โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้า
กระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่
อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรอง
โม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจ
นางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกิน
แต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้
เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดม
หน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหนูรองต้องมองอย่างนึกเอ็นดู ตัวเล็กน่ารักในอาภรณ์ลากยาวเกินวัยเยี่ยงนั้น ทำเอาฮูหยินใหญ่มีนามว่า วั่นหรง และคุณหนูรองนามว่า หยูเสวี่ย ต้องลอบยกยิ้มขบขัน ทั้งสองยกแขนป้องปากแทบไม่ทัน จึงเผลอหลุดกิริยาจนได้
โม๋เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มส่งให้ ดวงตากลมใสของนางทอประกายระยิบระยับล้อแสงตะวัน และดูเจิดจรัสยิ่งนักในครรลองสายตาแก่ผู้พบเห็น
ผู้คนทั้งขบวนคือคนของสกุลโหว สาเหตุที่เดินทางก็เพื่อไปเยี่ยมเยือนคุณหนูใหญ่ที่แต่งงานด้วยสมรสพระราชทานกับอ๋องที่ครองเมืองทางเหนือ ได้เป็นถึงพระชายาแห่งจวนอ๋องและคลอดบุตรได้ไม่นาน
สตรีทั้งสองที่เป็นมารดาบังเกิดเกล้าและน้องสาวร่วมสายเลือด จึงไม่อาจรั้งรอให้คนพี่ฟื้นตัวแล้วเดินทางไกลมาหาตน รีบพากันเดินทางไปให้กำลังใจถึงต่างเมือง ยามนี้กำลังเดินทางกลับจวนในเมืองหลวงต้าหมิง
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของหยูเสวี่ยเปรยขึ้น นางมีอายุปีนี้สิบสองพอดี สาวใช้คนสนิทที่เปรียบเหมือนพี่สาวรู้ใจกันมาแต่เด็กก็ไถ่ตัวเองออกไปแต่งงานเสียแล้ว หยูเสวี่ยจึงใคร่ได้สาวใช้ติดตามคนใหม่ที่ตนพึงใจ มิใช่ใครก็ได้ที่ถูกจัดหาโดยพ่อบ้าน
หยูเสวี่ยเอ่ยกับมารดาอีกหนึ่งประโยคแม้สายตาจะกำลังจับจ้องที่สตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มปริอยู่ไม่ไกล “ท่านแม่เรียกนางเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
วั่นหรงย่อมรู้ใจบุตรสาวจึงยิ้มแล้วเอ่ย “เสวี่ยเอ๋อร์ของแม่จิตใจดียิ่งนัก เจ้าคงเจอสาวใช้ถูกใจเสียแล้วกระมัง”
“ท่านแม่อย่าด่วนสรุปเลยเจ้าค่ะ บางทีนางอาจจะเป็นบุตรสาวคหบดีร่ำรวยที่บังเอิญหลงทางมาก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าการแต่งกายจะไม่อาจบอกได้เช่นนั้น หากแต่หน้าตาผิวพรรณของนางมิอาจดูเบานะเจ้าคะ” หยูเสวี่ยเอ่ยตามจริง หาได้ริษยาที่อีกฝ่ายมีรูปโฉมงดงามกว่าตนที่เป็นถึงคุณหนูสูงส่งไม่
สตรีสูงวัยกว่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจในนิสัยใจคอของบุตรสาว แต่ก็อดเป็นห่วงอยู่ในอกลึกๆ มิได้
นิสัยของหยูเสวี่ยอ่อนโยนจิตใจดีจนเกินไป หากวันข้างหน้าต้องตบแต่งกับชายใดที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ จักต่อสู้กับริษยาของสตรีหลังเรือนได้อย่างไร ตระกูลโหวก็ใหญ่โตเยี่ยงนี้ ค้ำชูราชสำนักไม่น้อย มีโอกาสที่บุตรสาวอาจจะได้เป็นถึงชายาในรัชทายาทเลยก็ว่าได้
วั่นหรงรู้สึกเป็นห่วงเรื่องนี้ยิ่งนัก ด้วยตัวของนางเองก็เป็นฮูหยินใหญ่ที่มีสามีมากรัก แต่งภรรยาจนเต็มเรือนเหลือเกิน
ยามนี้บุตรสาวคนโตก็แต่งออกไปแล้ว ซึ่งก็หนีไม่พ้นตำแหน่งภรรยาหลวงที่สามีมากภรรยา ทว่าบุตรสาวคนโตมิเคยทำให้นางต้องเป็นกังวลเลยสักครา ด้วยรู้ดีถึงนิสัยของอีกฝ่ายว่าร้ายกาจเท่าทันปานใด นางห่วงเพียงบุตรสาวคนรองนี่ล่ะ
เอาเถิด...เรื่องนี้ยังอีกยาวไกลและไม่เกี่ยวอันใดกับเรื่องตรงหน้า ค่อยๆ คิดกันไปอีกทีก็ย่อมได้
