หยูเจียงเมื่อรับรู้ได้ถึงความจริงใจของชาวบ้านเช่นนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการตัดสินใจให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ไม่คิดเปลี่ยนใจมากขึ้น
แต่ทว่าที่ดินผืนนี้เล็กเกินไปสำหรับการสร้างบ้านของครอบครัวตนที่มีกันอยู่หลายชีวิต
“ท่านเผย ท่านจะอยู่กับข้าหรือว่าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ” หยูเจียงเอ่ยถามชายวัยเดียวกัน เนื่องจากเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดอย่างไรจึงได้ถามออกมา คำถามอันแสนตรงไปตรงมาของหยูเจียงทำให้ยงเผยมีสีหน้าครุ่นคิดไปชั่วครู่
ในขณะที่ยงเผยกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของบัณฑิตหนุ่มดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเสียก่อน เมื่อมองเห็นร่างบางของหญิงสาวนางหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยมายังทิศทางที่ตนยืนอยู่
หญิงสาวคนนั้นเองก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน นางรีบอุ้มบุตรชายของตนเหน็บเข้าที่เอวพร้อมกับหันหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งหนี
ทว่ายงเผยจะปล่อยให้นางสมประสงค์ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโจนมาทางนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับหนิงอัน ‘โอ้! เจอเร็วกว่าที่คิดแฮะ’ นางคิดพร้อมกับมองไปยังภาพตรงหน้า
ยงเผยไม่คิดเหลือศักดิ์ศรีของตนเขารีบคุกเข่าลงทันที หญิงคนนั้นทั้งตกใจและคาดไม่ถึงว่าชายผู้ที่เคยเย่อหยิ่งจองหองจะยอมทำเช่นนี้ต่อหน้าตนนางจึงรีบวางลูกชายลงยืนกับพื้น
“ท่านทำอะไร ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้อยากให้คนอื่นมองว่าข้าเป็นหญิงแพศยาหรือท่านถึงได้ทำเช่นนี้” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโกรธเช่นเดียวกับใบหน้า
“เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะจูเอ๋อร์ ข้าลุกแล้ว” ชายหนุ่มหมายจะจับมือเล็กของหญิงสาว ทว่านางรีบนำมือของตนซ่อนไปด้านหลังอย่างว่องไว
เด็กชายวัยหกขวบมองชายหนุ่มหน้าหนวดผู้ที่กล้าหาญมาเรียกชื่อมารดาอย่างสนิทสนม สีหน้าแสดงความไม่พอใจหัวคิ้วของเขาหมวดมุ่นเข้าหากันแน่น
“ท่านลุง ออกไปห่าง ๆ แม่ข้า” น้ำเสียงเล็ก ๆ นั้นพูดขึ้นอย่างไม่พอใจพร้อมกับเอามือเล็กผลักไปยังต้นขาของชายหนุ่ม
ยงเผยมองการกระทำของเด็กชายอย่างพึงใจ ก่อนถามหญิงสาวน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “จูเอ๋อร์ เด็กคนนี้คือลูกของเราใช่หรือไม่”
เมื่อเด็กชายได้ยินคำว่าลูกออกมาจากปากของชายร่างใหญ่ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา
เขาก็รู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก ‘เนื่องจากมารดามักบอกว่าบิดาของเขานั้นรูปงาม รูปร่างองอาจสง่าผ่าเผยแต่ที่เห็นในตอนนี้มันช่างแตกต่างจากที่ตนจินตนาการไว้มากเหลือเกิน’ เขาคิดก่อนที่จะโพล่งสวนออกไป
“ท่านพูดอะไร ท่านแม่เคยบอกว่าบิดาของข้านั้นรูปงาม สง่าผ่าเผยแล้วดูตัวท่านสิ ท่านอย่ามาโป้ปด” เด็กชายตะเบ็งเสียงดังแย้งขึ้นทันที
ยงเผยคิ้วกระตุกกับถ้อยคำของบุตรตัวน้อย พลางคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า ‘เจ้าบุตรคนนี้มารดามันเถอะกล้ามาดูถูกคนอย่างข้า’
“เสี่ยวฮ่าว!” หมิงจูเรียกชื่อบุตรชายเสียงเย็นทำให้เด็กชายตัวเล็กยอมสงบปากของตนลง
ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลังจากได้ยินคำกล่าวของคนทั้งสามทำให้พวกเขาพากันสับสน
“หมิงซื่อ[1] สิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกมานั้นเป็นจริงหรือไม่ หาไม่แล้วพวกเราจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเจ้าที่ถูกเขาสบประมาท” แม่เฒ่าชราชี้นิ้วไปทางยงเผยเอ่ยถามหญิงสาวผู้พลัดถิ่นอย่างอาทร
หญิงสาวนามหมิงจูแม้ใจไม่อยากจะยอมรับ แต่เมื่อคิดว่าหากปฏิเสธออกไปชาวบ้านผู้น่ารักและแสนใจดีเหล่านี้จะต้องช่วยเหลือตนตามที่พูดเป็นแน่ นางจึงได้แต่กัดปากของตนพยักหน้าอย่างจำใจ
“เขาเป็นสามีของข้า พ่อของฮ่าวเอ๋อร์[2] จริงเจ้าค่ะ” คำพูดของนางเสมือนสายฟ้าฟาดใส่เด็กชายแต่กลับนำพามาซึ่งความยินดีให้กับชายหน้าหนวดยังไม่ทันที่ชายคนนี้จะดีใจ
“ไม่!!..ต้องไม่ใช่ข้าไม่ยอมรับ” ยงฮ่าวน้ำตาไหลอาบแก้มตะโกนจนสุดเสียง
จากนั้นเขาก็วิ่งหนีเข้าป่าข้างทางไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ใครได้ตั้งตัว การกระทำของเด็กน้อยนั้นนำพามาซึ่งความเจ็บปวดให้ผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก
“ข้าจะไปตามเขาเอง เจ้าวางใจเถอะ” ยงเผยรีบวิ่งตามเด็กชายไปทันที หนิงอันรู้สึกว่าเหตุการณ์ช่างผิดแปลกไปอย่างสิ้นเชิง
‘แทนที่เด็กชายตัวน้อยจะดีใจเมื่อพบหน้าบิดาแล้วเป็นสะพานเชื่อมให้เขากับมารดาได้คืนดีกันตามเนื้อเรื่องเดิม แต่นี่ลืมไปเถอะสรุปได้ว่าข้าไม่ได้อยู่ในโลกแห่งนิยายของตนอีกต่อไปแล้ว’ หนิงอันแหงนหน้ามองฟ้ากล่าวในใจ
“อาไท่ เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะช่วยกันออกตามหา ฮ่าวเอ๋อร์ดีหรือไม่ นี่ก็บ่ายคล้อยแล้วหากฟ้ามืดข้าเกรงจะเกิดอันตราย” เฒ่าชรากล่าวออกมาอย่างเป็นห่วงเด็กชายคนนั้น
“เรื่องนี้” ในขณะที่อานไท่กำลังลังเลอยู่นั้นเสียงของหยูเจียงก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านอาพวกข้าก็จะไปช่วยขอรับ ท่านรีบไปตามคนอื่นเถอะ เด็กตัวแค่นั้นอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้”
ครั้นแล้วอาไท่จึงพยักหน้ารับพร้อมกับรีบขี่ม้าจากไป ทางด้านหยูเจียงจึงได้หันหน้าไปสั่งพ่อบ้านของตน
