พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภา
โม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใด
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้น
เมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกัน
เมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังมีใครหลงเหลือลมหายใจหรือไม่
หากยังไม่ทันตาย หรือหายใจรวยริน โม๋เอ๋อร์ก็ยังพอจะช่วยเหลือได้ แต่ทว่าถ้าตายไปแล้ว อย่างนั้นก็เดินทางไปปรโลกเสียดีๆ นางไม่อาจไม่ปล่อยไป
เด็กสาวมักเป็นเช่นนี้ แม้นางจะเป็นครึ่งปีศาจแต่อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์ ยังเป็นผู้มีจิตใจดี มีเมตตาปรานีกับทุกสรรพสัตว์
เมื่อปลายเท้าน้อยๆ สืบเข้ามายังกลุ่มคนที่กลายเป็นซากศพ ดวงตากลมโตกระจ่างใสก็กวาดมองไปรอบทิศเพื่อมองหาคนรอดชีวิตอย่างใจเย็น
ร่างเล็กเดินวนเวียนไปมา จนเข้ามาใจกลางกลุ่มของเศษซากชิ้นเนื้อน่าสยดสยอง นางยืนตระหง่าน เอียงหน้าน้อยๆ กะพริบตาเบาๆ พิจารณาชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังใกล้ตาย เขานอนแน่นิ่งหายใจแผ่วเบา สองตาปิดสนิท
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มมีเลือดเกรอะกรัง มองไม่ออกว่ามีหน้าตาเช่นไร ตามเนื้อตัวมีบาดแผลจากของมีคมจนเต็มไปหมด เขาสลบไสลไม่ได้สติ
เรียวคิ้วพลันขมวด ดวงเนตรใสกระจ่างพลันเบิกกว้าง เมื่อสบกับบางสิ่งที่ลำคอเขา
นางเห็นมีสร้อยเส้นหนึ่ง ลักษณะคุ้นตา
สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยเถาวัลย์ห้อยเขี้ยวราชสีห์
หากจำไม่ผิดนางเคยมีและได้ให้คนผู้หนึ่งไปเพื่อคุ้มครองเขาออกจากป่าไพรพ้นจากสัตว์ร้าย
นี่มิใช่ชายคนเดิมเมื่อห้าปีก่อนหรอกหรือไร?
สาวน้อยพลันยิ้มกว้างอยู่คนเดียว มิคาดว่าจะเจอคนเดิมให้ได้ช่วยเหลือกันในอีกครา
โม๋เอ๋อร์เห็นเขายังมีริ้วของลมหายใจ แม้แผ่วจาง แต่ขอเพียงยังไม่ตาย นางย่อมช่วยได้
ปราณเย็นสายหนึ่งจึงบังเกิด พลังเทพปีศาจเปลี่ยนดวงตากลมใสดำขลับเป็นสีเขียวมรกต เส้นผมดำสนิทเรียบลื่น เปลี่ยนเป็นสีทองเรืองอร่าม เรือนร่างกะทัดรัด เปลี่ยนเป็นส่องแสงเรืองรอง เมื่อการรักษากายหยาบและต่อลมหายใจดำเนินไป
ทว่าสิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด ในระหว่างรักษากลับมีเสียงฝีเท้ามากมายคืบใกล้เข้ามา
โม๋เอ๋อร์หลับตาสดับฟังอย่างตั้งใจ พบว่ามิใช่เสียงฝีเท้าของสัตว์ และแน่นอนว่าคงเป็นมนุษย์
ฉับพลันนั้น รูปลักษณ์ทุกสิ่งของสาวน้อยจึงต้องกลับคืนสู่ปกติโดยไว ปราณเย็นพลังเทพล้วนอันตรธานหายไปจนสิ้น คงเหลือเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ยืนนิ่งไม่ไหวติง ท่ามกลางซากร่างไร้ชีวิตกองใหญ่
ร่างระหงยืนตระหง่านท่ามกลางซากศพ สายลมโชยแผ่ว พัดพากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เหม็นสาบสางจนน่าสะอิดสะเอียน ทันใดนั้นปรากฏเสียงนกเค้าแมวกู้ก้องโหยหวน ประหนึ่งเสียงคำรามอันทรงพลังของวิญญาณร้าย ที่ตายตกไปทีละคนสองคน และยังต้องตายตามกันไปอีกนับไม่ถ้วน
ช่างเป็นภาพให้ชวนประหวั่นพรั่นพรึง และเหลือเชื่อในคราเดียวกัน เด็กหญิงคนหนึ่ง ไฉนกล้ายืนอยู่กลางศพมากมาย
“เจอแล้ว! เจอรัชทายาท! เจอแล้ว!”
