เสียงกรีดร้องยาวเหยียดดังระดับร้อยยี่สิบเดซิเบล ทำให้คนที่อยู่บ้านใกล้กันถึงกับสะดุ้งเฮือก คีรินหันไปตามเสียง ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปรัชญาตกใจถึงกับปล่อยช้อนหลุดมือหล่นลงไปในจาน
“ฉิบหายละพี่คี เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาร้องทำไมอ่ะ”
“ไม่รู้ นายไปดูหน่อย คงตกใจที่ตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนละมั้ง” คีรินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ราวกับคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี
“ครับ” ปรัชญาตอบก่อนจะหันไปหาหทัยรัตน์
“เดี๋ยวผมมากินต่อนะครับแม่ อย่าเพิ่งเก็บ” ว่าแล้ววางจานอาหารที่เหลือครึ่งจานไว้บนโต๊ะกลางของโซฟา ก่อนจะรีบเผ่นพรวดกลับไปยังกระท่อมของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เขาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่กับกองผ้านวมแล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด มือก็ทุบหมอนทุบผ้าห่มไปด้วย พอเห็นหน้าเขา เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วใส่แล้วถามเสียงดังลั่น
“นาย ไอ้หน้าวอก นายทำอะไรฉันเมื่อคืนนี้ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายข่มขืนฉันใช่ไหม” ปรัชญาอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานอย่างตกใจกับข้อกล่าวหา เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติตอบ
“บ้า ผมไปทำอะไรคุณ ก็พี่คีให้ผมไปรับคุณมา แล้วกุญแจบ้านก็ไม่มี เขาให้ผมเอาคุณมานอนที่นี่ก่อน”
“ให้มานอนที่นี่แล้วนายให้ฉันนอนข้างเตียงนี่นะ”
“ใช่ ตอนแรกผมก็จะให้คุณนอนบนเตียงนั่นแหละ แต่คุณอ้วกเลอะเทอะไปหมด ผมเลยให้คุณนอนข้างเตียง แล้วผมก็นอนบนเตียง สาบานได้ไม่ได้แตะต้องอะไรคุณเลยแม้แต่นิดเดียว แค่เช็ดอ้วกให้เท่านั้นเอง”
“เช็ดอ้วก!” คนอ้วกนิ่งงันไป “ฉันนี่นะอ้วก” ชี้นิ้วหาตัวเอง
“ใช่ คุณนั่นแหละ อ้วกเลอะเทอะไปหมด อ้วกใส่เสื้อผมด้วย นี่ผมเมตตาที่เห็นว่าเป็นน้องสาวพี่คีหรอกนะ ถึงได้ไม่เอาไปโยนทิ้งหน้าบ้านน่ะ ยังเช็ดอ้วกให้แล้วปล่อยให้นอนในห้องผมเนี่ย ยังจะโวยวายอีก ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้ เอาแต่โวยวายส่งเสียงกรี๊ด ๆ ผมข่มขืนไม่ลงหรอกบอกตรง ๆ เงียบเสียงแล้วกลับไปนอนบ้านคุณได้แล้ว ปวดหัวฉิบ” ปรัชญาว่าอย่างหงุดหงิด
“ฉันไปแน่ ไม่อยู่ห้องซอมซ่อนี่หรอก แล้วนายเอากระเป๋าฉันไปไว้ที่ไหน ถึงเหลือแต่ของกองไว้เนี่ย อย่าบอกนะว่าแอบขโมยกระเป๋าฉันไปขาย”
“ขโมยกระเป๋าคุณไปขาย โอ้ย ประสาทป่ะเนี่ย ใครจะเอากระเป๋าใบกระจิ๋วนั่นไปขาย ไร้สาระ ก็คุณน่ะอ้วกเลอะกระเป๋าไปหมด ผมเลยเอาไปล้างน้ำ แล้วเอาไปแขวนตากแดดไว้ให้ข้างนอกโน่น”
“เอาไปล้างน้ำ แล้วเอาไปตากแดด” เจ้าของกระเป๋าอ้าปากค้าง ตาถลนออกมาทำท่าเหมือนจะช็อค เธอรีบวิ่งออกไปข้างนอก
เห็นสภาพกระเป๋าใบสวยที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนราวแขวนดอกไม้กลางแดดจัดจ้าแล้วถึงกับขาเปลี้ยทรุดนั่งลงกองกับพื้น
“นายเอากระเป๋าฉันไปล้างน้ำ แล้วเอาไปตากแดด กรี๊ดดด!!!”
