เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้านหลังน้อยมาก่อน เด็กหญิงไม่มีน้ำตาได้แต่เดินคุ้ยเขี่ยหาบางสิ่งในกองเถ้าถ่านนั้น แต่ไม่มีสิ่งใดติดมือออกมาสักชิ้นเดียว
“นายท่านรอง” เสิ่นฉางซีเรียกเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหม่อลอยของเกาเทียนฉี
“อ่อ...กลับกันเถิด”
“อืม”
เกาเทียนฉีเดินไปนั่งที่ด้านหน้า บังคับม้าให้ค่อยๆ เดิน มุ่งหน้ากลับสู่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม
เด็กคนหนึ่งรอดพ้นความตายมาได้ราวปาฏิหาริย์ แม้มีชีวิตแบกความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ใบหน้าของนางยังคงประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ
ความทุกข์ใจที่เขามี หากเทียบกับเด็กสาวคนนี้แล้วอาจนับได้ว่าน้อยนิดจริงๆ.
เสิ่นฉางซีตุ๋นรังนกมาเพื่อให้เกาฮ่วนปิ่งและเกาฮูหยินกินเป็นของว่าง ทว่าเมื่อเดินมาถึงประตูห้อง เสียงโต้เถียงที่ดังออกมาด้านนอกทำให้เท้าทั้งสองข้างชะงักไป
“รุ่ยเฉียง ปีนี้เจ้าอายุสิบเจ็ด ซ้ำยังเป็นบุตรชายคนโตของสกุลเกา เจ้าต้องคิดเรื่องแต่งงานได้แล้ว” เสียงเกาฮูหยินทั้งปลอบทั้งข่มขู่ด้วยความระอาใจ
“ท่านแม่ ข้าอยากแต่งงานกับฉางซี”
เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูถึงกับตกตะลึงไปทันที นางตั้งใจจะถอยกลับแต่เท้ากลับไม่ยอมขยับ นางรู้ว่าเการุ่ยเฉียงดีกับนางมากแต่ไม่เคยคิดว่าเขาคิดกับนางเช่นนี้
“เจ้า!” เกาฮูหยินอ้าปากค้าง
“ท่านแม่รังเกียจนางรึ?” เการุ่ยเฉียงถามตามที่ใจคิด
“มิใช่รังเกียจ” เกาฮูหยินเบาเสียงลง “แม่ออกจะเอ็นดูนางเสียด้วยซ้ำ นางมาอาศัยเราอยู่แต่นางก็มิได้อยู่เฉย เป็นแค่เด็กหญิงตัวน้อยแต่กลับขยันขันแข็ง ดูแลข้าดีเสียยิ่งกว่าลูกอย่างเจ้าเสียอีก”
“นางดีถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าแต่งฉางซีเป็นภรรยาไม่ได้”
“ใช่ นางดีทุกอย่าง แต่มีเรื่องเดียวคือนางให้กำเนิดบุตรมิได้ เจ้าเป็นบุตรชายคนโต ต้องมีทายาทสืบสกุล เจ้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ให้กำเนิดทารกได้” เกาฮูหยินยื่นมือไปลูบไหล่ลูกชายอย่างปลอบโยน “เจ้ารักมั่นในฉางซีย่อมเป็นเรื่องดี แต่หน้าที่ของบุตรชายคนโตมิควรละเลย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าแต่งงานกับจูเอ๋ออิ่งเป็นภรรยาเอก แล้วรับฉางซีเป็นภรรยารอง เจ้าก็ไม่ผิดกับบรรพชนและยังได้ดูแลฉางซีไปชั่วชีวิต”
“จะให้ฉางซีเป็นภรรยารอง...นางจะรับได้หรือ?”