ฮูหยินใหญ่บ้านโหวคิดเช่นนั้น ก่อนจะตัดเรื่องกลุ้มใจไปแล้วสั่งสาวใช้ข้างกายให้ไปเรียกสตรีนางน้อยที่ยืนยิ้มแก้มพองให้เข้ามา
เมื่อได้ยลโฉมแน่งน้อยใกล้ๆ วั่นหรงและหยูเสวี่ยถึงกับตกตะลึงในใจ กับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณของอีกฝ่าย
“เจ้ามีนามว่าอะไร? เหตุใดถึงเดินทางมาคนเดียว? บิดามารดาอยู่หนใด? เจ้ากำลังจะไปไหน? ไปพบใคร?” วั่นหรงถามชุดใหญ่จนลืมหายใจ
หยูเสวี่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของมารดายามซักถามอีกฝ่าย คล้ายกำลังกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับไม่ตื่นตระหนกตกใจอันใด ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้คนนอกจากบิดาและชายหนุ่มปริศนาเมื่อหลายปีก่อน เด็กสาวก็หาได้แสดงอาการตื่นกลัวไม่ เนื่องจากในป่าใหญ่มีเรื่องตื่นเต้นมากมายจนนับไม่ถ้วน นางล้วนชาชินกับเรื่องใดๆ ทุกสิ่ง กระทั่งเจอหมีควายวิ่งเข้าใส่ เสือร้ายขู่คำราม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า นางยังนิ่งไม่สะทกสะท้านทั้งนั้น เส้นเสียงหวานใสจึงเอ่ยตอบเนิบช้า
“ข้าโม๋เอ๋อร์ ไร้บิดามารดา จึงเดินทางมาเพียงลำพัง หนทางข้างหน้าล้วนแล้วแต่โชคชะตานำพา ไม่คาดหวังว่าจะเจอใครแบบใด ขอเพียงมีวาสนาต่อกัน โม๋เอ๋อร์ย่อมยินดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูเสวี่ยพลันยิ้มกว้าง นางรีบเอ่ยเสียงใส “ข้าหยูเสวี่ย แซ่โหว เจ้ายินดีติดตามข้าหรือไม่?” เด็กสาวเอ่ยได้ตรงมาตรงไปตรงประเด็นยิ่งนัก
“อื้ม...” แม้โม๋เอ๋อร์จะไม่เข้าใจสักเท่าใด แต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างยินดี ไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเสื้อผ้างดงามและอาหารหอมกรุ่นแท้ๆ “หากข้าติดตามพวกท่าน ข้าจะได้ใส่ชุดสวยๆ ได้กินอาหารรสเลิศใช่หรือไม่?”
“อื้ม...” ครานี้เป็นหยูเสวี่ยที่พยักหน้าตอบรับคอแทบหัก
วั่นหรงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู
หากบุตรสาวได้คนติดตามที่ถูกชะตาต้องใจเป็นสหายไว้ใจได้ คนเป็นแม่ย่อมยินดีไม่คิดขัดใจ เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
แต่บางอย่างทำให้ฮูหยินโหวเริ่มครุ่นคิดเมื่อสายตาลอบพิจารณาโม๋เอ๋อร์อย่างละเอียดถ้วนถี่
เด็กสาวนางนี้มองอย่างไรก็ไม่ธรรมดาเลยสักนิด ด้วยรูปโฉมสะคราญเปี่ยมเสน่ห์ตรึงใจ แม้เยาว์วัยยังโดดเด่นแจ่มชัด ความงามพิลาศเลิศล้ำถึงเพียงนี้นี้ ต่อให้มีองค์หญิงสูงศักดิ์หลายคนมายืนเทียบเคียงใกล้ๆ เกรงว่าคงริษยาจนลูกนัยน์ตาลุกไหม้ไฟโหมเป็นแน่
วั่นหรงพยักหน้ากับตนเองน้อยๆ ยามเหม่อมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
สามเดือนหลังจากถูกเคี่ยวกรำให้กลายเป็นสตรีดีพร้อมสำหรับออกเรือนด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุใดผิดพลาดก่อนถึงวันแต่งงาน วั่นหรงจึงแอบรับโม๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมอย่างลับๆ หาได้เปิดเผยออกไป เพราะอาจถูกคัดค้านจนเสียแผนการ ทั้งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งอย่างดี หากเกิดเหตุใดผิดพลาดขึ้นหลังจากแต่งงาน เรื่องนี้อาจจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตรกระมังโหวฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้นับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงอย่างสาหัส มีโทษถึงตาย ประหารทั้งตระกูล แต่นางก็ยังยอมเสี่ยงโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน ด้วยรักบุตรสาวเหลือเกินขอเพียงรัชทายาทหมิงเฉิงหลงใหลในตัวโม๋เอ๋อร์ก็เท่านั้นวั่นหรงลอบฝึกปรือบ่มเพาะโม๋เอ๋อร์อย่างเข้มงวดจนมั่นใจว่าเสน่หานวลนางร้ายกาจเข้าขั้น