“เฮ้ย เป็นอะไรไปอีกเนี่ย ก็นั่นไง มันก็แขวนอยู่นั่นก็ไปเอามาสิ มานั่งกรี๊ด ๆ อยู่ทำไมอีก รีบเอาแล้วรีบไปซะ ผมจะเป็นบ้าเพราะคุณมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเนี่ย”
“นายมัน มัน มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย นายรู้มั้ยว่ากระเป๋านั่นมันทำด้วยอะไร ราคาเท่าไหร่” เธอชี้ไปยังกระเป๋าราวกับคนหมดแรง
“ผมไม่อยากรู้หรอกว่ามันจะทำด้วยอะไร ราคาเท่าไหร่ เพราะผมไม่คิดจะซื้อมาใช้ รู้แต่ว่าคุณอ้วกใส่ ขืนปล่อยไว้จนอ้วกมันแห้งเกาะกระเป๋าแล้วจะล้างออกยาก ผมเอาไปล้างให้ด้วยความหวังดี ยังจะมาโวยวายอะไรอีก รีบเอากระเป๋าแล้วกลับบ้านไปเลยไป ผมจะไปกินข้าวต่อ เหนื่อยกับคุณจนสุดทนแล้วเนี่ย”
“แต่นายต้องรู้ นั่นมันกระเป๋าชาเนล ทำด้วยผ้าแคชเมียร์ทวีด บอบบางมาก ต้องดูแลรักษาอย่างดี แล้วนายก็เอาไปล้างน้ำแล้วเอาไปตากแดด ฮือออ กว่าฉันจะซื้อมาได้ฉันต้องรอคอยนานแค่ไหนนายรู้ไหม นานมากกว่ามันจะเข้ามาถึงชอปในไทย และที่สำคัญ ฮือ ฉันต้องสัญญากับพี่ชลว่าถ้าได้ตังค์สามแสนไปซื้อมันมาแล้วฉันจะกลับมาอยู่ที่บ้าน แล้วนายก็ทำมันพัง ฮือออ!!!”
ร่างบางที่นั่งกองอยู่บนพื้นระเบียงหน้ากระท่อมทำท่าราวกับคนแขนขาอ่อนแรง สายตาจับจ้องยังกระเป๋าสีชมพูที่แขวนอยู่เหมือนของไร้ค่า ไม่มีเรี่ยวแรงจะหยัดยืนเพื่อเดินไปหยิบมันมาดู
“สามแสน! กระเป๋าบ้าอะไรตั้งสามแสน” ปรัชญามองกระเป๋าสีชมพูที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เขารู้ว่ามันมีกระเป๋าที่ราคาแพงเช่นนี้อยู่จริง แต่ไม่คิดว่าใบที่แขวนอยู่นั้นจะราคาตั้งสามแสน เพราะคนที่ใช้กระเป๋าในราคาระดับนี้ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นกลุ่มคนไฮโซ ดาราดัง หรือเซเลบริตี้ทั้งหลายที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้
เขาไม่คิดว่าเธอจะไปซื้อของพวกนี้มาใช้ เพราะเท่าที่รู้จากคีรินก็คือ เธอเป็นเพียงพนักงานบริษัทธรรมดาที่อยู่ฝ่ายการตลาด เงินเดือนบวกคอมมิชชั่นเดือนนึงก็แค่ห้าหกหมื่นบาท คีรินถึงพยายามจะเรียกน้องสาวให้กลับมาอยู่บ้านเพราะทำงานไปก็ไม่เคยมีเงินเก็บ ยังต้องรบกวนเงินที่บ้านอยู่ทุกเดือน
“มันต้องยับเยินหมดแล้วแน่ ๆ ฮือ ๆ” เลิกโวยวายกลายเป็นร้องไห้เสียงสะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจแทน จนคนที่ยืนมองอยู่ใจยวบลงนิดนึง
“ของแพงขนาดนั้นมันต้องทนกว่าของราคาถูก ๆ สิ จะพังง่าย ๆ ได้ยังไงใช่มั้ย ใจเย็น ๆ น่า ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวผมไปเอามาให้ดู” เขาว่าแล้วก็เดินไปหยิบ“เนี่ย มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย ดูสิ” เขาว่าพลางยื่นกระเป๋าให้นภาธรยื่นมือสั่นเทาไปรับกระเป๋าแสนรัก เธอสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาราวกับว่าหากรุนแรงกว่านี้มันจะบุบสลายไปกับมือ“ผมก็แค่เอาน้ำฉีด ๆ ตรงที่เปื้อนเท่านั้นเอง แล้วผมก็ไม่มีวิธีไหนที่จะทำความสะอาดกระเป๋าเปื้อนอ้วกให้ดีกว่านี้แล้วด้วย นอกจากเอาน้ำล้าง มันเปียกผมก็เอามาตาก แล้วมันจะอะไรนักหนา” ว่าเสียงหงุดหงิด อีกคนมีท่าทีอ่อนลง เอ่ยเบา ๆ ว่า“นายก็ไม่ต้องเอามาตากแดดก็ได้นี่ มันบอบบางมาก เดี๋ยวสีซีด เอาวางตากลมก็ได้ เดี๋ยวก็แห้งเอง นี่ดีนะ ฮือ ๆ ที่น้องกระเป๋าไม่เป็นอะไรมาก”พูดเสียงอุบอิบ ก่อนจะเอากระเป๋ามากอดแนบอกอย่างถนอม ปรัชญามองแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาเอ่ยว่า“อือ ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หน้าตาดูไม่ได้เลยอย่างกับหมีแพนด้า ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง กลิ่นละมุดหึ่งไปทั้งตัว ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ขี้เมาหยำเป ใครได้ไปเป็นเมียเนี่ยซวยตายเลย ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนั่นแหละ เด
เสียงกรีดร้องยาวเหยียดดังระดับร้อยยี่สิบเดซิเบล ทำให้คนที่อยู่บ้านใกล้กันถึงกับสะดุ้งเฮือก คีรินหันไปตามเสียง ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ปรัชญาตกใจถึงกับปล่อยช้อนหลุดมือหล่นลงไปในจาน“ฉิบหายละพี่คี เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาร้องทำไมอ่ะ”“ไม่รู้ นายไปดูหน่อย คงตกใจที่ตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนละมั้ง” คีรินเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ราวกับคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี“ครับ” ปรัชญาตอบก่อนจะหันไปหาหทัยรัตน์“เดี๋ยวผมมากินต่อนะครับแม่ อย่าเพิ่งเก็บ” ว่าแล้ววางจานอาหารที่เหลือครึ่งจานไว้บนโต๊ะกลางของโซฟา ก่อนจะรีบเผ่นพรวดกลับไปยังกระท่อมของตัวเอง“เกิดอะไรขึ้นคุณ” เขาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่กับกองผ้านวมแล้วส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด มือก็ทุบหมอนทุบผ้าห่มไปด้วย พอเห็นหน้าเขา เธอก็ลุกพรวดขึ้นมาชี้นิ้วใส่แล้วถามเสียงดังลั่น“นาย ไอ้หน้าวอก นายทำอะไรฉันเมื่อคืนนี้ ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายข่มขืนฉันใช่ไหม” ปรัชญาอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานอย่างตกใจกับข้อกล่าวหา เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตั้งสติตอบ“บ้า ผมไปทำอะไรคุณ ก็พี่คีให้ผมไปรับคุณมา แล้วกุญแจบ้านก็ไม่มี เขาให้ผมเอาคุณมานอนที่นี่
