เมื่อรับรู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังหมู่บ้านแล้วเด็กชายจึงเริ่มดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งของคนที่โอบอุ้ม
ยงเผยจำต้องปล่อยให้เขาลงยืนอยู่บนพื้นด้วยเกรงว่าเด็กคนนี้จะตกลงมาแล้วบาดเจ็บ
ในจังหวะเดียวกันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าแม่ของเด็กชายได้เดินมาทางเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและจะกล้าลงมือกับเด็กตัวน้อยได้ลงคอ
เสียงเผียะ! ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว “แม่เคยบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดถึงไม่ฟัง” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเจือด้วยเสียงสะอื้นของผู้ยังมีไม้เรียวเล็กอยู่ในมืออันสั่นเทาข้างนั้นพูดกับเด็กชายเสียงดัง
“ฮือ ๆ ท่านแม่ข้าขอโทษเป็นข้าผิดเองท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ต่อไปนี้ข้าให้สัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก” เด็กน้อยผู้ถูกตีน้ำตาไหลอาบแก้มมอมทั้งสองข้างโอบเอวของมารดาแน่นกล่าวสำนึกผิดทั้งน้ำตา
หญิงสาวคนนั้นรีบทิ้งไม้ในมือของตนลงก่อนย่อตัวลงนั่งโอบกอดเด็กชายตัวเล็กแน่นไม่แพ้กัน
สองไหล่ของนางไหวสะท้านขึ้นลงเสียงร้องไห้ของสองแม่ลูกช่างบาดใจของผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก
ยงเผยผู้ยืนอยู่ข้างคนทั้งสอง ทำให้เขานั่งลงคุกเข่าโอบกอดคนทั้งคู่แน่นราวกับต้องการปกป้อง
“จูเอ๋อร์เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าอย่าได้ดุด่าว่ากล่าวหรือตีลูกเลยนะ หากเจ้าอยากจะลงโทษก็จงตีข้าเถิด” ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้เด็กชายเริ่มรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“ท่านพูดบ้าอะไร เอามือออกไปจากพวกเราเดี๋ยวนี้” หญิงสาวแผดเสียงของตนพร้อมกับส่งสายตาขุ่นเคืองมายังชายผู้ที่ได้ชื่อว่าสามี
ยงเผยจึงได้แต่จำใจคลายมือของตนออกอย่างเสียดาย ชาวบ้านกลุ่มใหญ่ต่างก็มีสายตาแห่งคำถามเกิดขึ้น ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา
เรื่องครอบครัวควรจะปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอาเอง นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างคิดเหมือน ๆ กัน
อานไท่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวยุ่ง ๆ ในการตามหาคนจบลงแล้ว และอีกอย่างในตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วด้วยเป็นการดีหากจะให้ชาวบ้านแยกย้ายกันกลับบ้านของตน
“วันนี้ข้าขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วพวกเราแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันเถอะ” หลังสิ้นประโยคของหัวหน้าหมู่บ้าน สามคนพ่อแม่ลูกจึงได้รู้สึกตัวว่าพวกเขายังไม่ได้ขอบคุณชาวบ้านเหล่านี้เลย