จึงรู้สึกพึงพอใจมากเมื่องานมงคลเกิดขึ้นตามกำหนดการ โดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ฤกษ์งามยามอยู่บ้านเจ้าสาว มีสายตาหลายคู่จากคนบ้านโหว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านโหว ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุงดงามทุกนาง ยังมีบุตรธิดาอีกหลายคน ที่คอยจับจ้องด้วยริษยาโม๋เอ๋อร์จึงอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้พิธี ส่วนหยูเสวี่ยก็ทำต
ภายในกระโจมหลังงาม รอบด้านมีแสงเทียนสีทองข้างเตียงนอนมีนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลไร้สติตรงประตูทางเข้ากระโจมที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าเนื้อหนา ไร้ผู้ใดเข้ามา มีเพียงสองชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังยืนประจันหน้าเงียบงัน ไร้ภาวะเจรจาโดยพลัน สิ่งที่หมิงเฉิงไม่รู้ คือสร้อยเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอกำลังเรืองแสงบางเบาจนพลังแห่งการปกป้องที่ซ่อนเร้นในสร้อยส่งผลให้สตรีงดงามตรงหน้าถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ จนต้องเปิดเผยตัวตนที่เป็นปีศาจในที่สุดเรียวนิ้วงามที่กำลังยกขึ้นเพื่อลูบไล้ร่างแกร่งพลันชะงัก แม้รอยยิ้มยั่วยวนยังไม่ทันจางหาย หากแต่พลังจากเขี้ยวราชสีห์กลับทำให้นัยน์ตาดำขลับของนางกลายเป็นสีเขียวเข้ม ปฏิกิริยาระหว่างนางกับเขี้ยวราชสีห์มีสัมพันธ์บางอย่างต่อกันหัวใจชายในอกแกร่งพลันเต้นระส่ำรุนแรง เมื่อหมิงเฉิงเห็นดวงตาสีเขียวของนางเนิ่นนาน มิใช่เพียงชั่ววูบเดียวเหมือนของชายาโหวทว่าในขณะที่มือแกร่งกำลังจะเอื้อมขึ้นมารั้งร่างระหงให้เข้าใกล้เพื่อพินิจให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หญิงงามพลันถอยร่นหนีห่างออกไปถึงสามก้าว จากนั้นเรือนร่างอรชรก็เริ่มเปลี่ยนสีจากเนื้อเนียนสีขาวละเอียดลออเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เส้นผ
ร่างสูงเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้ากระโจมชั่วครู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ เปิดประตูที่ทำจากผ้าเนื้อหนา แล้วเดินเข้าไปช้าๆเมื่อเดินเข้ามาในกระโจมของพระชายา สายตาคมกวาดมองไปที่เตียงนอน เห็นนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลประหนึ่งตายจากอยู่บนฟูกที่พื้นหน้าเตียงเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งขมวดพันกันแน่นคล้ายกลายเป็นปมเชือก เมื่อมองไม่เห็นเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่บนเตียงนั่นสายตาคมกล้าจึงกวาดมองไปทั่วกระโจม ทันใดนั้นพลันสะดุดกับสตรีนางหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ตรงมุมอับภายในกระโจมร่างหนานิ่งค้างในบัดดล จ้องมองสตรีนางนั้นนิ่งงันเพราะว่าดึกมากแล้ว แสงเทียนสีทองจึงเริ่มมอดดับ ความสว่างจึงสาดส่องไม่ทั่วสักเท่าไหร่ หมิงเฉิงจึงเห็นสตรีปริศนาแค่เพียงรำไรในครรลองสายตา นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวบางเบา แหวกสาบเสื้อเปิดเปลือยเนินเนื้ออวบอิ่มนูนเด่นออกมามากกว่าครึ่งเต้า สร้างความรู้สึกวาบหวามไม่เบาแก่ผู้จ้องมองม่านตาดำพลันหดเล็กแคบ ตรึงมองนางไม่ไหวติงหมิงเฉิงชะงักงันไปชั่วขณะ มิใช่เพราะความเย้ายวนที่เรือนกาย ทว่าเป็นเพราะเมื่อสตรีงดงามนางนี้ค่อยๆ ผินหน้ามา เค้าโครงหน้าตาของนางหาใช่ชายาแห่งเขาไม่!ชายหนุ่มยิ่งขม
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่