โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้า
กระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่
อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรอง
โม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจ
นางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกิน
แต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้
เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดม
หน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหนูรองต้องมองอย่างนึกเอ็นดู ตัวเล็กน่ารักในอาภรณ์ลากยาวเกินวัยเยี่ยงนั้น ทำเอาฮูหยินใหญ่มีนามว่า วั่นหรง และคุณหนูรองนามว่า หยูเสวี่ย ต้องลอบยกยิ้มขบขัน ทั้งสองยกแขนป้องปากแทบไม่ทัน จึงเผลอหลุดกิริยาจนได้
โม๋เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มส่งให้ ดวงตากลมใสของนางทอประกายระยิบระยับล้อแสงตะวัน และดูเจิดจรัสยิ่งนักในครรลองสายตาแก่ผู้พบเห็น
ผู้คนทั้งขบวนคือคนของสกุลโหว สาเหตุที่เดินทางก็เพื่อไปเยี่ยมเยือนคุณหนูใหญ่ที่แต่งงานด้วยสมรสพระราชทานกับอ๋องที่ครองเมืองทางเหนือ ได้เป็นถึงพระชายาแห่งจวนอ๋องและคลอดบุตรได้ไม่นาน
สตรีทั้งสองที่เป็นมารดาบังเกิดเกล้าและน้องสาวร่วมสายเลือด จึงไม่อาจรั้งรอให้คนพี่ฟื้นตัวแล้วเดินทางไกลมาหาตน รีบพากันเดินทางไปให้กำลังใจถึงต่างเมือง ยามนี้กำลังเดินทางกลับจวนในเมืองหลวงต้าหมิง
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของหยูเสวี่ยเปรยขึ้น นางมีอายุปีนี้สิบสองพอดี สาวใช้คนสนิทที่เปรียบเหมือนพี่สาวรู้ใจกันมาแต่เด็กก็ไถ่ตัวเองออกไปแต่งงานเสียแล้ว หยูเสวี่ยจึงใคร่ได้สาวใช้ติดตามคนใหม่ที่ตนพึงใจ มิใช่ใครก็ได้ที่ถูกจัดหาโดยพ่อบ้าน
หยูเสวี่ยเอ่ยกับมารดาอีกหนึ่งประโยคแม้สายตาจะกำลังจับจ้องที่สตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มปริอยู่ไม่ไกล “ท่านแม่เรียกนางเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
วั่นหรงย่อมรู้ใจบุตรสาวจึงยิ้มแล้วเอ่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ของแม่จิตใจดียิ่งนัก เจ้าคงเจอสาวใช้ถูกใจเสียแล้วกระมัง”
“ท่านแม่อย่าด่วนสรุปเลยเจ้าค่ะ บางทีนางอาจจะเป็นบุตรสาวคหบดีร่ำรวยที่บังเอิญหลงทางมาก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าการแต่งกายจะไม่อาจบอกได้เช่นนั้น หากแต่หน้าตาผิวพรรณของนางมิอาจดูเบานะเจ้าคะ” หยูเสวี่ยเอ่ยตามจริง หาได้ริษยาที่อีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามกว่าตนที่เป็นถึงคุณหนูสูงส่งไม่
สตรีสูงวัยกว่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจในนิสัยใจคอของบุตรสาว แต่ก็อดเป็นห่วงอยู่ในอกลึกๆ มิได้