ดังนั้นคนทั้งสามจึงได้ลุกขึ้นยืน พวกเขาต่างพากันค้อมตัวไปทางชาวบ้านกลุ่มใหญ่พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด
“ข้าขอขอบพระคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาของตนออก ไปช่วยตามบุตรของเรา” สองสามีภรรยากล่าวพร้อมกันโดยมีเด็กชายตัวน้อยทำตามบิดามารดาด้วย
“ไม่เป็นไร พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกันการช่วยเหลือเช่นนี้เป็นเรื่องสมควรยิ่ง” หนึ่งในชาวบ้านกล่าวออกมา
หลังจากคนกลุ่มใหญ่เดินจากไป หมิงจูก็เดินมาหาครอบครัวหยูนางได้มาหยุดยืนต่อหน้าอันอัน
“เด็กน้อยข้าขอขอบใจเจ้าที่ได้ช่วยฮ่าวเอ๋อร์ไว้ อาหญิงไม่รู้ว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรได้โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” หมิงจูกำลังจะก้มหัวให้นาง ทว่าอันอันรีบกล่าวห้ามออกมาทันควัน
“ท่านอาจารย์หญิงอย่าได้ทำเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านกำลังจะทำให้ข้าอายุสั้น ศิษย์ไม่กล้ารับการคารวะจากท่านหรอก” คำพูดของนางทำให้หญิงสาวมุมปากกระตุก
คิดอยากโต้แย้งก็จนใจเพราะนางได้กล่าวออกไปแล้วว่าชายคนนั้นเป็นสามี
หลังจากสิ้นคำกล่าวขอบคุณก็ถึงเวลาจะต้องแยกย้ายคนบ้านหยูทั้งสามชีวิตรวมถึงยงเผยกับสองแม่ลูกก็ตามอานไท่กลับมายังเรือนของเขา ยงเผยได้ให้เด็กชายนั่งบนหลังม้า
ส่วนเขานั้นเป็นคนจูงเพื่อจะได้เดินเคียงข้างกับเมียรักที่หนีหายตนมานานหลายปี
ยงฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นดวงตาเป็นประกายยามอยู่บนหลังม้าทำให้เขาเริ่มพออกพอใจกับชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นพ่อของตนมากยิ่งขึ้น
ด้านอันอันในตอนนี้ดวงตาของเด็กน้อยปรือเต็มทน เพราะนางใช้พละกำลังไปจนเกินกำลังของเด็กน้อย ดังนั้นเด็กหญิงจึงได้นั่งคอพับคออ่อนสัปหงกบนหลังม้า
หยูเจียงสงสารบุตรีจึงได้โอบกอดร่างเล็กของนางเข้ามาแนบอกเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหญิงพลัดตกลงไปยังพื้นด้านล่าง
เมื่อถึงเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน อานไท่จึงได้บอกลูกสะใภ้จัดที่หลับนอนให้เด็กหญิงตัวน้อยได้พักผ่อนก่อน อันอันนอนหลับฝันดีโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
“ท่านแม่น้องสาวช่างน่ารักยิ่ง” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยเดียวกับยงฮ่าวพูดเสียงเบากับแม่ของตนเมื่อเห็นแก้มซาลาเปาแดงเรื่อของอันอันในขณะหลับตา
“เจิงเอ๋อร์เจ้าเบาเสียงลงหน่อยเถอะ น้องกำลังหลับดูท่าจะฝันดีดูปากเล็ก ๆ ของนางสิแย้มยิ้มเสียด้วย” ผู้เป็นแม่กล่าวเตือนบุตรชายและอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความน่ารักของเด็กหญิง
