช่วยสิ่งไม่ดี” หนิงอันพูดขึ้นก่อนย้อนถามออก มาอย่างกังขา

“เป็นเทพสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไมหากข้าโกหกขอให้ไม่ได้กลับสวรรค์” คำพูดนี้ทำให้ท้องฟ้าด้านนอกร้องครืนเป็นการยืนยัน

“เทพก็เทพตอนนี้ท่านอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วจะให้ข้าช่วยยังไง” อันอันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปัดฝุ่นที่กระโปรงของตนในขณะถามออกไป

“อยู่หลังขอนไม้ที่เห็ดพวกนั้นเกาะอยู่ เจ้าเดินเข้ามาก็จะเห็นข้าเอง” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงหลายส่วนเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้เต็มใจช่วยตน

“อ่า เห็นแล้วท่านเป็นเต่าอย่างนั้นเหรอสมแล้วที่เป็นเทพรับใช้ของเสวียนอู่” เด็กหญิงตัวน้อยนั่งยองพิจารณาเต่าดำตัวน้อยที่ถูกบางสิ่งพันธนาการพูดออกมา

“เจ้าไม่ตกใจ ไม่กลัวเลยเหรอที่เห็นข้า” เต่าดำตัวน้อยถามเด็กหญิงอย่างสงสัย

“ไม่อ่ะ เรื่องของข้าน่าตกใจกว่าของท่านเยอะ เลยมีภูมิคุ้มกันมากพอ” หนิงอันปฏิเสธโดยที่มือน้อยก็กำลังแกะสิ่งที่พันรอบตัวของเต่าดำไปด้วย

กุยเฮยมองหน้าเด็กน้อยพลางคิดตามด้วยความอยากรู้ มีเรื่องอะไรที่น่าตกใจมากกว่าเต่าพูดได้อีกกันและอะไรคือภูมิคุ้มกัน ครั้นพอเจ้าตัวได้ยินคำพูดของอันอันมันก็มีสติกลับคืนมา

“เราทั้งสองจะต้องกล่าวยอมรับพันธะของกันจากนั้นเมื่อเจ้าหยดเลือดของตนลงบนหัวของข้าแล้วสิ่งเหล่านี้จะหายไป” กุยเฮยอธิบาย

“อะไรนะ! หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าข้าไม่ต้องรับเลี้ยงเจ้าอีกตัวหรอกเหรอ ตอนนี้ครอบครัวของข้ากำลังถังแตกเจ้ามีประโยชน์อะไรจะให้ข้าเลี้ยงดู” หนิงอันอุทานเสียงดังก่อนที่จะจงใจเอ่ยกวนประสาทเต่าตัวน้อยเนื่องจากในนิยายนั้นไม่มีเรื่องเช่นนี้

“จะ...เจ้าจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าผู้นี้แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านเสวียนอู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกให้ใครมากล่าวหาเช่นนี้ได้หรอกนะ ตัวข้ากุยเฮยเป็นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ

ภายในตัวมีทั้งธาตุน้ำและธาตุดิน สามารถควบคุมให้ฝนตกก็ได้ ให้ภูเขาพังทลายก็ได้จะทำให้อุดมสมบูรณ์ก็ได้

อีกทั้งข้ายังสามารถกลืนกินสิ่งที่เจ้าต้องการเก็บและเรียกออกมาโดยไม่ทำเสียหายทำนายฟ้าดินได้แม่นยำ” กุยเฮยยังขายตนเองไม่ทันจบก็ถูกเสียงของเด็กหญิงขัดคอขึ้นอย่างกะทันหัน

“หยุดก่อน” อันอันรีบพูดขึ้นต่อทันที “เมื่อสักครู่เจ้าบอกว่าสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้อย่างนั้นเหรอเรื่องนี้จะเกินจริงไปหน่อยมั้ง” เด็กหญิงย้อนถามอย่างกังขา