เสียงทุ้มห้าวพลันดังกังวานทั่วป่า ท่าทางดีใจมาก ประหนึ่งเจอขุมทรัพย์กองมหึมา
“รัชทายาท โอ! สวรรค์! พวกเราเร็วเข้า ทางนี้!”
สิ้นเสียงนั้น ชายฉกรรจ์อีกห้าคนก็พากันวิ่งกรูมา
เงาดำมืดเหล่านั้นวูบเดียวครอบคลุมโม๋เอ๋อร์จนมิด
แน่งน้อยจ้องมองกลุ่มคนเหล่านี้จนตาโตสีหน้าเหลอหลา ทำอันใดไม่ถูกทั้งนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เกิดมา แล้วเจอผู้คนมากมายเช่นนี้
ทันใดนั้นพลันมีเสียงแส้ดังขวับสะบัดใส่หลังสาวน้อย พร้อมเสียงคำรามก้องว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ ริอาจเป็นสายลับหลอกล่อรัชทายาทรึ?”
อีกคราที่โม๋เอ๋อร์ยิ่งทำหน้าเหลอหลาโง่งมอย่างที่สุด แม้มีเลือดหยาดหยดไหลซึมแผ่นหลัง นางเจ็บแผ่นหลังเล็กน้อยตรงที่ถูกแส้เฆี่ยน
เมื่อไร้ซึ่งคำตอบและท่าทางหวาดหวั่นจากเด็กน้อย มือแส้พิฆาตก็ให้รู้สึกเดือดดาล ตวาดอีกคราว่า
“จงบอกมาเสีย ว่าผู้ใดว่าจ้างมา เจ้าเด็กชั่ว”
คำรามจบก็สะบัดแส้ในมืออีกครา ท่าทางอำมหิตผิดมนุษย์มนา
แม้โม๋เอ๋อร์ยังคงงุนงงแต่ฝ่ามือกลับว่องไว เด็กสาวยกมือขึ้นจับแส้ที่ถูกเหวี่ยงมาอย่างแรงนั้นเอาไว้ด้วยมือเดียว ทั้งรวดเร็วและแม่นยำปราศจากความเจ็บ สองตาแดงก่ำสงบนิ่งจนน่าตกใจ
ยังไม่ทันที่ชายฉกรรจ์รายล้อมจะนึกแปลกใจในกิริยาฉับไวของเด็กน้อยตรงหน้า เจ้าของแส้หนังเส้นหนาพลันถูกฉุดกระชากจากแส้ของตนโดยฝ่ามือน้อยๆ นั้น
ร่างหนาเซถลา ฉับพลันนั้นเอง ชายตัวใหญ่ผู้นี้ก็ถูกเหวี่ยงออกไปราวเศษผ้า ลอยวูบไปไกลลิบเพียงชั่วพริบตา เสียงร้องยังไม่ทันเปล่งออกจากปากของมันด้วยซ้ำ
บุรุษร่างกำยำอีกหลายคนก็ยังไม่ทันอ้าปากอุทาน
เด็กน้อยร่างบาง พลันอันตรธานหายไป...