“พี่สะใภ้เป็นข้าทำให้พวกท่านลำบากแล้ว” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของหยวนฟานเอ่ยออกมาอย่างกระดากอาย
“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่สะใภ้กระนั้นก็อย่าได้เกรงใจ ข้าเต็มใจที่จะยกห้องนอนให้กับพวกเจ้า ดังนั้นจงอยู่ให้สบายเถอะ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความยินดีเช่นเดียวกับใบหน้า
ทำให้คนในครอบครัวหยูพากันซาบซึ้งในความมีน้ำใจอันหาได้ยากในภาวะที่แต่ละครอบครัวต่างตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นหมู่บ้านแห่งนี้
หยูเจียงเมื่อเห็นว่าลูกและแม่รวมถึงภรรยามีที่ให้หลับนอนตัวเขาจึงได้หันมาสนทนากับอานไท่เพื่อปรึกษาในเรื่องของที่ดินสำหรับการปลูกเรือนของตนต่อ
“ท่านอาไม่ทราบว่ามีที่ดินตรงไหนที่กว้างมากพอให้ปลูกเรือนอยู่ในบริเวณเดียวกันได้ห้าหลังหรือไม่ เนื่องจากคนในครอบครัวของข้ามีเยอะ” ถ้อยคำของชายหนุ่มทำให้อานไท่มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโพล่งออกมา
“มีที่ดินบริเวณเชิงเขา ทั่วทั้งบริเวณนั้นไม่มีบ้านเรือนของใครปลูกอาศัย อีกทั้งยังกว้างมากราคาก็ถูกกว่าที่อื่นแต่ติดตรงที่ว่ามันใกล้ชายป่ามากเกินไป ข้าเกรงว่าอาจจะมีสัตว์ร้ายลงมาจากเขาเพื่อมาทำร้ายพวกเจ้านะสิ” อานไท่ตอบตามจริง
ยงเผยได้ยินคำกล่าวของชายวัยกลางคนเขาจึงได้หันหน้าไปมองภรรยากับลูกชาย “เรือนของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน” คำถามอันตรงไปตรงมานี้ทำให้หมิงจูมองเขาสายตามีคำถามเช่นกัน
ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันตอบน้ำเสียงเล็กของบุตรชายก็ดังขึ้นเสียก่อน “ห่างจากเรือนท่านตาจงไปไม่ไกลขอรับเป็นเรือนหลังสุดท้าย” คำตอบของเขาทำให้ยงเผยยกริมฝีปากขึ้นอย่างพอใจ
“ท่านอาไท่ไม่ทราบว่ามีที่ดินใกล้กับพวกเขาหรือไม่” ชายหนุ่มถามหัวหน้าหมู่บ้านออกไปทันทีซึ่งหยูเจียงเองก็รู้สึกสนใจเช่นกัน
“ใกล้พวกเขาก็ที่ดินลากยาวไปจนถึงเชิงเขานั่นแหละ พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู วันนี้ก็กินข้าวกินปลานอนพักเอาแรงก่อน” อานไท่ตอบในจังหวะเดียวกันนั้นกับข้าวที่ภรรยาและลูกสะใภ้ช่วยกันทำก็เสร็จพอดีเขาจึงได้กล่าวชวน
หยูเจียงเองก็เห็นดีด้วยจึงได้กล่าวออกมา “เรื่องอาหารท่านอาอย่าได้ห่วงคนของข้าก็คงเตรียมสำรับไว้รอแล้ว อย่างไรข้าก็ขอเชิญพวกท่านกินด้วยกันเถอะขอรับ”
ดังนั้นอาหารมื้อเย็นของบ้านหัวหน้าหมู่บ้านจึงได้กินเนื้อและอาหารที่ปรุงโดยฝีมือของแม่ครัวประจำอดีตจวนขุนนางหนุ่มผู้สอบได้อันดับหนึ่งของมณฑล
“ฝีมือของท่านพี่ป๋ายช่างยอดเยี่ยมมากเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยได้กินอาหารรสชาติอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย หากท่านได้ทำขายรับรองว่าจะต้องมีคนติดใจในรสมืออย่างแน่นอน” ลี่ซื่อภรรยาของอานไท่กล่าวยกยอคนอาวุโสกว่าจากใจ