ในใจของเการุ่ยเฉียงมีเพียงเสิ่นฉางซี เขาไม่เคยใส่ใจรอยแผลเป็นบนใบหน้าหรือที่นางต้องเดินลากขาข้างขวา หรือแม้แต่ที่นางให้กำเนิดบุตรไม่ได้ เขารักนางและอยากดูแลปกป้องนางไปชั่วชีวิตของเขา
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวลไป แม่จะคุยกับฉางซีเอง ขอเพียงเจ้ารับปากจะแต่งงานกับจูเอ๋ออิ่งก็พอ”
“ข้า...”
เสิ่นฉางซีเรียกสติให้ตัวเองแล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ
‘ภรรยารอง’
หญิงที่ไม่สามารถให้กำเนิดทารกอย่างนาง เป็นได้แค่ภรรยารอง
บางสิ่งที่คิดว่าตนเองทำใจยอมรับได้แล้วนั้น แท้จริงนางยังเจ็บปวดกับความจริงในข้อนี้ นางมิได้คิดอื่นใดกับเการุ่ยเฉียง ที่ผ่านมาเขาดีกับนางมาก เรื่องนี้นางรู้อยู่เต็มอก กระนั้นนางคิดกับเขาเพียงแค่พี่ชาย อยู่อย่างเจียมตัวอยู่เสมอ หญิงที่ทั้งอัปลักษณ์และให้กำเนิดบุตรมิได้อย่างนาง ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ แต่สกุลเกายอมให้นางเป็น ‘ภรรยารอง’ ของเการุ่ยเฉียงนั้นก็นับว่ามากแล้ว
แต่นางไม่ต้องการ
เพลงขลุ่ยหวานเศร้าเรียกสติของเสิ่นฉางซี นางมิรู้เลยว่าตนเองใจลอยเดินถือชามรังนกมาถึงเรือนของเกาเทียนฉี นางหยุดยืนมองบุรุษในชุดเสื้อสีเขียวใบไผ่ยืนเป่าขลุ่ยอยู่ในลานกว้าง ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นปรายตามายังร่างของเด็กสาว เขาจึงหยุดเป่าขลุ่ยแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้นางเข้าไปหา
“นายท่านรอง” เสิ่นฉางซีวางชามรังนกบนโต๊ะหิน “ฉางซีฟังเพลงนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยฟังท่านเป่าจนจบเพลงเสียที”
“ข้าบรรเลงให้เจ้าฟังที่ไหนกัน” เกาเทียนฉียื่นมือมาใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากของเด็กสาวเบาๆ แล้วหลุบตามองชามรังนก “เอามาให้ข้ารึ ไฉนจึงเย็นชืดเช่นนี้เล่า เจ้าเดินข้ามเขาหัวซานมาหรือไร”
ถ้อยคำหยอกล้อของเกาเทียนฉีทำให้เด็กสาวหัวเราะออกมา บุรุษผู้นี้อายุยี่สิบหกแล้วแต่บางครั้งยังทำตัวเหมือนเด็ก
“ฉางซีจะเอาไปอุ่นให้ใหม่เจ้าค่ะ” นางไม่กล้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจยกมาให้เขา แต่เกาเทียนฉีกลับโบกมือไปมาแล้วหยิบรังนกชามนั้นมากินเสียเอง
“ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีขึ้นทุกวัน” เกาเทียนฉีเอ่ยชมจากใจจริง ราวกับไม่แปลกใจที่เห็นรังนกอยู่สองชาม “อีกสองสามวันข้าจะเดินทาง เจ้ามาช่วยข้าจัดเตรียมสัมภาระหน่อยนะ”
“นายท่านรองจะไปหยุนหนานหรือเจ้าคะ”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจกับน้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กสาว “ยังหรอก อีกสองสามเดือนข้าถึงจะไปหยุนหนาน แต่นี่ข้าจะเข้าป่าขึ้นเขาไปหาโสมซานซีเสียหน่อย เจ้าก็รู้เวลาเข้าป่าแต่ละครั้งข้าไปหลายวัน อย่างไรก็ต้องเตรียมสัมภาระให้พร้อม”