“ข้าจะแสดงให้เจ้าดู” กุยเฮยพูดด้วยความโมโหจากนั้นเขาก็พลันปิดเปลือกตาลง เพียงชั่วหนึ่งจิบชาด้านนอกก็เกิดปรากฏการณ์ผิดฤดูขึ้น

ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึนจากนั้นฝนที่ไม่ตกมานานก็กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ด้านนอกต่างวิ่งหาที่หลบฝนกันให้วุ่นวาย

อันอันได้ยินเสียงฝนเสียงฟ้าก็อ้าปากค้างอย่างลืมตน ‘ฮ่า ๆ หากมีฝนใยจะต้องกลัวความแห้งแล้งอีกอย่างนั้นเหรอ’ ความคิดนี้นางได้แต่เก็บงำไว้

“เอาละท่านกุยเฮยผู้ยิ่งใหญ่ข้าเชื่อเจ้าแล้ว ท่านรีบให้ฝนหยุดตกก่อนเถอะไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าในการเดินลงเขา” หนิงอันรีบกล่าวประจบเต่าดำตัวน้อยอย่างรู้งาน

“นังหนูเจ้ารู้จักเอาใจข้าแล้วนับว่ายังมีตา เอาละฝนหยุดแล้วคราวนี้เราจะมาทำพันธะสัญญาได้หรือยัง ข้าอยากออกไปชมโลกกว้างจะแย่ อยู่ในนี้อุดอู้ชะมัด” กุยเฮยพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ได้สิ หลังจากเราทำสัญญาต่อกันแล้วท่านอย่าลืมเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตพวกนี้ให้ข้านะโกยให้หมดเลย เพราะอยู่ในที่แคบเช่นนี้น่าเสียดายแย่” หนิงอันต่อลอง

“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าจงกล่าวคำสัญญากับข้าเถอะ” กุยเฮยตัวน้อยกล่าวตัดบท

หลังกล่าวคำสัญญาเรียบร้อย อันอันจะเป็นนายของมันแต่เรื่องนี้เต่าตัวน้อยไม่คิดบอก

“ต่อมาคราวนี้ก็มาถึงการหยดเลือด” คำพูดของเต่าน้อยทำให้หนิงอันตกใจ “ข้าจะกรีดนิ้วได้ยัง...โอ้ยเจ็บ ๆ เจ้าเสี่ยวเฮยทำบ้าอะไร” หนิงอันกรีดร้องมองเลือดบนนิ้วของตนอย่างเจ็บปวด

“เจ้ารีบหยดเลือดลงมาเร็วสิหรือจะให้ข้ากัดนิ้วของเจ้าอีกรอบ อยากเจ็บตัวข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ” เต่าตัวน้อยผู้ปากกล้ารีบสั่งเจ้านายคนใหม่

“อะ..อ๋อ หากคราวหน้าเจ้าจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ” อันอันบ่นในขณะที่หยดเลือดสีแดงลงบนหัวของเต่าตัวน้อยสีดำสนิท

พลันรอบตัวของเธอกับเต่าดำก็เกิดแสงสว่างสีทองอยู่ชั่วพริบตาก่อนที่แสงนั้นจะหายเข้าไปในหัวของทั้งคนและสัตว์

“พิธีเสร็จสิ้นต่อไปนี้เจ้าอยากพูดอะไรกับข้าทำเพียงแค่เรียกชื่อข้าและก็นึกในหัวก็พอ ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าเจ้าวิปลาสเอาได้” กุยเฮยกล่าวเตือนนายคนใหม่อย่างหวังดี

“โอเค” เด็กหญิงตอบทำให้กุยเฮยไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กคนนี้พูดเพราะเจ้าตัวอยู่แต่ในยุคอดีตยังไม่เคยไปยุคอนาคต