นิสัยของหยูเสวี่ยอ่อนโยนจิตใจดีจนเกินไป หากวันข้างหน้าต้องตบแต่งกับชายใดที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ จักต่อสู้กับริษยาของสตรีหลังเรือนได้อย่างไร ตระกูลโหวก็ใหญ่โตเยี่ยงนี้ ค้ำชูราชสำนักไม่น้อย มีโอกาสที่บุตรสาวอาจจะได้เป็นถึงชายาในรัชทายาทเลยก็ว่าได้
วั่นหรงรู้สึกเป็นห่วงเรื่องนี้ยิ่งนัก ด้วยตัวของนางเองก็เป็นฮูหยินใหญ่ที่มีสามีมากรัก แต่งภรรยาจนเต็มเรือนเหลือเกิน
ยามนี้บุตรสาวคนโตก็แต่งออกไปแล้ว ซึ่งก็หนีไม่พ้นตำแหน่งภรรยาหลวงที่สามีมากภรรยา ทว่าบุตรสาวคนโตมิเคยทำให้นางต้องเป็นกังวลเลยสักครา ด้วยรู้ดีถึงนิสัยของอีกฝ่ายว่าร้ายกาจเท่าทันปานใด นางห่วงเพียงบุตรสาวคนรองนี่ล่ะ
เอาเถิด...เรื่องนี้ยังอีกยาวไกลและไม่เกี่ยวอันใดกับเรื่องตรงหน้า ค่อยๆ คิดกันไปอีกทีก็ย่อมได้
ฮูหยินใหญ่บ้านโหวคิดเช่นนั้น ก่อนจะตัดเรื่องกลุ้มใจไปแล้วสั่งสาวใช้ข้างกายให้ไปเรียกสตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มพองให้เข้ามา
เมื่อได้ยลโฉมแน่งน้อยใกล้ๆ วั่นหรงและหยูเสวี่ยถึงกับตกตะลึงในใจ กับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณของอีกฝ่าย
“เจ้ามีนามว่าอะไร? เหตุใดถึงเดินทางมาคนเดียว? บิดามารดาอยู่หนใด? เจ้ากำลังจะไปไหน? ไปพบใคร?” วั่นหรงถามชุดใหญ่จนลืมหายใจ
หยูเสวี่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของมารดายามซักถามอีกฝ่าย คล้ายกำลังกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับไม่ตื่นตระหนกตกใจอันใด ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้คนนอกจากบิดาและชายหนุ่มปริศนาเมื่อหลายปีก่อน เด็กสาวก็หาได้แสดงอาการตื่นกลัวไม่ เนื่องจากในป่าใหญ่มีเรื่องตื่นเต้นมากมายจนนับไม่ถ้วน นางล้วนชาชินกับเรื่องใดๆ ทุกสิ่ง กระทั่งเจอหมีควายวิ่งเข้าใส่ เสือร้ายขู่คำราม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า นางยังนิ่งไม่สะทกสะท้านทั้งนั้น เส้นเสียงหวานใสจึงเอ่ยตอบเนิบช้า
“ข้าโม๋เอ๋อร์ ไร้บิดามารดา จึงเดินทางมาเพียงลำพัง หนทางข้างหน้าล้วนแล้วแต่โชคชะตานำพา ไม่คาดหวังว่าจะเจอใครแบบใด ขอเพียงมีวาสนาต่อกัน โม๋เอ๋อร์ย่อมยินดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูเสวี่ยพลันยิ้มกว้าง นางรีบเอ่ยเสียงใส “ข้าหยูเสวี่ย แซ่โหว เจ้ายินดีติดตามข้าหรือไม่?” เด็กสาวเอ่ยได้ตรงมาตรงไปตรงประเด็นยิ่งนัก
“อื้ม...” แม้โม๋เอ๋อร์จะไม่เข้าใจสักเท่าใด แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างยินดี ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเสื้อผ้างดงามและอาหารหอมกรุ่นแท้ๆ “หากข้าติดตามพวกท่าน ข้าจะได้ใส่ชุดสวยๆ ได้กินอาหารรสเลิศใช่หรือไม่?”
