วันรุ่งขึ้น...
ฉินอ๋องหลี่อี้พาพระชายาไป๋หยงกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี แต่เพียงแค่ใช้ขันทีมาแจ้งล่วงหน้าให้อำมาตย์ไป๋รู้ก่อนเวลามาถึงจวนแค่หนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) เพราะต้องการดูสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของไป๋หยง จึงสั่งให้สาวใช้จัดชุดที่ไม่หรูหราให้แก่ไป๋หยง แล้วเขายังนำปิ่นทองคำที่ฮองเฮาพระราชทานมาปักบนผมของเด็กหนุ่ม
"ท่านอ๋องขอรับ ข้าน้อยมิใช่สตรี ปักปิ่นระย้าเช่นนี้จะดีหรือขอรับ?" ไป๋หยงถามอย่างสงสัย
"ดีสิ" ฉินอ๋องตอบ ก่อนจะเอื้อมมือดึงหยกม่วงมังกรเหินที่ไป๋หยงห้อยเอวออก "อันนี้ล้ำค่าเกินไปอย่าเพิ่งใช้"
ไป๋หยงสงสัย...ฉินอ๋องให้เขาแต่งกายเรียบๆ ธรรมดาๆ เนื้อผ้าไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร ให้ปักปิ่นที่ดูไม่สูงค่านัก และไม่ให้เขาใช้หยกแขวนเอวล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทาน เพื่ออะไร?
แต่สงสัยส่วนสงสัย...ทว่าเด็กหนุ่มเรียนรู้ว่า อยู่ใกล้คนมากอำนาจอย่างฉินอ๋องต้องสงบปากสงบคำเอาไว้...
ที่จวนอำมาตย์ไป๋หลงนั้นชุมนุมวุ่นวายกันมาก เพราะอยู่ๆ ขันทีของจวนฉินอ๋องก็มาส่งข่าวว่าอีกสักครู่...ฉินอ๋องจะพาพระชายาไป๋หยงกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามประเพณี
ดังนั้น...อำมาตย์ไป๋หลงจึงมีเวลาเตรียมตัวต้อนรับน้อยมาก
พอขบวนกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวของฉินอ๋องกับพระชายามาถึง...อำมาตย์ไป๋หลง ฟูเหรินผู้เฒ่า ฟูเหรินใหญ่ ฟูเหรินรอง บุตรธิดา และบ่าวไพร่ ต่างออกมาคุกเข่าต้อนรับ
"น้อมคารวะฉินอ๋องๆๆ..."
"น้อมคารวะพระชายาๆๆ..."
"ลุกขึ้นได้" ฉินอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"ขอบพระคุณท่านอ๋องขอรับ/ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ" ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียงและลุกขึ้นยืนอย่างสงบเรียบร้อย
ไป๋มู่ตานที่ยืนอยู่ด้านหลังมารดาลอบมองฉินอ๋อง แล้วอดจินตนาการไม่ได้ว่าหลังหน้ากากทองคำนั้นซ่อนดวงหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน!
และพอมองเห็นสภาพการแต่งกายที่แสนจะสามัญธรรมดาของไป๋หยง นางก็คิดในใจว่า...เด็กหนุ่มคงมิได้รับความโปรดปรานเป็นแน่ คงแค่ถูกใช้เป็นที่ระบายความใคร่ที่ไร้ความรัก
ฉินอ๋องเดินนำทุกคนเข้าไปในเรือนใหญ่ และนั่งลงในตำแหน่งประธานซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่ที่สุด แล้วผายมือไปยังตำแหน่งรอง "เชิญท่านอำมาตย์ไป๋นั่ง"
อำมาตย์ไป๋หลงนั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก เขานั่งลงอย่างไม่รอช้า หลังจากเอ่ยคำว่า "ขอบพระคุณท่านอ๋อง"
"ทุกคนนั่งได้"
ทุกคนกล่าวขอบพระคุณแล้วนั่งลง
แต่จากปฏิกิริยาที่ห่างเหินต่อไป๋หยงของฉินอ๋องบวกกับสภาพการแต่งกายที่ไม่หรูหราของเด็กหนุ่ม...ฟูเหรินใหญ่จึงชิงนั่งในตำแหน่งที่สาม ทำให้ไป๋หยงจำต้องนั่งในตำแหน่งถัดไป
เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ จึงไม่ได้ฟังถ้อยคำที่ฉินอ๋องสนทนากับอำมาตย์ไป๋ เพียงได้ยินเสียงหัวเราะของฟูเหรินใหญ่ ตามด้วยถ้อยคำที่ว่า "พระชายาใช้ปิ่นอันนี้ มิดูเล็กน้อยเกินไปหรือ?"
ขณะที่ไป๋หยงไม่รู้ว่าสมควรจะตอบว่าอย่างไรอยู่นั้น...เสียงฉินอ๋องก็ตวาดอย่างดุดันว่า
"บังอาจ!"