“เราทั้งสองคนก็ไปช่วยกันตามหาเด็กคนนั้นเถอะ ส่วนเจ้าพ่อจะไปส่งให้อยู่กับแม่ก่อนอย่าดื้อเข้าใจหรือไม่” หยูเจียงบ่ายหน้าไปทางบุตรสาวกล่าวย้ำ
“ท่านพ่อ ให้ข้าไปตามหาเขาด้วยเถอะเจ้าค่ะ อย่างน้อยหากเขายังดื้อดึงข้าเป็นเด็กเหมือนกันน่าจะคุยกับเขาได้ง่ายกว่า” หนิงอันกล่าวประโยคนี้ออกมาหลังจากคิดดีแล้ว
หยูเจียงแม้ไม่อยากจะทำตามคำขอข้อนี้ แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวบุตรสาวอย่างไม่มีข้อสงสัย “ก็ได้ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าต้องเชื่อฟังพ่อ” หยูเจียงยังไม่วายกำชับ
หนิงอันพยักหน้าราวลูกเจี๊ยบจิกข้าวสารทำให้ชาวบ้านยิ่งรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีก
เฒ่าชราแม้จะมีอาการเจ็บเอวอยู่แต่เรื่องของเด็กชายผู้ที่ตนเห็นมาตั้งแต่เล็กนั้นเขาจะทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอาสานำทางให้กับพวกหยูเจียงเองโดยไม่รออานไท่
สองป่าข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่กำลังยืนต้นเหี่ยวเฉาคล้ายรอวันแห้งตาย
เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูเหมันต์แม้อากาศจะยังไม่หนาวจัดแต่คงเย็นอยู่มาก อีกอย่างน้ำในลำธารใหญ่ก็เหือดแห้งจนหนิงอันที่กำลังเดินผ่านได้แต่งุนงง ‘เอาไว้ค่อยมาสำรวจภายหลัง’ นางคิดในขณะที่กำลังเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามคน
สองเท้าเล็กของเด็กหญิงเร่งเดินตามผู้ใหญ่จนเหนื่อยหอบ กระนั้นนางก็ไม่ปริปากบ่นออกมา
หยูเจียงรู้สึกสงสารบุตรสาวเป็นอย่างมากเขาจึงนั่งยองหันหลังให้บุตรสาว “อันอันมาขี่หลังพ่อเถิด ข้าจะแบกเจ้าเอง”
หนิงอันมองแผ่นหลังกว้างอย่างลังเล ในที่สุดนางจึงได้แนบลำตัวของตนติดแผ่นหลังกว้างของบิดาผู้มีรูปร่างบอบบางทว่าเขากลับดูแข็งแกร่งในความรู้สึกของนางเป็นอย่างมาก
หยูเจียงผู้มีบุตรสาวอยู่บนหลังหาได้ความเร็วลดลงไม่ แม้ว่าเขาจะเป็นบัณฑิตแต่เนื่องจากตอนยังเด็กทำงานหนักมาไม่น้อยดังนั้นการแบกเด็กตัวเล็กจึงไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก
คนทั้งสองของครอบครัวหยูต่างเดินตามผู้เฒ่าอย่างไม่ลดละ อย่าดูถูกชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าคนนี้เด็ดขาดแม้จะอายุมากทว่าสองเท้าของเขากลับเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
อีกทั้งการแกะรอยของเขานั้นก็แม่นยำ เพราะในตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนได้มาเจอยงเผยแล้วนั่นเอง
ชายหนุ่มได้แต่ยืนคอตกอยู่หน้าโพรงที่เล็กกว่าตัวของเขาแต่ใหญ่กว่าตัวของหนิงอันเล็กน้อยด้านหน้า
“เสี่ยวฮ่าวล่ะ” น้ำเสียงแหบแห้งของชายชราถามขึ้นทันทีเมื่อมองไม่เห็นเด็กชายตัวน้อย ยงเผยยกนิ้วชี้ข้างขวาไปทางโพรงแห่งนั้น
“เล็กขนาดนี้จะเข้าไปยังไง” พ่อบ้านรุ่ยเอ่ยขึ้นน้ำเสียงไม่ดีนัก ในขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองสำรวจด้านในไปด้วย
“ท่ายยงแน่ใจหรือว่าเด็กคนนั้นเข้าไปในนี้” หยูเจียงถามชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังมีใบหน้าหม่นอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
ยงเผยทำเพียงพยักหน้ารับภายในใจรู้สึกหวาดกลัวเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าด้านในนั้นจะมีสัตว์อันตรายอยู่หรือไม่
“ท่านพ่อให้ข้าเข้าไป” หนิงอันพูดขึ้น ครั้งนี้หยูเจียงไม่คิดทำตามคำขอของบุตรีด้วยกลัวจะเกิดอันตรายเขาจึงนิ่งเฉยให้กับคำขอของนาง
ยงเผยดวงตาสว่างวาบแต่แล้วก็อับแสงลงอีกครั้ง ‘ข้าจะให้ใครมาเสี่ยงเรื่องของตนไม่ได้อย่างเด็ดขาด’ เขาค้านในใจ
หนิงอันขยับตัวไปมาด้านหลังของบิดาทำให้หยูเจียงจำใจต้องให้นางยืนลงกับพื้นเพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะตกลงมา
“ท่านพ่อ ได้โปรดเชื่อใจข้า” เด็กหญิงนำมือเล็กของตนประคองไปที่หน้าของบิดาพูดอย่างแน่วแน่
“ตะ...” หยูเจียงกำลังจะเอ่ยค้านทว่าก็ไม่ทันความเร็วของบุตรสาวที่วิ่งลับหายเข้าไปในโพรงเสียแล้ว
โพรงแห่งนี้สำหรับเด็กตัวเล็กอย่างหนิงอันกับยงฮ่าวถือว่าไม่เล็กแต่ไม่ใช่สำหรับผู้ใหญ่ตัวโต สองเท้าของเด็กหญิงก้าวเดินอย่างระมัดระวังตามแสงสว่างที่ลอดผนังถ้ำลงมาจากด้านบน
“พี่ชายท่านอยู่ไหน ตอนนี้ข้ากลัวมากเลยออกมาช่วยข้าหน่อย” หนิงอันป้องปากตะโกนร้องเรียกหาเด็กชายผู้อายุมากกว่า ส่วนสองตาก็คอยสาดส่ายไปจนทั่ว
ยังไม่ทันที่นางจะพบเข้ากับเด็กชายตัวน้อยก็เห็นของดีเข้าเสียก่อน “จะใช่ไหมนะ” อันอันรีบสาวเท้าน้อย ๆ ของตนเดินไปยังจุดที่เห็นทันทีด้วยใจลุ้นระทึก
“โฮะ ๆ สวรรค์ก็ไม่ใจร้ายกับข้านัก” เสียงหัวเราะคล้ายกับตัวร้ายดังสะท้อนไปทั่วทั้งโถงถ้ำ
ทำให้ยงฮ่าวผู้กำลังนั่งก้มหน้ากอดเข่าตัวสั่นอย่างหวาดกลัว ‘ต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ เสียงหัวเราะแหลมสูงขนาดนี้ ข้าจะทำยังไงดี ทำยังไง ท่านแม่ช่วยลูกด้วย’ เด็กชายยิ่งเอามือโอบกอดเข่าของตนแน่นคิดอย่างหวาดหวั่น
ส่วนหนิงอันตัวน้อยผู้ไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไปก็กำลังคิดหาวิธีนำเทพเจ้าแห่งชีวิตออกไปด้านนอก
‘ข้าเจอของดีแต่จะเอาออกไปได้ยังไง ทำไมข้าไม่เขียนให้เด็กคนนี้มีมิติหรือตัวช่วยวิเศษนะ ยัยอันอันจอมบื้อ’
อันอันนั่งอยู่หน้าเห็ดหลินจือที่มีทั้งสีน้ำตาลแดง สีเหลือง สีขาวทั้งเล็กและใหญ่อย่างเจ็บใจน้ำตาจวนเจียนจะหยด
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า “หนูน้อยเจ้ามาช่วยข้าสิ สิ่งที่เจ้าอยากได้ข้าจะทำให้เป็นจริง” เสียงเล็ก ๆ นั้นพูดหลอกล่อ
[1] ซื่อในที่นี้หมายถึงคำต่อท้ายเรียกหญิงที่แต่งงานแล้ว
[2] เอ๋อร์ในที่นี้หมายถึงใช้เรียกบุคคลที่อายุน้อยกว่าตน