“อื้ม...” ครานี้เป็นหยูเสวี่ยที่พยักหน้าตอบรับคอแทบหัก
วั่นหรงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู
หากบุตรสาวได้คนติดตามที่ถูกชะตาต้องใจเป็นสหายไว้ใจได้ คนเป็นแม่ย่อมยินดีไม่คิดขัดใจ เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
แต่บางอย่างทำให้ฮูหยินโหวเริ่มครุ่นคิดเมื่อสายตาลอบพิจารณาโม๋เอ๋อร์อย่างละเอียดถ้วนถี่
เด็กสาวนางนี้มองอย่างไรก็ไม่ธรรมดาเลยสักนิด ด้วยรูปโฉมสะคราญเปี่ยมเสน่ห์ตรึงใจ แม้เยาว์วัยยังโดดเด่นแจ่มชัด ความงามพิลาศเลิศล้ำถึงเพียงนี้นี้ ต่อให้มีองค์หญิงสูงศักดิ์หลายคนมายืนเทียบเคียงใกล้ๆ เกรงว่าคงริษยาจนลูกนัยน์ตาลุกไหม้ไฟโหมเป็นแน่
วั่นหรงพยักหน้ากับตนเองน้อยๆ ยามเหม่อมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา
“เซียนเอ๋อร์”“อาเหอ...ข้าไม่ไหวแล้ว”ยามนั้น ทั่วทั้งบ่อน้ำส่องแสงสีทองสลับสีแดงชนิดเข้มข้น ยังผลให้ผู้จ้องมองแสบตาจนมิอาจฝืน เฉินเหอไท่พยายามเหลือเกินที่จะเพ่งพิศภรรยา ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ทั้งยังคล้ายกับว่าตัวเขาถูกพลังบางอย่าง ผลักจนกระเด็นออกจากบ่อน้ำ ทำได้เพียงแข็งขึงหยัดยืนให้ร่างสูงตระหง่านอยู่ริมบ่อเท่านั้นรอบกายของเขาคล้ายมีพายุหมุน เส้นแสงแสบตาพาให้ไม่สามารถทอดมองสิ่งใดสายลมดังอู้ๆ สองหูอื้ออึง นัยน์ตายังพร่ามัว ทั้งสมองยังขาวโพลน ผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ เมื่อพลังเร้นลับมหาศาลสลายหายไป เฉินเหอไท่จึงได้โอกาสลืมตา ทว่าเมื่อได้เห็นลำตัวหนาแกร่งพลันชาวาบในบ่อน้ำร้อนปราศจากร่างภรรยา…“เซียนเอ๋อร์”ชายหนุ่มกระโจนลงน้ำ แหวกว่ายพร้อมร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกในแบบที่ไม่เคยเป็น“เซียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด”บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้กว้างมาก ทั้งยังลึกยิ่ง เฉินเหอไท่ดำน้ำลงไป แล้วว่ายขึ้นมา ดำลงไปอีก มองหา ขึ้นมา ดำลงไป วนเวียนอยู่เช่นนั้น เขาดำน้ำวกวนทั่วก้นบ่อ ก็ยังไม่พบภรรยา จากนั้นก็ว่ายขึ้นมาแล้วตะโกนก้อง“เซียนเอ๋อร์ ตอบข้า”ยิ่งนานเสียงเรียกยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที“ได้โปรด เซียนเอ๋อร์”แต่ก
สายลมโชยผ่าน ม่านแดดที่คลี่คลุมเจือจางลง แทนที่ด้วยอาทิตย์อัสดงเมื่อคำนวณเวลาว่าภรรยาตื่นนอน ร่างสูงจึงเดินเข้าเรือน ก็เจอคนงามพาท้องกลมใหญ่เดินแช่มช้าออกมาจากห้องแล้ว“หิวหรือไม่?”เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยามเข้าจับประคองอย่างถนอม“หิวเจ้าค่ะ” เซียนเซียนแย้มยิ้มตอบ พลางซุกซบหาไออุ่นเฉินเหอไท่พาร่างขาวอวบกลมไปเอนหลังกับเบาะนุ่ม ก่อนโน้มตัวก้มหน้าจรดริมฝีปากร้อนชื้นกับหน้าผากกลมมน“รอครู่เดียว”ยามเอ่ยยังลูบหน้าท้องภรรยาแผ่วเบาอย่างรักใคร่ ทั้งยังไม่ลืมลูบไล้ลงต่ำไปที่เนินเนื้ออุ่นนุ่มที่บัดนี้บวมตึงยิ่งนัก ส่วนสงวนของนางบ่งบอกได้ว่า ใกล้กำหนดคลอดแล้วชายหนุ่มละฝ่ามือออกจากใต้กระโปรงภรรยาแล้วประทับจุมพิตที่แก้มสาวอีกครั้ง บอกเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า“เจ้าทนอีกไม่นาน”“อืม...”