ขณะคนที่กำลังถูกพูดถึงขยับตัวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะตบศีรษะตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ยังไม่ลืมตา อาการเมาแฮงค์กำเริบทันทีที่รู้สึกตัว ตามด้วยอาการมึนหัววิงเวียนผะอืดผะอม ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งของพื้นที่นอนอยู่ แต่เธอก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งเมื่อมีแสงสีขาวสาดส่องเข้าตาอย่างกะทันหันมือบางลูบลงบนที่นอนแม้จะปูผ้านวมแต่ก็ไม่ได้นุ่มเหมือนนอนบนฟูกอย่างที่เคยนอน แถมกลิ่นผ้านวมก็เป็นกลิ่นหอมในแบบที่ไม่คุ้นเคย มันไม่ใช่กลิ่นกุหลาบที่เธอชอบใช้ แต่เป็นกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อน ๆหญิงสาวตั้งสติที่ยังมึนงงแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อรอบข้างไม่คุ้นตาสักนิด เธอนอนอยู่ข้างเตียง บนพื้นปูด้วยผ้านวมสีเทา ผ้าห่มลายสก็อตสีน้ำตาลเข้มสลับขาว เธอลุกขึ้นนั่งหันไปทางฝั่งซ้ายมือเป็นเตียงนอนขนาดห้าฟุตซึ่งปูไว้อย่างดี ด้วยผ้านวมสีเทาเข้ม ลักษณะการปูเหมือนกับการปูเตียงแบบโรงแรม บนเตียงเรียบตึงราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน ทุกอย่างในห้องสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งใดเกะกะสายตาฝั่งขวามือเป็นหน้าต่างกระจกที่แสงจากข้างนอกส่องจ้าเข้ามา ผนังส่วนที่ติดกับกระจกเป็นตู้และชั้นวางของทำด้วยไม้เป็นแบบบิลต์อินติดผนัง ทุกอย่าง
๒เช้าอันวุ่นวาย ปรัชญาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก้มมองร่างสวยที่นอนอยู่ข้างเตียง เห็นว่ายังไม่ตื่นจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือซึ่งตอนนี้ก็เจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาต้องรีบออกไปเปิดออฟฟิศเนื่องจากลูกค้าที่นัดไว้จะเข้ามาตอนแปดโมงเช้า เขาแต่งตัวเรียบร้อยก็มองหญิงสาวที่นอนอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจไม่ปลุก เพราะเชื่อว่าหากเธอตื่นขึ้นมา น่าจะมีปัญหาอื่นตามมาอีกมาก และอาจจะทำให้เขาต้องเสียเวลาที่นัดกับลูกค้าไว้“เอากระเป๋าไปตากแดดให้หน่อยละกัน ยังเปียกอยู่เลย” ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินออกไปหน้าบ้านแล้วปิดประตู ก่อนจะนำกระเป๋าใบสวยไปแขวนห้อยไว้กับราวที่แขวนดอกพิททูเนียซึ่งบานสะพรั่งอยู่หน้ากระท่อม“ตรงนี้แหละน่าจะโดนแดดหน่อย” ว่าแล้วก็รีบออกไปจากกระท่อม ผ่านหน้าบ้านของนภดลที่พักกับมารดาก็ไม่เห็นรถของเขาจอดอยู่ จึงรีบเดินผ่านไปยังบ้านของคีริน เขารีบขึ้นไปชั้นบนเปิดประตูออฟฟิศ เปิดแอร์ไว้เรียบร้อยเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่นัดจะเข้ามาเซ็นสัญญากันวันนี้ ก่อนจะชงกาแฟแล้วเดินออกมายืนริมระเบียง ก้มมองลงไปด้านล่าง“พี่คียังไม่มาอีก ไหนบอกว่าจะมาถึงเช้า” เขาพึมพำไปพลางด