‘เค...อะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ’ เต่าน้อยสื่อสารทางความคิด ‘โอเค ก็แปลว่าข้าเข้าใจแล้วแบบนี้ไง เอาเถอะอย่ามัวเสียเวลาเจ้ารีบกวาดเห็ดพวกนั้นเถอะ’ หนิงอันอธิบายพร้อมกับตัดบทออกมาในคราวเดียว

เมื่อเก็บเทพเจ้าแห่งชีวิตทุกสีเรียบร้อย การเดินตามหาเด็กชายก็ดำเนินต่อไป ‘เจ้าเคยเห็นเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในนี้ไหม’ หนิงอันถามเต่าตัวน้อยที่เกาะอยู่บนบ่า

‘ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียงฝีเท้า ข้าคิดว่าเขาอยู่ห่างจากเราไม่ไกลหากไม่โดนเขมือบไปเสียก่อน’ คำพูดของเต่าดำทำให้ อันอันขนอ่อนลุกชัน

‘หมายความว่ายังไง’ หนิงอันถามออกมาอย่างติดขัด

‘ก็หมายความว่าที่แห่งนี้เป็นถ้ำงูนะสิ เหตุใดต้องให้ตีความออกมาอีก เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ’ กุยเฮยกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน ‘งู! อย่างนั้นเหรอ ซวยแล้วข้าไม่ชอบสัตว์ที่ตัวลื่น ๆ แบบนั้น’ หนิงอันกรีดร้อง

เสียงอันโหยหวนของนางยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ยงฮ่าว ผู้คิดว่ามีปีศาจหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่ยอมขยับกาย

แต่แล้วเด็กชายก็ได้ยินเสียงขู่ของบางอย่างดังอยู่ด้าน หน้าพร้อมกับเสียงครูดกับพื้นดิน

เขาจึงค่อย ๆ เงยศีรษะเล็กของตนขึ้น ดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ด้านหน้าอย่างตื่นตะลึง “งะ...งู!” เขาร้องเสียงหลงทำให้หนิงอันรีบวิ่งมายังต้นเสียงทันที

“บ้าไปแล้วนี่มันอนาคอนดาชัด ๆ กุยเฮยหาวิธีเร็วไม่งั้นพวกเราได้กลายเป็นมื้อค่ำของมันแน่” หนิงอันพูดเสียงดังด้วยความลืมตัวเมื่อมองเห็นหัวงูตัวใหญ่กำลังอ้าปากกว้างน้ำลายหยดลงพื้นแหมะ ๆ หมายจะกินเหยื่อตรงหน้า

เต่าตัวน้อยทำเสียงฟู่ ๆ ฟ่อ ๆ ออกมาจากนั้นงูตัวนั้นก็สงบลง หนิงอันแม้จะมึนงงแต่เวลานี้ที่สำคัญคือต้องไปลากเจ้าเด็กคนนั้นออกมาก่อน

ไวเท่าความคิดเด็กหญิงจึงรีบวิ่งไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายผู้ที่ยังนั่งตัวสั่นเทาทันที

นางรีบลากเขาออกมาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนโดยที่เด็กชายไม่สามารถขัดขืนได้ (ไม่ใช่ไม่อยากขัดขืน แต่ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่างหาก) นี่คือความคิดของเขา

“เจ้ามีสติสักทีสิ หากอยากเป็นอาหารของมันอยู่ก็จง นิ่งต่อไปหากไม่ก็รีบวิ่งตามข้ามา” หนิงอันตะคอกใส่คนอายุมากกว่าพร้อมกับวิ่งนำไปข้างหน้า

สองเท้าของยงฮ่าวเองก็รีบตามติดเด็กหญิงมาอย่างไม่ลดละจนกระทั่งเด็กทั้งสองถึงทางออก “พวกเรารีบไปก่อนเจ้าค่ะ” หนิงอันรีบวิ่งไปหาพ่อของตนตะโกนขึ้นเสียงดัง