“กินให้อิ่ม หลับให้สบาย เข้าใจหรือไม่?”เซียนเซียนคลี่ยิ้มละมุนตาเอ่ยปากรับคำเนิบช้า“เจ้าค่ะ ท่านพี่”เฉินเหอไท่กดจูบที่กลีบปากนุ่มแดงแรงๆ หนึ่งทีแล้วลุกขึ้นไปจัดเตรียมอาหารเมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มยังจับหญิงสาวขึ้นอุ้มแนบอก พาเดินชมทิวทัศน์ยามราตรี รับสายลมเย็นฉ่ำชั่วครู่ ก็พาเข้านอนทุกวันหมุนเวียนไปเ
เฉินเหอไท่กักเก็บตัวตนนางเอาไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่น แลกลมหายใจผะผ่าวเข้าผสาน นับเป็นการยับยั้งปราณเย็นขั้นสุดขั้วเอาไว้ได้ด้วยปราณร้อนระอุแห่งเขา ให้เปลี่ยนเป็นความร้อนแรงแห่งรักชายหนุ่มนับเป็นมนุษย์ที่มีพลังหยางเข้มข้น กระทั่งไอมารของเทพปีศาจยังต้องสยบอย่างยินดีเซียนเซียนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างสามี กลายร่างเป็นเพียงภรรยาแสนดี ซุกซบไออุ่นอย่างออดอ้อนหญิงสาวมักจะเปล่งเสียงสดใสฉอเลาะ เรียกรอยยิ้มละมุนให้เกิดจากใบหน้าหยาบกระด้าง นำพาความอ่อนโยนแทนที่ความกร้าวแกร่งได้อย่างเหลือร้ายไม่นานต่อมา ฝ่ายภรรยาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ นางเบื่ออาหารที่ชอบกินและง่วงนอนตลอดเวลา ไม่ชอบเอ่ยคำหวานออดอ้อนฉอเลาะอีกแล้ว แต่มักจะพร่ำบ่นดินฟ้าอากาศอย่างหงุดหงิดอันไร้เหตุผล ฝ่ายสามีแรกเริ่มก็อดทนไม่คิดขัดใจ กระทั่งรู้ว่านางตั้งครรภ์ นำพาความดีใจจนแทบเนื้อเต้น แต่กลับไม่อาจทนเห็นนางเบื่ออาหารทั้งไม่อาจให้นางปฏิเสธการกินอีกต่อไปไม่ว่าคนงามจะงอแงโวยวายอย่างไร เขาก็ได้แต่อมยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายหยอกเย้า ออดอ้อนฉอเลาะให้นางอารมณ์ดี จะได้กินอาหารบำรุงได้มากหน่อย คืนวันแห่งวสันต์จึงเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำด้วยการหยอกเอินหลอ
กลางป่ารกทึบแมกไม้เขียวขจีดอกไม้บานสะพรั่งสัตว์ป่าน้อยใหญ่เคลื่อนกายแวะเวียนเซียนเซียนถูกเฉินเหอไท่พามาไกลหลายพันลี้จากแคว้นต้าซ่งจนถึงแคว้นต้าหมิง เพื่อเร้นกายอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้นเขามีบ้านหลังใหญ่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ด้านซ้ายมีน้ำตกด้านขวาเป็นทิวทัศน์ร่มไม้ไหว ด้านหลังยังมีบ่อน้ำพุร้อนสราญใจสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในแผนการที่เกี่ยวข้องกับการโค่นล้มเฉินหย่งจื้อที่วางเอาไว้ ชายหนุ่มสั่งลูกน้องฝีมือดีเข้ามาจัดการปลูกสร้างเนิ่นนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสำหรับภรรยาที่เขาลอบสรรสร้างเพื่อนางโดยเฉพาะใต้ร่มไม้ปลายน้ำตก ละอองเย็นฉ่ำฟุ้งกระจายผสานสายลมโบกโชย กลีบดอกไม้ปลิวละลิ่วเคล้าแสงตะวัน มีร่างสองสายแนบชิดสนิทเนื้อแทบแยกไม่ออก“ข้าชอบที่นี่” เซียนเซียนแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา แนบแผ่นหลังบอบบางกับแผงอกอบอุ่นของเฉินเหอไท่ ปล่อยร่างอรชรเข้าสู่วงแขนแข็งแรงราวสตรีไร้กระดูกชายหนุ่มจรดปลายจมูกกับเรือนผมเรียบลื่น เอ่ยเสียงนุ่ม “แน่นอนว่าเจ้าต้องชอบ”หญิงสาวเงยหน้าจูบปลายคางคมสันเบาๆ ส่งกระแสร้อนวาบให้ซาบซ่านถึงหัวใจ แล้วก้มหน้าซุกซบอยู่ในอ้อมกอดคล้ายแมวน้อยแสนเชื่อง คว