ฟูเหรินใหญ่ตกใจจนตาเหลือก ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดตรงไหน
"เจ้าหาว่าข้าไม่มีปัญญาซื้อของดีมีราคาให้พระชายาใช้หรือ?" เสียงฉินอ๋องยิ่งมายิ่งดุดัน
ไป๋หยงลอบมองฉินอ๋องหลี่อี้...เข้าใจแล้วว่าท่านอ๋องจัดละครฉากนี้ขึ้น เพื่อเอาคืนตระกูลไป๋
แต่เอาคืนเรื่องที่ตระกูลไป๋ส่งบุรุษไปเข้าพิธีสมรส หรือเอาคืนเรื่องที่ตระกูลไป๋ไม่ยอมยกคุณหนูไป๋มู่ตานให้?
เพราะท่านอ๋องเสียหน้าที่ถูกตระกูลไป๋เปลี่ยนตัวเจ้าสาวซึ่งเป็นการหมิ่นเกียรติ หรือเพราะชมชอบคุณหนูไป๋มู่ตาน?
ฟูเหรินใหญ่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวรีบคุกเข่าลงกับพื้น ส่ายหน้าปฏิเสธว่า "มิใช่เจ้าค่ะๆ"
"เช่นนั้นเจ้าก็ต้องการจะหมิ่นของพระราชทานจากฮองเฮา!"
ข้อหาหนักหนาสาหัส!!
ทุกคนแม้แต่ฟูเหรินผู้เฒ่าต่างรีบคุกเข่าลง
"ท่านอ๋องโปรดอย่าได้เข้าใจผิด" อำมาตย์ไป๋หลงรีบกล่าวแก้สถานการณ์ "นางเป็นสตรีโง่เขลามิรู้ความ ว่าสิ่งใดสูงค่าสิ่งใดด้อยค่าขอรับ"
ฉินอ๋องไม่แสดงทีท่าว่าอะไร เพียงกล่าวว่า "เรื่องนี้เอาไว้สะสางกันทีหลัง...วันนี้ข้าพาเสี่ยวหยงกลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ไหนละครอบครัวของเจ้าสาว?"
"เอ้อออ...ข้าน้อยจะรีบไปเชิญพวกนางมา" อำมาตย์ไป๋หลงกล่าวยังไม่ทันจบประโยคดี
ฉินอ๋องก็เอ่ยขัดขึ้นว่า "ไม่ต้อง" แล้วหันมากล่าวกับไป๋หยงว่า "เสี่ยวหยง...เจ้านำทางข้าไปที"
"ขอรับ" ไป๋หยงรับคำ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ พาฉินอ๋องออกจากเรือนใหญ่
อำมาตย์ไป๋หลงติดตามมา ก็ถูกฉินอ๋องห้ามว่า "ไม่ต้องตาม"
ไป๋หยงพาฉินอ๋องไปยังเรือนหลังเล็กและทรุดโทรมที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกับท่านย่า มารดา และน้องชาย
ทันทีที่เห็นไป๋หยง...ไป๋หยูก็ดีใจ ร้องเรียก "เกอเกอ (พี่ชาย) ข้าคิดว่าท่านถูกฉินอ๋องสับเป็นหมื่นหมื่นชิ้นไปซะแล้ว"
"ข้าดุร้ายปานนั้นเลยหรือ?" พร้อมกับเสียงกล่าว...ฉินอ๋องก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงแห่งนั้น
นางจางซื่อและนางหลิวซื่อรีบคุกเข่าลง กล่าวพร้อมเพรียง "คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ"
ไป๋หยูเห็นย่าและแม่คุกเข่า ก็คุกเข่าตาม
"ลุกขึ้นและเชิญนั่ง"
"ขอบพระคุณท่านอ๋อง"
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อย...ไป๋หยูจ้องมองฉินอ๋องอย่างแปลกใจและทึ่ง
"ท่านอ๋องท่านคือฉินอ๋องจริงๆ หรือ?" เด็กชายถาม
"ใช่"
"ท่านไม่สับพี่ชายของข้าจริงๆ หรือ?"
"อาหยู" คนเป็นแม่เรียกเสียงปรามๆ
"ไม่เป็นไรท่านแม่ยาย ให้เขาถามเถอะ" ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบง่าย กระแสเสียงไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่ดุดัน ก่อนจะตอบเด็กชายว่า "ไม่สับ"
"แล้วท่านจะเฆี่ยนเขาไหม? ถ้าเขาไม่ทำตามที่ท่านสั่ง"
"ปกติไม่นิยมเฆี่ยนพระชายา แต่จะเฆี่ยนคนอื่นแทน"
"อ้อ...ข้าเข้าใจแล้ว" ไป๋หยูพยักหน้าหงึกๆ "เหมือนอย่างท่านลุง"
"เหมือนอย่างไร?" ฉินอ๋องถาม
"เกอเกอกลัวถูกท่านสับเป็นหมื่นหมื่นชิ้น ไม่ยอมแต่งงานกับท่าน ท่านลุงจึงสั่งให้เฆี่ยนข้าจนกว่าเกอเกอจะยอม" ไป๋หยูตอบ
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น