“จริงเหรอนิภา ฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วเหมือนกัน เพิ่งมาถึงวันนี้นี่แหละ แต่ยังไม่ได้ขนของมา คงต้องใช้เวลาอีกสักเดือนแหละถึงจะลงตัว อ้อ เมื่อกี้ฉันเจอพี่สาวเธอด้วยนะ เขาก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนกันเหรอ” นภาธรอดไม่ได้ที่จะถามถึงหญิงสาวที่ทักทายเธอตอนเข้ามาในงาน“อ้อ พี่นิสาน่ะเหรอ เขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เขาชอบชีวิตในเมืองน่ะ” อรุณนิภาตอบ ใบหน้าไม่ได้ยินดียินร้ายที่ได้พูดเรื่องพี่สาวนัก“งั้นเหรอ แต่เขาดูสวยมากเลยนะ ต่างจากที่ฉันเคยเห็นตอนเด็ก จนแทบจำไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่เหรอนิภา ตอนนั้นเห็นว่าเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ใช่ป่ะ” นภาธรถามพลางสังเกตว่าเพื่อนดูอ่อนหวานเรียบร้อย แตกต่างจากพี่สาวที่ดูทันสมัยเป็นสาวสังคม ราวกับไม่ได้เป็นพี่น้องกัน“ใช่ ฉันน่ะเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ตอนเรียนจบก็ทำงานสายที่เรียนมาอยู่พักนึงแต่ชีวิตพลิกผันบริษัทปิดกิจการ สมัครงานสายที่เรียนมาอยู่สองสามเดือนแต่ไม่ได้งาน เลยลองไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตระหว่างรองานใหม่ กลับได้งานเฉยเลย พอได้งานก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ย้ายไปทำงานอื่นเลยมาสามปีแล้ว แต่ตอนนี้พ่ออายุมากแล้ว อยู่คนเดียวด้วย เลยคิด
ปรัชญามองรถของตัวเองที่นภดลขับออกไป ก่อนจะขึ้นรถของหญิงสาวคู่อริที่ไม่รู้ว่าเคยเป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาติปางไหน ที่เจอกันทีไรก็ต้องเขม่นใส่กันทุกที แถมวันนี้ก็ไม่รู้เป็นดวงซวยอะไรของเขาที่ต้องมารับเธอกลับชายหนุ่มขับรถมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ของคีรินที่ใช้ชั้นล่างเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของบ้านและใช้ชั้นบนเป็นออฟฟิศรับงานด้านออกแบบอาคารและระบบพลังงานทดแทน โดยมีบันไดวนซึ่งอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของตัวบ้านขึ้นไปยังออฟฟิศทางฝั่งปีกซ้ายของบ้าน ส่วนฝั่งปีกขวาชั้นบนเป็นส่วนห้องรับรองแขก ซึ่งเขาเคยใช้พื้นที่ตรงนั้นอาศัยก่อนที่จะไปสร้างกระท่อมหลังน้อยแยกไปอยู่ต่างหาก หลังจากที่เจ้าของบ้านแต่งงานไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน“คุณ ๆ ถึงบ้านแล้ว” เขาเขย่าร่างบางที่หลับคอพับคออ่อนอยู่ข้าง ๆ แต่สาวเจ้าเหมือนจะไม่รู้สึกตัว“คุณ ๆ กุญแจบ้านล่ะ มีหรือเปล่า” เขาถาม เพราะคิดว่าเธอน่าจะมีกุญแจบ้านพี่ชายเก็บไว้บ้าง ถึงได้บอกให้เขาไปรับกลับ เพราะกุญแจที่เขาเคยใช้ก็คืนให้กับคีรินไปแล้ว มีเพียงกุญแจในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นที่คีรินให้เขาเก็บไว้“กุญแจอะรายยย ม่ายยยมี จะนอนนน” ทำเสียงหงุดหงิดพลางปัดมือเขาที่กำลังเขย่าแขนปลุกให้