ดวงเนตรพญามังกรสีรัตติกาลเบิกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ เฉินเหอไท่นำทัพออกหน้าไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ทำการศึกห่างออกไปไกล ปิดเส้นทางมิให้ผู้ใดเข้ามาระรานยามที่เขาไม่อยู่ตัวเขาต้องจัดการทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นที่ข้างนอก จึงป้องกันอาณาเขตแห่งนี้เอาไว้ให้อยู่อย่างปกติที่สุดทว่า...สิ่งที่เห็นทำให้เฉินเหอไท่นึกตระหนกไม่น้อย ถึงแม้ว่าแผนการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จของเฉินเหอไท่จะสำเร็จลุล่วง หากแต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเฉินหย่งจื้อส่งคนเข้ามาบุกโจมตีคฤหาสน์ จนเกิดศึกนองเลือดตลบหลัง เป้าหมายคือสะบั้นดวงใจแห่งเขาชายหนุ่มให้ได้คิดว่าเขาดูเบาความต่ำช้าของน้องชายผู้นี้มากจนเกินไปเสียแล้วเรื่องที่เขามีหญิงคนรักและแต่งงาน เจ้าเฉินหย่งจื้อกลับนำมาเป็นเครื่องมือหมายกำจัดเขาอย่างต่ำตมสิ้นคิดซึ่งแน่นอนว่าหากเซียนเซียนเป็นเพียงสตรีธรรมดาย่อมต้องกลายเป็นตัวประกันเข้าทางศัตรู แล้วถูกนำมาข่มขู่เขาทว่าความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น เฉินเหอไท่ย่อมรู้ดีกว่าใครสายตาคมเข้มกวาดมองไปทั่ว มีแววร้อนรนผสานอยู่อย่างไม่อาจระงับ ยิ่งเดินเข้ามายิ่งเห็นคราบเลือดข้นคลั่กปานธารารินไหล ก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเย็นที่ฝ่ามือประเมินดูแล้วถึง
ค่ำคืนแห่งการรื่นเริงภายในพระราชวังต้าซ่งยังมีต่อเนื่องสามวันสามคืน หลังศึกปราบกบฏเสร็จสิ้นเมื่อฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีเต็มที่ จึงเรียกสนมถึงสองนางมาปรนนิบัติอย่างสุขสมบนเตียงบรรทมในตำหนักส่วนพระองค์ มีเสียงครวญครางถึงสามเสียงด้วยกันนอกจากเส้นเสียงรัญจวน ยังมีเสียงหัวเราะร่วนที่ร่วมกันเหยียดหยันอ๋องโง่บัดซบผู้หนึ่ง สนมทั้งสองล้วนด่าทอเฉินเหอไท่เพื่อเอาใจเฉินหย่งจื้อ ว่าสมควรตายเพียงใด ต่ำช้าแค่ไหนชั่วจังหวะที่เฉินหย่งจื้อกำลังปลดปล่อยตัวตนร้อนผ่าวเข้าสู่กายสาวของสนมคนงาม ลำคอพลันเจ็บแปลบ กรามพลันหลุดออก ความรู้สึกชาหนึบพลันถาโถมสองตาของฮ่องเต้ต้าซ่งเหลือกถลน เปล่งวาจามิได้ อึกอักอึดใจก็เห็นสนมคนหนึ่งตายอยู่หัวเตียงเมื่อใดมิอาจทราบ ส่วนอีกคนที่อยู่ใต้ร่างก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลูกนัยน์ตาปูนโปนแทบออกมานอกเบ้า กลีบปากอ้าค้าง ยามใดก็สุดรู้ไร้เสียงเล็ดลอด ตกตายเงียบเชียบ ว่องไวรวบรัดหรือว่าจะเป็น...ความคิดชั่ววูบเกิดขึ้นพร้อมกับเงาร่างหนาใหญ่ในอาภรณ์สีดำจัดปรากฏกายเบื้องหน้า สู่ครรลองสายตาเฉินหย่งจื้อยิ่งเบิกตาโพลงเฉินเหอไท่ทักทายน้องชายจอมตระบัดสัตย์ด้วยแววตาคมกริบที่มองสบนิ่งขรึม เผย