“น้องสาวกล่าวเกินจริงแล้ว ว่าแต่ที่เมืองแห่งนี้สามารถทำอาหารขายได้อย่างนั้นเหรอ” หญิงสูงวัยกว่ากำลังคิดหาหนทางช่วยนายของตน หากฝีมือของตนสามารถทำเงินได้เหตุใดจึงไม่คิดลองเล่า
“ได้อย่างแน่นอนที่เมืองของเรานั้นมีตลาดท่าเรืออยู่ด้วยหากท่านสนใจข้าจะพาพี่สาวไปดูเจ้าค่ะ แต่การขายอาหารนั้นค่อนข้างเป็นงานหนักนะเจ้าคะ อีกทั้งยังต้องใช้เงินทุนพอสมควร” หญิงรุ่นน้องพูดตรงไปตรงมา
“อาสะใภ้ป๋ายหากท่านอยากทำเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ข้ายินดีสนับสนุน ท่านอย่าได้กังวลเรื่องเงินทุนเลยข้ายินดีช่วย” หยูเจียงยกยิ้มกล่าวกับหญิงสูงวัยจากใจจริง
นับตั้งแต่ที่ลาออกจากตำแหน่งขุนนางเขาก็คิดเสมอว่าคนเหล่านี้คือญาติมิตรของตนหาใช่บ่าวรับใช้ไม่
“นายท่าน บ่าวไม่คิดจะปันใจจากพวกท่านนะเจ้าคะ เหตุใดถึงจะไล่บ่าวกันล่ะ” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวออกมาทั้งน้ำตา
ทำให้คนในครอบครัวอานยกเว้นแต่เด็กชายวัยหกขวบรู้สึกตกใจในคำเรียกขานแทนตัวของหญิงคนนี้ที่มีต่อหยูเจียงจนตะเกียบในมือของพวกเขาหล่นจากมือ
“อาสะใภ้ท่านหยุดร้องก่อนเถอะ ท่านกำลังทำให้พวกเขาตกใจกันใหญ่แล้ว” หยูเจียงรีบกล่าวห้าม
ทว่าเสียงร้องไห้ของหญิงสูงวัยก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น ทำให้บ่าวรับใช้หญิงอีกสองพากันหลั่งน้ำตาออกมาด้วย
บ่าวชายเองก็ดวงตาแดงก่ำเพราะกลัวจะถูกผู้เป็นนายทอดทิ้ง เสียงร้องไห้ทำให้หนิงอันผู้กำลังหลับจำต้องลืมตาตื่นอย่างงัวเงีย เด็กหญิงเดินโงนซ้ายเงนขวาดวงตายังคงปรืออยู่
“ใครเป็นอันใดหรือเจ้าคะ ร้องไห้ทำไม” เสียงพูดอู้อี้ในขณะอ้าปากหาวถามอย่างไม่เข้าใจ
ยังไม่ทันที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายจะตอบสนอง เด็กชายคน หนึ่งก็เดินเข้าไปจับมือเล็กของเด็กหญิงพูดขึ้นอย่างเอาใจใส่ “น้องสาวพี่จะพาเจ้าไปล้างหน้าจากนั้นค่อยมากินข้าวดีไหม”
ยงฮ่าวรู้สึกอิจฉาเด็กคนนั้นยิ่ง เนื่องจากเขาก็อยากจะดูแลน้องน้อยคนนั้นเช่นกัน
ไวเท่าความคิดเด็กชายจึงได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหาผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อและเมื่อพบแล้วเขาจึงคลี่ดูก็พบว่ามันยังสะอาด เด็กชายจึงได้เดินตามเด็กทั้งสองไปติด ๆ
คนในครอบครัวอานกำลังจะกล่าวห้ามลูก/หลานของตนด้วยเกรงว่าคนเหล่านี้ที่พวกเขายังไม่รู้ว่าเป็นใครนั้นจะเกิดความไม่พอใจ แต่เมื่อลอบมองพวกเขาแล้วไม่เห็นว่ามีปฏิกิริยาใดจึงได้ปล่อยเลยตามเลย
อานเจิงผู้รู้ความได้ผสมน้ำอุ่นลงในอ่างเพื่อเตรียมให้น้องสาวผู้น่ารัก หลังจากเอามือทดสอบดูแล้วเขาจึงบอกให้น้องสาวล้างหน้า
หนิงอันเองก็ทำตามอย่างว่าง่ายสุดแสนจะเชื่อฟัง พลางคิดว่าการเป็นเด็กและมีพี่ชายดูแลช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่ง
