เสียงเหล่านี้ดังมากจนกลบเสียงฮึกเหิมของเหล่าทหารหลายร้อย กลบกระทั่งเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงเกือกม้าย่ำพื้นดินเพื่อรุมระห่ำมาทางเฉินเหอไท่ทุกผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนที่ปลายเท้า ลำตัวของพวกเขาล้วนสั่นไหว ต่อมายังสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ทหารทุกคนพากันชะงักนิ่งตะลึงลาน ทันใดนั้นแผ่นดินรอบด้านของพวกมันพลันปริแตกแล้วแยกออกจากกัน“อะ...อะไร?” ทหารหลายคนเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่“อ๊าก!” เริ่มมีเสียงร้องโหยหวนชวนผวา เมื่อจู่ๆ พื้นธรณีใต้ฝ่าเท้าของพวกมันเคลื่อนที่แยกตัวออกจนเป็นวงกว้าง แล้วดูดกลืนทั้งม้าทั้งร่างของทหารทุกคนให้ตกลงไป ไม่ใช่แค่ทีละคน แต่พวกมันตกลงไปทีเดียวทั้งหมด ซากศพกองเท่าภูเขาขนาดย่อมล้วนตกตามกันไปราวกับห้วงมหาสมุทรดูดกลืนทุกสรรพสิ่งไม่ต่างจากวังน้ำวน“ย๊า!”พวกทหารแหกปากผสานเสียงกันทันตาจนดังระงมกึกก้องไปทั่วน่านฟ้า เมื่อจู่ๆ พวกมันก็ถูกพื้นพสุธาทั้งผืนกลืนกินจนร่วงหล่นลงไปยังใต้พิภพพื้นดินแยกตัวออกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ดำลึกกว้างขวางกินพื้นที่ไกลมาก ทหารหลายร้อยคนก็คล้ายถูกสูบลงไปในนั้นจนสิ้นพวกมันทำได้เพียงร่ำร้องโหยหวนไม่เป็นภาษา สองมือแหวกว่ายอากาศอย่างน่าเวทนา นรกกำ
“เหล่าพี่น้องทั้งหลาย เบื้องหน้าเราคือกบฏเฉินเหอไท่! จงจับตายสถานเดียว นำหัวของมันไปเสียบประจานหน้าประตูเมืองต้าซ่งถวายแด่องค์จักรพรรดิเฉิน!”ฉับพลันนั้นฟ้าสลัวรางที่มีแสงจันทรานวลเนียนสาดส่องลงมา ราวกับมีเมฆดำทะมึนของห่าฝนกระหน่ำโครมดั่งฟ้ารั่วครอบคลุมเหนือศีรษะของเฉินเหอไท่ เมื่อเหล่าอาชาไนยต่างพากันควบตะบึงยกดาบขึ้นเหนือหัวพุ่งตัวชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอคราหนึ่ง ถ่มโลหิตในปากออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง รอรับการปะทะอย่างยินดี ไร้ท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อยบนกองศพหลายร้อยประหนึ่งภูเขาลูกเล็ก กีบม้าศึกหลายร้อยตัวเริ่มขยับเมื่อถูกเจ้าของรองเท้าหนังหนาหนักตะปบสีข้างเหล่าทหารบนหลังม้ากระชับอาวุธในมือพร้อมพุ่งทะยานไปทางเจี้ยนอ๋อง หมายเผด็จศึกอันน่าพรั่นพรึงที่กินเวลาข้ามวันข้ามคืนนี้ให้จงได้ไม่มีการต่อสู้แบบยุติธรรมหนึ่งต่อหนึ่ง หากแต่เป็นการสังหารโหดแบบต่ำช้าที่เรียกว่าหมาหมู่รุมกินโต๊ะเสียงครืนครืนของม้าศึกที่ควบตะบึงอย่างพร้อมเพรียง ผสานเสียงกับการขู่คำรามของทหารหลายร้อยดังกึกก้องไปทั่วธรณี ยังมีเสียงโลหะกระทบกันหมายข่มขวัญยามประจัญบานทว่าการณ์กลับพลิกผัน หมาหมู่พ
พื้นพิภพที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก อันเป็นที่อยู่อาศัยของภพมนุษย์พวกเขาบูชาเทพทุกองค์ สักการะฟ้าดินมาอย่างยาวนาน แม้จะมีจิตใจยึดเหนี่ยวในสิ่งเดียวกัน ปฏิบัติตามจารีตประเพณีแบบเดียวกันเสมอมา แต่ทว่ากลับชอบแข่งขันแย่งชิงกันเองอย่างโหดร้ายมาโดยตลอดรัชศกผู่เฮ่าปีที่เจ็ดเดือนสิบวันที่ห้าคืนเดือนเพ็ญภายในหุบเขาไค่กู่ ใจกลางมีพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาล ลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตาอันเป็นสมรภูมิรบที่กำลังปะทุดุเดือดร้อนระอุชวนเลือดลมพลุ่งพล่านในยามนี้ รอบด้านมีแต่ซากศพคนตาย รอบทิศเต็มไปด้วยเศษร่างที่กระจัดกระจายของเนื้อหนังมนุษย์นับร้อยอาณาบริเวณแปดทิศมียอดหญ้าที่ควรเขียวขจีชุ่มโชกไปด้วยธารโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไหลเป็นทางจนเจิ่งนองพื้นดิน โชยกลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ชวนสะอิดสะเอียดเหลือจะกล่าวกลิ่นสาบสางชวนคลื่นเหียนเหล่านี้กำลังลอยวนในอากาศ อยู่รอบกายแกร่งทรงพลังของบุรุษผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเกราะสีดำสนิทเรือนกายหนาแน่นกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา เผยให้เห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลัก ตามแนวชุดเกราะที่ปริแตก ตามรอยแยกนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายหลายสายใบหน้าหล
อ๋องนักรบ เป็นเรื่องราวรุ่นพ่อแม่ของ ‘จอมนางพญามาร’ ซึ่งนักอ่านสามารถอ่านแยกได้ ในเล่มนี้เป็นเรื่องราวความรักของท่านอ๋องสูงศักดิ์ ฉายามังกรดำแห่งต้าซ่ง นามเฉินเหอไท่ กับมหาเทพปีศาจแห่งปรโลก นามเซียนเซียน อาจเป็นเพราะโชคชะตาหรือวาสนานำพา ทั้งสองจึงประสบเคราะห์กรรมทำให้มีโอกาสได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อแรกเจอ ต่อมาหลังจากไร้โอกาสพบพานยังบังเอิญได้ช่วยเหลือกันอีกครั้งอย่างตั้งใจ ความรักต่างสายพันธ์ุจึงเกิดขึ้นเมื่อใดมิอาจทราบ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องไปให้สุดขอให้ทุกท่านมีความสุขกับจินตนาการของหลี่หงค่ะ**********ดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจ ทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ผู้ที่ถูกเรียกว่า มหาเทพปีศาจ[1]เมื่อจักรพรรดิเทพแห่งสรวงสวรรค์ ผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งภพสวรรค์ ต้องก
สกุลมู่แม้ยิ่งใหญ่แต่ก็ยังเป็นเพียงสกุลในอาณัติสกุลจ้าว และด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของเว่ยหยางเช่นนี้ ใครหน้าไหนก็ไม่ควรเหิมเกริมด้วยทั้งสิ้นสตรีเหล่านี้หาที่ตายโดยแท้!ท่ามกลางโต๊ะที่ล้มลงและจานอาหารเกลื่อนกระจาย เว่ยหยางจับมือเพ่ยหลิงออกมายืนด้านข้าง พลางเอ่ยเสียงเย็นกับสตรีไร้ยางอายตรงหน้าว่า“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับหลังเรือนผู้อื่น คิดอยากมีสามีก็ควรสงบปากสงบคำ อายุก็ไม่น้อยแล้ว”สิ้นประโยคเชือดเฉือนนั้น พวกนางถึงกับปิดหน้าอย่างอับอายแล้วร่ำไห้ออกจากงานไปเกรงว่าสตรีเหล่านี้คงหาสามีมิได้เสียแล้ว หลังจากบ่าวรับใช้เข้ามาเก็บกวาดจนสะอาด งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อไป คล้ายกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นทั้งสิ้นเรื่องนี้ย่อมได้รับการโจษจันไปทั่วเมือง ถึงความรักใคร่ต่อฮูหยินของแม่ทัพจ้าวผู้นี้ หากใครคิดจะเสนอตัวเข้ามาเป็นภรรยาของเขา คงต้องคิดการณ์ใหม่อีกหลายตลบหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา เพ่ยหลิงคิดว่าคลื่นลมจักสงบแล้ว ทว่านางกลับคิดผิดไป เว่ยหยางคล้ายกับไม่คิดรั้งรอให้เพ่ยหลิงเติบใหญ่คืนนั้นเขาพานางกลับเรือนแล้วกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ท่าทางหวงแหนอย่างมากจากนั้น...การบอกรักภรรยาตัวน้อยก็พลันเปล
เพ่ยหลิงได้นั่งร่วมโต๊ะกับหญิงสาววัยสะพรั่งทั้งหลาย แต่ละนางล้วนเติบโตเต็มวัยทั้งสิ้น รอบทิศของแน่งน้อยจึงมีสตรีผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างยั่วยวนระเหิดระหง หน้าอกอวบอิ่มกลมนูนดุนดันเสื้อออกมาชัดเจน เอวเล็กคอดกิ่ว สะโพกผายงามงอน เมื่อก้มหน้ามองของตนเองบ้างก็พบว่าราบเรียบยิ่ง เพ่ยหลิงให้นึกอยากบอกท่านตากับท่านยายว่าช่วยโกงอายุให้นางสักสามปี จะได้มีแบบพี่สาวเหล่านี้บ้างยามเมื่อแน่งน้อยกำลังคิดการณ์อันสั่นสะเทือนบัญชีนรก สตรีนางหนึ่งก็เอ่ยกับเพ่ยหลิงว่า “ฮูหยินจ้าวท่านนี้อายุเท่าไหร่กันเชียว ไยรีบแต่งงานแล้ว”เมื่อได้ยินคำถาม เด็กสาวจึงกะพริบตากลมโตเบาๆ เพื่อมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พบว่าเป็นสตรีที่งดงามนางหนึ่ง น่าจะอยู่ช่วงวัยสิบแปดปี เพราะสตรีคนอื่นเรียกนางว่าพี่สาวกันทั้งนั้น กระทั่งคนที่นั่งด้านข้างที่อายุสิบเจ็ดปียังเรียกอีกฝ่ายว่าพี่เพ่ยหลิงย่อมรู้ตัวว่าตนเองเยาว์วัยกว่าจึงนอบน้อมยิ่ง นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยมองอย่างไร้เดียงสาทว่ากลับมิได้ต่อคำอันใดสตรีคนเดิมเห็นดรุณีนางน้อยไม่ยอมตอบคำ จึงนึกหมั่นไส้จากเดิมอีกมากโข เพราะว่าตัวนางเองแอบชอบเว่ยหยางมานานปี เขาคือแม่ทัพห