--------[1] ไข้ทับระดู หรือไข้หวัดที่เป็นระหว่างมีประจำเดือน แพทย์แผนจีนจะเรียกอาการนี้ว่า เร่อรู่เสวี่ยซื่อ (热入血室)แปลว่า ความร้อนเข้าห้องเลือด ห้องเลือดในที่นี้หมายถึง มดลูก
จนสุดท้ายเฉินหย่งจื้อจึงใช้วิธีต่ำช้า แผนนารีพิฆาตที่มีมาสมัยบรรพบุรุษถูกเลือกใช้อย่างเลือดเย็นเยวี่ยเหรินมีใบหน้างดงามพิลาศล้ำปานล่มบ้านล่มเมืองนางมีกิริยาอ่อนโยน นิสัยอ่อนหวาน กิริยาวาจาล้วนสมเกียรติสูงส่ง ใบหน้าพิสุทธิ์ซื่อสัตย์ มีดวงเนตรงามดั่งวารีทั้งใสกระจ่าง ทั้งเปี่ยมเสน่ห์แห่งสตรีเพศมากล้นนางคือคุณหนูในห้องหอที่เพียบพร้อมทุกสิ่ง คือสตรีของเฉินหย่งจื้อที่ยังไม่ถูกเรียกตัวเข้าวัง มีเดิมพันเป็นตำแหน่งฮองเฮาและคนทั้งตระกูลเยวี่ยเหรินเข้าหาเฉินเหอไท่ที่ยามนั้นเขายังพำนักอยู่ที่วังเจี้ยนอ๋องไม่ไกลจากวังหลวงของเฉินหย่งจื้อเวลาเนิ่นนานทีเดียวที่หญิงสาวใช้เสน่ห์มนต์มารทุกแขนงจนสำเร็จได้ด้วยดี กระทั่งกลายเป็นคนรักของเฉินเหอไท่ อย่างเต็มตัว รอเพียงแต่งงานอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ทว่าเมื่อสบโอกาสหลอกล่อเขาออกจากวังเจี้ยนอ๋องได้สำเร็จ เยวี่ยเหรินไม่อาจปล่อยผ่านรอให้เนิ่นนานจนตำแหน่งฮองเฮาหลุดมือใจกลางหุบเขาไค่กู่จึงเหมาะสมที่จะกลายเป็นสุสานของเฉินเหอไท่ ที่นั่นมีทหารนับพันพร้อมอาวุธครบมือซุ่มรออยู่ ในขณะที่เฉินเหอไท่เดินทางพร้อมราชองครักษ์ไม่มากทุกสิ่งล้วนเกินคาดการณ์ตามแผนสังหารที่
บ่าวรับใช้ทั้งชายและหญิงที่หน้าประตูห้องต่างพากันลอบมองสบตากันไปมา ก่อนจะแอบชำเลืองไปทางเฉินเหอไท่ด้วยความระมัดระวัง สายตาของพวกเขาล้วนแสดงความยำเกรงต่อเขา บางคนถึงกับตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายผู้นี้นับว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนไม่กะพริบตา หรือต่อให้ไม่ฆ่าใครก็ยังมีวิธีสยบได้อย่างน่าสะพรึงเป็นที่สุดดูอย่างสตรีที่ถูกส่งตัวไปเมื่อครู่นี่ปะไรร่วมรักจนหนำใจ ยังทิ้งคราบหลังเสร็จกิจเอาไว้ แล้วส่งให้คนรักของนางได้ดูชมไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่า ชายคนรักของนางจะมีสีหน้าอย่างไรและข่าวนั้นก็ไวปานไฟไหม้บนหญ้าฟางเมื่อเยวี่ยเหรินถูกส่งตัวไปปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ของเฉินหย่งจื้อฮ่องเต้ พระองค์ทรงกริ้วจนเลือดขึ้นตา คว้ากระบี่สังหารเยวี่ยเหรินต่อธารกำนัลในทันทีทุกคนที่ได้เห็นและได้รับรู้ข่าวนี้ ล้วนรู้สึกพรั่นพรึงหวาดผวาต่อการกระทำของบุรุษทั้งสองคนที่ฝ่ายหนึ่งคือชายคนรักและอีกฝ่ายคือชายชู้ และสมเพชเวทนาต่อสตรีนามว่าเยวี่ยเหรินเหลือจะกล่าวข่าวนั้นถูกส่งให้เฉินเหอไท่ด้วยความรวดเร็วเช่นกันชายหนุ่มเพียงแสยะยิ้มสาแก่ใจ ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของเขาฉาบทับบนใบหน้าหล่อเหลาที่แสนจะเย็นชา สายตามีเพีย
คฤหาสน์แห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินอันเป็นชายแดนที่แสนจะทุรกันดารของแคว้นต้าซ่งภายในห้องนอนกว้างขวาง บนเตียงบุนวมขนาดใหญ่ กำลังมีกิจกรรมเคาะจังหวะผสานเสียงหอบครางดังระงมชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังคร่อมหญิงสาวร่างเล็กตามอารมณ์กระสัน สองมือหนากอบกุมเอวบางเพื่อสอดใส่กลางลำตัวนาง แล้วกระแทกกระทั้นอย่างแรง ปราศจากความปรานีฝ่ายบุรุษคือเฉินเหอไท่ เจ้าของเรือนกายกร้าวแกร่งทรงพลังเปี่ยมเสน่ห์มากล้น กระทั่งตรึงโสตประสาทของฝ่ายสตรีเอาไว้อย่างหมดจด ทำเอานางสมองขาวโพลนไปหมด ฝ่ามือน้อยๆ กำปิ่นปักผมเอาไว้แน่น หาทางแทงอีกฝ่ายมิได้เสียทีสตรีใต้ร่างของเฉินเหอไท่มีนามว่าเยวี่ยเหริน ในมือนางมีมีดสั้นลักษณะพิเศษทำเลียนแบบปิ่นปักผมได้อย่างแนบเนียนเฉินเหอไท่หาได้สนใจปิ่นปักผมที่มีลักษณะปลายแบนบางเฉียบสาดประกายคมกริบในมือนาง เขายังคงควบจังหวะบนร่างนางอย่างโหดร้าย แววตาคมปลาบเผยเพียงความร้อนแรงแห่งเพลิงอารมณ์อึดใจเยวี่ยเหรินพลันสบโอกาสแทงปิ่นในมือปักฉึกที่หน้าอกด้านซ้ายของเฉินเหอไท่ ลึกเข้าไปยังตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นแรง เลือดลมกำลังสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มจึงได้สติกลับคืน แววตาคมกริบ
เสียงเหล่านี้ดังมากจนกลบเสียงฮึกเหิมของเหล่าทหารหลายร้อย กลบกระทั่งเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงเกือกม้าย่ำพื้นดินเพื่อรุมระห่ำมาทางเฉินเหอไท่ทุกผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนที่ปลายเท้า ลำตัวของพวกเขาล้วนสั่นไหว ต่อมายังสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ทหารทุกคนพากันชะงักนิ่งตะลึงลาน ทันใดนั้นแผ่นดินรอบด้านของพวกมันพลันปริแตกแล้วแยกออกจากกัน“อะ...อะไร?” ทหารหลายคนเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่“อ๊าก!” เริ่มมีเสียงร้องโหยหวนชวนผวา เมื่อจู่ๆ พื้นธรณีใต้ฝ่าเท้าของพวกมันเคลื่อนที่แยกตัวออกจนเป็นวงกว้าง แล้วดูดกลืนทั้งม้าทั้งร่างของทหารทุกคนให้ตกลงไป ไม่ใช่แค่ทีละคน แต่พวกมันตกลงไปทีเดียวทั้งหมด ซากศพกองเท่าภูเขาขนาดย่อมล้วนตกตามกันไปราวกับห้วงมหาสมุทรดูดกลืนทุกสรรพสิ่งไม่ต่างจากวังน้ำวน“ย๊า!”พวกทหารแหกปากผสานเสียงกันทันตาจนดังระงมกึกก้องไปทั่วน่านฟ้า เมื่อจู่ๆ พวกมันก็ถูกพื้นพสุธาทั้งผืนกลืนกินจนร่วงหล่นลงไปยังใต้พิภพพื้นดินแยกตัวออกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ดำลึกกว้างขวางกินพื้นที่ไกลมาก ทหารหลายร้อยคนก็คล้ายถูกสูบลงไปในนั้นจนสิ้นพวกมันทำได้เพียงร่ำร้องโหยหวนไม่เป็นภาษา สองมือแหวกว่ายอากาศอย่างน่าเวทนา นรกกำ