กุยเฮยได้แต่ลอบหัวเราะในใจ (เจ้าอยากข่มข้าดีนัก หากข้าไม่เอาคืนจะได้อย่างไร) กุยเฮยไม่รู้เลยว่าผลการกระทำในวันนี้จะทำให้ตนถูกหนิงอันเอาคืนได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน

เมื่อกลุ่มของหนิงอันวิ่งออกมาได้สักพักก็เจอเข้ากับกลุ่มของอานไท่ที่พาชายฉกรรจ์เดินป่าเข้ามาตามหาพวกเขา

“พวกท่านหนีอะไรกันมาอย่างนั้นเหรอ” อานไท่เป็นผู้เปิดปากหลังจากที่คนเหล่านี้ได้พักหายใจหายคอโดยเฉพาะท่านผู้เฒ่าที่วิ่งจนลืมวัยของตน

“ไม่รู้ แหก ๆ” เสียงหอบเหนื่อยของชายชราตอบออกมา

“ห๊ะ! ไม่รู้แต่ท่านพากันวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายนี่นะ” อานไท่ย้อนถามสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ

“เรื่องนี้” ท่านผู้เฒ่าเปิดปากพลางหันศีรษะไปทางเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังอาปากหอบหายใจ

ยงฮ่าวเป็นผู้ตอบออกมาเสียงตื่นหลังจากรู้สึกดีขึ้น “งะ...งูขอรับ มันตัวใหญ่มากข้ากับนางก็เลยพาทุกคนวิ่งหนีออกมา”

คำกล่าวของเด็กชายได้ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองหน้าของเขาสีหน้าเริ่มแสดงความกังวล “จะ... เจ้าคงไม่ได้โกหกกระมั้ง” น้ำเสียงสั่นของชาวบ้านชายคนหนึ่งย้อนถาม

“จริงสิขอรับ ไม่เชื่อก็ถามนางได้เลยตัวมันใหญ่มากกว่าขาของชายคนนั้นอีก” ยงฮ่าวกล่าวยืนยันเสียงหนักพร้อมกับชี้นิ้วไปยังต้นขาของยงเผยและหันใบหน้าน้อยไปทางอันอันด้วย

“จริงที่สุดเจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ หากมันตามมาทันข้าไม่อยากจะคิด” หนิงอันกล่าวพร้อมกับเอามือลูบแขนของตนไปมา

“ลูกรักเจ้ามาขึ้นหลังพ่อแบบนี้จะเร็วกว่า” หยูเจียงนั่งยองหันหลังให้บุตรีในขณะพูด

เด็กหญิงทำตามอย่างเชื่อฟังเนื่องจากร่างกายเล็ก ๆ ของนางในยามนี้ช่างเหนื่อยยิ่ง

ยงฮ่าวรู้สึกอิจฉานางยิ่งที่มีบิดาให้ความรัก ผิดกับตัวเขาที่มีแต่มารดาอีกทั้งมารดาก็ยังตัวบอบบางจึงไม่สามารถแบกเขาเยี่ยงนั้นได้

“ข้าจะแบกเจ้าเอง” ยงเผยเดินมายืนข้างบุตรชายกล่าวเสียงอ่อนแม้ว่าเด็กคนนี้จะยังไม่ยอมรับตนก็ตาม

เด็กชายแหงนหน้ามองชายร่างใหญ่แววตาของเขาทอประกายสับสนริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

หนิงอันผู้มองเห็นภาพนี้นางจึงได้พูดขึ้นมาลอย ๆ “เจ้าจะไม่ยอมรับจริง ๆ เหรอ” คำพูดนั้นกระแทกใจของยงฮ่าวเข้า อย่างจัง เด็กชายนิ่งคิด (ข้าควรจะยอมรับไหม แต่เขาทำให้ท่านแม่ลำบากมาตั้งหลายปีเชียวนะ)

ในระหว่างที่เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่นั้น ยงเผยจึงได้ถือวิสาสะยกตัวของเขาขึ้น ชายหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กไว้แนบอกแกร่ง ทำให้เด็กชายผู้ตกใจที่จู่ ๆ ตัวลอยขึ้นอย่างกะทันหันรีบเอามือโอบรอบคอของคนร่างสูงทันที