หลังจากนางล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยก็มีผ้าเช็ดหน้าสีขาวยื่นมาตรงหน้าจากเด็กชายผู้ที่ตนช่วยเหลือเอาไว้ (เด็กคนนี้นับว่ายังมีความกตัญญู) นางคิด
ด้านนอกคล้อยหลังจากเด็กชายหญิงเดินออกมา น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าครอบครัวหยูจึงได้เอ่ยเชิงตำหนิกับพวกที่กำลังร้องไห้อยู่
“พวกเจ้าเงียบเสียงลงก่อนเถอะ ทำให้คนตกใจอีกทั้งยังทำให้หลานข้าตกใจตื่นมันใช้ได้ที่ไหนกัน หากเจียงเอ๋อร์ต้องการไล่พวกเจ้าไปจริงเหตุใดจึงต้องถามหาที่ดินแปลงใหญ่ด้วยเล่า”
คำกล่าวนี้เหมือนจะได้ผล ดังนั้นบ่าวรับใช้จึงได้หยุดหลั่งน้ำตา “ข้าจะอธิบายว่านับตั้งแต่วันที่เราออกจากจวน ข้าก็คิดกับพวกท่านเป็นญาติหาได้เป็นบ่าวไม่ ดังนั้นหากพวกท่านอยากจะตั้งตัวข้าก็พร้อมยินดีจะสนับสนุน” หยูเจียงอธิบายออกมายืดยาว
บ่าวชายหญิงก็น้ำตาคลอหน่วยออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขากลับเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
“พวกบ่าวหาได้อยากแยกตัวเจ้าค่ะ ที่คิดเรื่องขายของก็เพียงเพื่อหวังจะแบ่งเบาภาระของพวกท่านเท่านั้น” นางป๋ายบอกเล่าความรู้สึกตน
ความผูกพันระหว่างนายบ่าวทำให้ครอบครัวอานรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากเนื่องจากพวกเขาไม่เคยเจอคนที่ดีกับบ่าวรับใช้ของตนเช่นนี้มาก่อน
เจ้าบ้านจึงไม่ยั้งความสงสัยของตนอีกต่อไปเขาจึงใช้คำพูดสุภาพกับหยูเจียงถามในสิ่งที่อยากรู้
“นายท่านหยูแท้จริงแล้วท่านเป็นใครกันแน่ขอรับ”
หยูเจียงบ่ายหน้ามาทางชายวัยกลางคนยกยิ้มบางพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพเช่นเดียวกัน “ท่านอาอย่าได้เรียกข้าว่านายท่านเลยเรียกข้าว่าเสี่ยวเจียงเถอะ
เรียนท่านอาตามตรงตัวข้านั้นเคยเป็นเสนาบดีสำนักตรวจราชการมาก่อน แต่เนื่องจากตอนนี้ได้ลาออกจากราชสำนักแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นเพียงคนธรรมดาที่ต้องการมาตั้งถิ่นฐานใหม่เพียงเท่านั้น” คำพูดของหยูเจียงทำให้เกิดสายฟ้าฟาดกลางศีรษะของคนครอบครัวอานทั้งหมด
“ทะ.. ท่านเป็นขุนนางอย่างนั้นเหรอ โปรดอภัยให้พวกเราด้วยหากทำสิ่งใดที่ตีตนเสมอไปอย่างไม่รู้ตัว” อานไท่กับครอบครัวกำลังจะก้มหัวลงทว่าได้ถูกเสียงของหยูเจียงเอ่ยห้ามไว้
“ท่านอาข้าลาออกแล้วขอรับ นับตั้งแต่ต่อไปนี้ข้าเป็นเพียงบัณฑิตตกงานเพียงเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวของข้าตั้งมั่นจะอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกท่านได้โปรดเห็นข้าเป็นลูกเป็นหลานเถิด”
คนครอบครัวอานหันมองหน้ากันไปมาก่อนที่จะพยักหน้าว่าควรทำตามอย่างที่ชายหนุ่มบอก ทว่าถึงยังไงชายหนุ่มก็ยังเป็นถึงบัณฑิตดังนั้นควรจะให้เกียรติเอาไว้สักหน่อยย่อมเป็นการดี “ได้ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ”