หลังจากฉินอ๋องหลี่อี้และพระชายาไป๋หยงทำพิธีบูชาป้ายสถิตวิญญาณของบรรพกษัตริย์เสร็จเรียบร้อย เจ้ากรมพิธีการที่ยืนรออยู่หน้าหอบรรพกษัตริย์ ก็เชิญทั้งสองไปยังห้องเอกสารของพระราชวังหลวง แล้วให้อาลักษณ์ลงจารึกชื่อของไป๋หยงลงในบันทึกราชวงศ์ในฐานะพระชายาเอกของฉินอ๋องต่อหน้าสักขีพยาน
แล้วฉินอ๋องก็พาไป๋หยงขึ้นรถม้ากลับจวน...
"พรุ่งนี้...ข้าจะพาเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้าน" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นขณะที่รถม้ากำลังแล่น
ไป๋หยงอึ้ง...ไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวหรือ?
ถึงขั้นตอนนี้ก็แปลว่าพิธีแต่งงานครบถ้วนบริบูรณ์
ทำไม? ฉินอ๋องจึงยอมรับเขาเป็นพระชายาง่ายดายเช่นนี้...จะว่าฉินอ๋องนิยมบุรุษ ก็ไม่น่าจะใช่ ...หรือว่า ฉินอ๋องไม่มีความสามารถทางเพศ...หรือว่า ฉินอ๋องมีร่างกายบกพร่อง...หรือว่า...!? !? !?
"ไป๋หยง!" เสียงฉินอ๋องเรียก ดังจนไป๋หยงสะดุ้ง
"ขะ ขอรับ" เด็กหนุ่มรีบขานรับ
"เจ้าเหม่ออันใด? ข้าเรียกตั้งหลายครั้งจึงรู้สึกตัว ซ้ำสีหน้ายังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่"
"ไม่มีอะไรขอรับ"
"ไม่มีก็ดีแล้ว" ฉินอ๋องกล่าว "อย่าให้ข้าจับได้ว่าเจ้าแอบนินทาข้าในใจเชียวนะ มิเช่นนั้นข้าแล้วจะลงโทษเจ้าให้จงหนัก"
ทำเอาไป๋หยงยิ่งหวาดกลัวกว่าเก่า...ก็ใครๆ ว่าเขาเป็นอ๋องอำมหิตนี่นา!
คืนนั้น...
ขณะที่ไป๋หยงกำลังนวดไหล่ให้ฉินอ๋องอยู่บนเตียงนอน ท่านอ๋องก็เอ่ยขึ้นว่า "เสี่ยวหยง..."
"ขอรับ" ไป๋หยงขานรับ
"เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังซิ"
"ขอรับ" เด็กหนุ่มรับคำ แล้วเล่าว่า "ข้าน้อยเป็นบุตรชายคนโตของน้องชายของท่านอำมาตย์ไป๋หลง แต่บิดาของข้าน้อยเป็นบุตรอนุ ครอบครัวของพวกเราจึงเป็นสายรองขอรับ
หลังจากท่านปู่เสียชีวิต ท่านพ่อก็พาท่านย่าแยกออกจากบ้านใหญ่ของตระกูลไป๋ ไปทำมาค้าขายของตนเอง และแต่งงานกับท่านแม่ของข้าน้อย ข้าน้อยเกิดหลังจากท่านพ่อแยกออกจากบ้านใหญ่ตระกูลไป๋สี่ปี
พอข้าน้อยอายุได้เจ็ดขวบ ท่านพ่อก็ตัดสินใจเดินทางไปค้าขายแดนไกลกับขบวนพ่อค้า โดยไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังตั้งครรภ์น้องเล็กอยู่
ต่อมาอีกหนึ่งปี...พ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายในขบวนเดียวกันกับท่านพ่อ ก็กลับมาเมืองหลวง
เขาบอกข่าวว่า...ขบวนพ่อค้าถูกโจรปล้นฆ่าตายหมด มีเขาเหลือรอดคนเดียว
พอข่าวท่านพ่อถูกโจรฆ่าตายแพร่สะพัดออกไป พ่อค้าที่ค้าขายกับร้านอยู่ ก็มาทวงหนี้ ซึ่งมีทั้งหนี้จริงและหนี้ปลอม เพราะเห็นว่าท่านย่าและท่านแม่ต่างเป็นสตรี ส่วนข้าน้อยก็ยังเด็ก ท่านย่าจึงขอร้องให้ท่านลุงช่วยเหลือ
ท่านลุงจึงมาจัดการเรื่องราวให้ และให้พวกเราเข้ามาอยู่ในตระกูลไป๋อีกครั้ง ส่วนทรัพย์สินของท่านพ่อ ท่านลุงก็ช่วยดูแลให้ขอรับ" ไป๋หยงเล่า
"ทรัพย์สินของบิดาเจ้ามีอะไรบ้าง?" ฉินอ๋องถามเสียงเรียบๆ
"ข้าน้อยไม่แน่ใจขอรับ เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ข้าน้อยกำลังเช็ดถูเรือนใหญ่ ได้ยินท่านแม่จะมาขอเบิกเงินส่วนนี้จากท่านป้าร้อยตำลึงเงิน แต่ท่านป้าไม่ให้ นางบอกว่าทรัพย์สินของท่านพ่อเหลือไม่มากนัก และนางต้องการจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ข้าน้อยเป็นทุนตั้งตัวขอรับ"
"แปลกๆ...เหมือนนางจะหวังดี แต่ฟังดูแล้วไม่น่าจะใช่!" ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ไป๋หยงขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย
"นางไม่หวังดีหรือขอรับ?"
"อืมม์..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงในลำคอ ก่อนจะกล่าวต่อว่า "ปกติ...ทรัพย์สินของสามี ย่อมตกเป็นของภรรยาหม้าย การที่ท่านแม่ยายจำเป็นจะต้องใช้เงิน ก็สมควรคืนให้นาง ไม่ใช่มาอ้างว่าเก็บไว้ให้เจ้าเป็นทุน และท่านแม่ยายกล้าขอเบิกเงินจำนวนนั้น แสดงว่าทรัพย์สินที่ท่านพ่อตาเหลือไว้ต้องมากกว่านั้น"
"ใช่ขอรับ...ได้ยินท่านแม่กล่าวว่า ขอเบิกเพียงส่วนหนึ่งไปใช้ในเรื่องสำคัญขอรับ"
"เรื่องสำคัญหรือ?"
"ขอรับ...ทางบ้านท่านแม่ของข้าน้อยมีท่านลุงคนหนึ่งและท่านน้าคนหนึ่ง พอท่านตาเสียชีวิต ทรัพย์สินทั้งหมดล้วนตกเป็นของท่านลุง ท่านลุงมิได้แบ่งให้ท่านน้า พอท่านน้าจะไปทำงานที่ว่าการอำเภอ จะต้องใช้เงินค้ำประกัน จึงมาปรึกษาท่านแม่ ท่านแม่จึงมาขอเบิกทรัพย์สินที่ท่านป้าทางตระกูลไป๋เก็บรักษาไว้ขอรับ"
"ท่านแม่ยายบอกความจำเป็นนี้ต่อไป๋ฟูเหรินหรือไม่?"
"บอกขอรับ...แต่ท่านป้ากล่าวว่า ท่านแม่แต่งเข้าตระกูลไป๋แล้ว ก็ต้องเป็นคนของตระกูลไป๋ มิใช่คนของตระกูลหลี่อีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปช่วยเหลือท่านน้าที่เป็นคนของตระกูลหลี่ แล้วอีกอย่างทำไมท่านน้าไม่ไปขอเงินจากพี่ชาย?"
"แล้วท่านแม่ยายว่าอย่างไร?"
"ท่านแม่ว่า...ตอนท่านพ่อออกไปสร้างตัว ก็ได้สินเดิมของท่านแม่ในการก่อร่างสร้างตัวด้วย ดังนั้นทรัพย์สินที่เหลือจึงมาจากตระกูลหลี่ส่วนหนึ่ง การใช้ทรัพย์สินในการช่วยเหลือท่านน้านับว่าสมควรอย่างยิ่ง...แต่ท่านป้ากลับแย้งว่า ท่านแม่จะเห็นแก่น้องมากกว่าลูกในไส้หรือ? อีกปีสองปีอาหยงก็จะอายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลานั้นอาหยงก็ต้องใช้เงินทำทุนเพราะบรรลุนิติภาวะ ท่านป้าต้องการเก็บทรัพย์สินไว้ให้ข้าน้อยในตอนนั้นขอรับ"
"เจ้าคิดกับเรื่องนี้อย่างไร?"
"ข้าน้อยคิดว่า...โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ก็อาจจะไม่ได้พบโอกาสเป็นครั้งที่สอง ข้าน้อยก็เห็นด้วยกับท่านแม่ว่าสมควรช่วยเหลือท่านน้าขอรับ"
"ถ้าช่วยไปแล้วเงินสูญล่ะ?"
"เรื่องนี้ข้าน้อยก็เคยกังวลขอรับ...แต่ท่านย่าบอกว่า คนทุกคนมีวาสนาเป็นของตนเอง เรื่องราวในชีวิตไม่ใช่เหตุบังเอิญ ถ้าวาสนาของเราเป็นคนไร้ทรัพย์ จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถร่ำรวยขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากวาสนาของเราเป็นคนมีทรัพย์ ขยันหมั่นเพียรทำงานก็ร่ำรวยขึ้นมาได้ขอรับ"
"แล้วเรื่องนี้สรุปอย่างไร?"
"ท่านป้าไม่ยอมให้ท่านแม่เอาเงินไปช่วยท่านน้าขอรับ"
"อ้อ..."
ฉินอ๋องพยักหน้า แล้วหันมองเด็กหนุ่มซึ่งบัดนี้ไม่ได้นวดไหล่ให้เขาแล้ว แต่นั่งเคียงข้างพิงไหล่ของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"เสี่ยวหยงเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?" เสียงเข้มๆ ถาม
"ข้าน้อยคิดว่า..." เอ่ยถึงตรงนี้ ไป๋หยงก็รู้สึกสะดุดหู หันมองฉินอ๋องแล้วยิ้มเก้อๆ
"อู้งานหรือ?...มานี่ต้องถูกลงโทษ"
ฉินอ๋องจับไป๋หยงมาจั๊กจี้ จนเด็กหนุ่มทั้งหัวเราะทั้งดิ้นร้องขอชีวิต...
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น