(นี่คืออ้อมกอดของบิดาอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งนักผิดกับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของมารดายิ่ง) ความคิดของเด็กชายวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งออกมาจากป่าอย่างปลอดภัย

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 373

    ส่วนเด็กหญิงผู้ปลอมตัวเป็นเด็กชายก็ได้อาศัยจังหวะนี้ หนีออกไปจากกลุ่มของผู้คนอย่างว่องไว กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในวัยสิบห้าปี กงล้อแห่งโชคชะตาของนาง ผู้ที่เคยลิขิตให้ผู้อื่นได้เริ่มต้นขึ้นกับตนบ้างแล้ว สองเท้าของคนตัวเล็กวิ่งไปทางซ้าย ทะลุซ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 372

    เมื่อชายชราเห็นศิษย์คนโปรดถูกพี่ชายต่อว่าอย่างเย็นชา เขาจึงได้เอ่ยปากแทน เพื่ออธิบายให้คนผู้นี้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแต่หนหลังในโทษของเด็กหญิง “นางได้รับโทษแล้ว จากการฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ นางจึงได้รับโทษลงทัณฑ์ด้วยการรับสายฟ้าเป็นจำนวนสามครั้ง ตอนนี้ร่างกายของนางกำลังจะสลาย อีกไม่นานดวงจิตขอ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 371

    หลายปีผ่านไปหมิงหมิงผู้อยู่ในวัยชรา กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีลูกหลานรายล้อม เสียงร้องไห้ของคนเหล่านั้นทำให้เจ้าตัวอดที่จะเอ่ยปากตำหนิออกมาไม่ได้ “ร้องทำไม ทุกชีวิตมีเกิดย่อมมีดับ เรื่องนี้ไม่มีใครหลีกหนีข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับตัวข้านั้นดีใจมากกว่าที่จะได้เดินทางไปพบกับพี่สาว” น้ำเ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 370

    มู่เทาจึงได้นำเงินที่ตัวเองมีพาบุคคลที่ตนช่วยเอาไว้ไปรักษา จือฉีนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอถึงสามวันเต็มอาการของเขาจึงได้ทุเลา และเมื่อรู้ว่าใครได้ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ คนทั้งคู่ก็ทำความรู้จักและหลังจากทราบเรื่องราวของกันและกันต่างคนก็เห็นว่าชะตาชีวิตของพวกเขานั้นช่างอาภัพเหมือนกันไม่มีผิด

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 369

    ย้อนกลับไปยังครั้งอดีต ได้มีเด็กชายตัวน้อยในห่อผ้าเก่าสีซีดที่ไม่อาจทราบสีเดิมของมันได้ว่าเป็นสีอะไร ใบหน้าซีดเหลืองของเด็กคนนั้นพร้อมกับน้ำตาปริ่มบริเวณหางตา ทำให้ชายวัยกลางคนผู้มีสติไม่ค่อยสมประดีได้เกิดความรู้สึกสงสารหรืออาจจะสมเพชก็สุดจะทราบได้ เจ้าตัวจึงได้อุ้มเด็กน้อยขึ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 368

    “เรียนนายท่านผู้สูงส่ง เผื่อท่านลืมข้ามีหนังสือตัดขาดออกจากตระกูลอยู่ในมือ อีกทั้งข้าได้ละทิ้งแซ่ของท่านไปนานแล้วนับตั้งแต่วันที่ข้าออกจากจวนหลังนั้นชีวิตข้าก็ถือว่าได้ตายตกลงไปแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนี้หาได้มีแซ่ใด ๆ และมีความเกี่ยวข้องกับท่านไม่ ข้าคงมีเพียงชื่อที่มารดาตั้งให้เพียงเท่านั้นลาก่อน” คำ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status