“เหล่าพี่น้องทั้งหลาย เบื้องหน้าเราคือกบฏเฉินเหอไท่! จงจับตายสถานเดียว นำหัวของมันไปเสียบประจานหน้าประตูเมืองต้าซ่งถวายแด่องค์จักรพรรดิเฉิน!”ฉับพลันนั้นฟ้าสลัวรางที่มีแสงจันทรานวลเนียนสาดส่องลงมา ราวกับมีเมฆดำทะมึนของห่าฝนกระหน่ำโครมดั่งฟ้ารั่วครอบคลุมเหนือศีรษะของเฉินเหอไท่ เมื่อเหล่าอาชาไนยต่างพากันควบตะบึงยกดาบขึ้นเหนือหัวพุ่งตัวชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอคราหนึ่ง ถ่มโลหิตในปากออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง รอรับการปะทะอย่างยินดี ไร้ท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อยบนกองศพหลายร้อยประหนึ่งภูเขาลูกเล็ก กีบม้าศึกหลายร้อยตัวเริ่มขยับเมื่อถูกเจ้าของรองเท้าหนังหนาหนักตะปบสีข้างเหล่าทหารบนหลังม้ากระชับอาวุธในมือพร้อมพุ่งทะยานไปทางเจี้ยนอ๋อง หมายเผด็จศึกอันน่าพรั่นพรึงที่กินเวลาข้ามวันข้ามคืนนี้ให้จงได้ไม่มีการต่อสู้แบบยุติธรรมหนึ่งต่อหนึ่ง หากแต่เป็นการสังหารโหดแบบต่ำช้าที่เรียกว่าหมาหมู่รุมกินโต๊ะเสียงครืนครืนของม้าศึกที่ควบตะบึงอย่างพร้อมเพรียง ผสานเสียงกับการขู่คำรามของทหารหลายร้อยดังกึกก้องไปทั่วธรณี ยังมีเสียงโลหะกระทบกันหมายข่มขวัญยามประจัญบานทว่าการณ์กลับพลิกผัน หมาหมู่พ
พื้นพิภพที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก อันเป็นที่อยู่อาศัยของภพมนุษย์พวกเขาบูชาเทพทุกองค์ สักการะฟ้าดินมาอย่างยาวนาน แม้จะมีจิตใจยึดเหนี่ยวในสิ่งเดียวกัน ปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบเดียวกันเสมอมา แต่ทว่ากลับชอบแข่งขันแย่งชิงกันเองอย่างโหดร้ายมาโดยตลอดรัชศกผู่เฮ่าปีที่เจ็ดเดือนสิบวันที่ห้าคืนเดือนเพ็ญภายในหุบเขาไค่กู่ ใจกลางมีพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาล ลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาอันเป็นสมรภูมิรบที่กำลังปะทุดุเดือดร้อนระอุชวนเลือดลมพลุ่งพล่านในยามนี้ รอบด้านมีแต่ซากศพคนตาย รอบทิศเต็มไปด้วยเศษร่างที่กระจัดกระจายของเนื้อหนังมนุษย์นับร้อยอาณาบริเวณแปดทิศมียอดหญ้าที่ควรเขียวขจีชุ่มโชกไปด้วยธารโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไหลเป็นทางจนเจิ่งนองพื้นดิน โชยกลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ชวนสะอิดสะเอียดเหลือจะกล่าวกลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียนเหล่านี้กำลังลอยวนในอากาศ อยู่รอบกายแกร่งทรงพลังของบุรุษผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเกราะสีดำสนิทเรือนกายหนาแน่นกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา เผยให้เห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลัก ตามแนวชุดเกราะที่ปริแตก ตามรอยแยกนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายหลายสายใบหน้าหล