นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะตักน้ำ แต่แล้วเสียงไอที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็เรียกสติของนางให้กลับมา ซินหลินรีบตักน้ำจนเต็มถัง ก่อนจะเร่งเดินกลับไปในครัวเพื่อเตรียมต้มน้ำ
หลี่เซิงไอจนใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากเพราะไม่ได้รับอาหารและน้ำมาหลายวัน เขาได้ยินเสียงของนางที่พูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ยังเป็นเช่นเดิม... เป็นนางที่ไม่เคยรักและใส่ใจเขา เป็นหญิงสาวที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ... ซินหลินนำถังน้ำกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะวางไว้หน้าเตาถ่านที่ยังมีไม้แห้งเหลือพอให้ใช้จุดไฟ นางพยายามจุดไฟอย่างชำนาญ แม้ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางจะไม่เคยลำบากถึงเพียงนี้ แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอเกินกว่าจะเรียนรู้การทำอาหาร หรือจุดไฟเองได้ เมื่อก่อน ตอนที่ฝึกงาน นางเคยต้องขึ้นเขาไปอยู่ในหมู่บ้านที่ยากจน เพื่อฝึกงานเป็นเวลาหลายเดือน วันเวลาเหล่านั้นทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่มีสอนในห้องเรียน นางรู้สึกขอบคุณประสบการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้นางสามารถเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ได้ เมื่อน้ำเดือด นางตักน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง “ข้าเอาน้ำมาให้ท่าน ท่านคงไม่ว่าอะไรหากข้าจะดูแลท่านบ้าง” นางพูดพร้อมกับวางถ้วยน้ำไว้ข้างตัวเขา หลี่เซิงมองดูน้ำร้อนที่วางอยู่ตรงหน้า ความกระหายที่กดเก็บไว้ก็แล่นขึ้นมาในทันที เขาละทิฐิที่เคยมีต่อนาง แล้วหยิบถ้วยน้ำขึ้นดื่มจนหมด รู้สึกชุ่มคอขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่หายกระหายเสียทีเดียว ซินหลินมองสามีที่นางได้มาโดยไม่คาดคิดดื่มน้ำจนหมดถ้วย ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านยังต้องการน้ำอีกหรือไม่” หลี่เซิงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หันหน้าไปมองออกนอกหน้าต่าง ซินหลินเห็นท่าทางของเขาแล้วก็พอจะเข้าใจว่าเขายังต้องการน้ำ นางยืนอยู่ใกล้กับชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของตน จึงถือโอกาสสำรวจเขาอย่างละเอียด ชายผู้นี้มีเค้าโครงหน้าที่ดูดี คิ้วเข้มโดดเด่น ดวงตาคมดุดัน และร่างกายสูงใหญ่ แต่บัดนี้ ใบหน้าของเขาซูบผอมแทบติดกระดูก ไม่รู้ว่าเขาอดอาหารมานานเพียงใด… ‘แต่ก็นับว่ายังดี สามีที่ข้าเพิ่งได้มา ดูจะเป็นชายรูปงามและน่าจะฉลาดไม่น้อย’ นางคิดในใจ หลี่เซิงรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมอง จึงหันกลับไปมองนาง และบังเอิญสบตากันพอดี เขาไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่สายตาของนางดูเปลี่ยนไปจากเดิม รูปร่างหน้าตานางก็ยังเป็นภรรยาของเขา ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับแตกต่างออกไป… ซินหลินตกใจกับสายตาที่เขาจ้องมองมา นางรีบหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วกล่าว “ข้าจะไปเอาน้ำมาให้ท่านเพิ่ม” จากนั้นจึงหลบสายตาเขา แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง ‘เขาจะรู้หรือไม่ว่าข้าไม่ใช่หยางฉิงคนเดิม’ นางคิดอย่างกังวลอยู่ในใจ ตอนที่สบตากับเขา ดูเหมือนว่าเขากำลังสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไป นางเลิกคิดฟุ้งซ่าน แล้วตักน้ำที่เหลืออยู่ในหม้อออกมา ขณะเดินออกจากห้องครัว สายตาก็เหลือบไปเห็นถังไม้ขนาดไม่ใหญ่มากที่ถูกทิ้งไว้ นางจึงหาผ้าที่พอใช้ได้และนำน้ำอุ่นเข้าไปในห้องของหลี่เซิง พร้อมกับน้ำดื่ม หลี่เซิงเห็นนางเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง คิ้วของเขาเลิกขึ้นข้างหนึ่งด้วยความแปลกใจ ในมือนางมีถังน้ำติดมาด้วย นางจะทำอะไรกัน? “เจ้าเอาถังน้ำเข้ามาทำไม?” “ข้าอยากจะเช็ดตัวให้ท่าน และจะเอาเสื้อผ้าของท่านไปซัก” นางตอบตามตรง ที่นี่ไม่มีทั้งสบู่และครีมอาบน้ำ นางจึงต้องให้เขาใช้น้ำเปล่าเช็ดตัวไปก่อน “ไม่ต้อง! ข้าทำเองได้ แค่วางถังน้ำไว้ก็พอ” เขาปฏิเสธทันที ไม่อยากให้นางแตะต้องตัวเขา นางเห็นว่ามือของเขายังใช้การได้ดี แต่ขาของเขาดูจะบาดเจ็บหนัก ผ้าที่ใช้พันแผลไว้เริ่มส่งกลิ่นเหม็นและมีคราบเลือดติดอยู่ หากมีอุปกรณ์ทำแผลก็คงจะดี นางอยากช่วยรักษาเขา เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ เขาอาจต้องตัดขาทิ้งก็เป็นได้… “ข้าวางน้ำไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ท่านมีชุดเปลี่ยนหรือไม่?” หลี่เซิงไม่ได้ตอบ แต่เหลือบสายตาไปทางถุงผ้าที่วางอยู่ปลายเตียงแทนคำตอบ ซินหลินมองตามไป ก็พบว่ามีห่อผ้าวางอยู่ตรงนั้น นางเดินเข้าไปหยิบห่อผ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นขึ้นมาเปิดดู พบเสื้อผ้าสีพื้นเรียบง่าย แม้จะดูเก่าแต่ยังใช้งานได้ นางเลือกเสื้อตัวยาวสีน้ำตาล กางเกงสีน้ำตาล และผ้ามัดเอวออกมาวางไว้ใกล้ตัวเขา นางสังเกตว่าชุดที่เขามีอยู่มีเพียงสองชุด รวมกับชุดที่เขาสวมอยู่ก็เป็นเพียงสามชุดเท่านั้น เมื่อล้างตัวเสร็จ นางจะนำเสื้อผ้าเหล่านี้ไปซักทั้งหมด “ถ้าท่านเช็ดตัวเสร็จแล้ว ก็วางเสื้อผ้าไว้ข้างตัว เดี๋ยวข้าจะเข้ามาเก็บ พร้อมกับเสื้อผ้าที่ท่านใช้แล้ว… อ้อ ข้าอยากดูแผลที่ขาของท่านด้วย” นางรีบบอกเหตุผลก่อนที่เขาจะปฏิเสธ “พอดีข้าเจอท่านหมอหลี่เทา เขาฝากให้ข้าเปิดดูแผลของท่าน และนำอาการไปบอกเขาอีกครั้ง” หลี่เซิงได้ฟังแล้วก็เงียบไป ไม่ได้ปฏิเสธ นางสังเกตได้ว่าเขารู้จักหมอประจำหมู่บ้านผู้นี้ดี และดูเหมือนจะเชื่อใจเขา “เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะเช็ดตัวแล้ว” เขาพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางหน้าต่าง ซ่อนสีแดงเรื่อบนใบหน้าเอาไว้ ‘ชิ หยิ่งเสียจริง กลัวข้าจะเห็นร่างกายของเขาหรืออย่างไร? ข้าเห็นร่างกายของผู้คนมามากแล้ว’ นางบ่นเขาอยู่ในใจ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ปล่อยให้เขาเช็ดตัวเอง เมื่อออกมาจากห้อง นางกวาดตามองสำรวจรอบ ๆ บ้าน พบว่าบ้านหลังนี้มีสองห้องนอน มีครัวและโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่ด้านนอก หากห้องเมื่อครู่เป็นห้องของสามี ห้องที่อยู่ข้างกันก็น่าจะเป็นห้องของเจ้าของร่างนี้ นางเดินเข้าไปในห้องที่เหลือ พบว่าห้องนี้สะอาดกว่าด้านนอกมาก เตียงนอนก็ดูใหญ่กว่าเตียงของสามีเสียอีก ทุกอย่างภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพู และมีตู้ไม้อยู่หนึ่งหลัง เป็นตู้ไม้เก่าขนาดไม่ใหญ่มาก มีสีน้ำตาลที่ดูหมองไปตามกาลเวลา“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”หยางฉิงได้สติกลับมา “ไม่มีอะไรหรอก” นางไม่อยากบอกความในใจให้เขาไม่สบายใจในเมื่อนางไม่พูด เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อ ยิ่งคุยเรื่องนี้ในโรงเตี๊ยม ยิ่งเสี่ยงอันตราย“ถ้าเจ้าไม่กินแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า”หยางฉิงพยักหน้า นางเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว นางกินอาหารที่นี่ไม่ลงจริง ๆหลี่เซิงจ่ายเงินค่าอาหาร แล้วสั่งให้ทางโรงเตี๊ยมห่ออาหารทุกอย่างบนโต๊ะกลับไป แม้เขาจะกินไม่ได้ แต่ที่บ้านยังมีสัตว์ที่กินได้ก่อนออกจากเมือง หยางฉิงบอกให้หลี่เซิงหยุดรถแวะซื้อบ๊วยสดกับเกลือ นางซื้อมาค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้บอกว่าเอาไปทำอะไร เมื่อซื้อเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางกลับบ้าน...“หยางฉิง เจ้าหิวมากหรือไม่? เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือ?” หลี่เซิงเอ่ยถามด้วยความกังวล กลัวว่านางจะหิวก่อนถึงบ้าน“ถ้าอย่างนั้น ท่านหยุดรถแอบไว้สักครู่เถอะ ข้าจะเข้าไปในมิติเพื่อทำก๋วยเตี๋ยวให้ท่านกิน ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่”หลี่เซิงพยักหน้า หาที่ปลอดภัยแล้วหยุดรถ รอให้นางเข้าไปในมิติ ไม่นานนัก นางก็ออกมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวกลิ่นหอมกรุ่น แค่ได้กลิ่นก็ทำให้เขาน้ำลายสอ“ดีที่ในตู้เย็นมีก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี จึง
แต่หากเลือกได้ นางยังคงชอบบ้านที่อยู่ในสวนมากกว่า นางไม่ค่อยถูกใจกับการใช้ชีวิตในเมือง แม้ว่ามันจะสะดวกสบายกว่าก็ตามนางจึงหันไปถามความเห็นของหลี่เซิง หากเขาชอบอยู่ในเมือง นางก็จะอยู่กับเขา“หลี่เซิง ท่านคิดว่าที่นี่ดีหรือไม่?” นางถามพลางลอบสังเกตสีหน้าเขาหลี่เซิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าชอบบ้านสวนของเรามากกว่า ถึงที่นี่จะเจริญก็จริง แต่ข้ารู้สึกว่ามันวุ่นวาย ไม่สงบร่มเย็นเหมือนบ้านของเรา”‘เขาคิดเหมือนข้า’ นางพึมพำในใจโลกก่อนที่นางจากมา นางเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย บางที การมีชีวิตอยู่ถึงสองชาติอาจทำให้นางโหยหาความสงบก็เป็นได้...นางหันไปยิ้มให้เขา “ข้าก็ชอบบ้านสวนของเราเช่นกัน เอาไว้ถ้าพวกเราเก็บเงินได้ ค่อยสร้างบ้านหลังใหม่ดีหรือไม่? สร้างเผื่อลูกน้อยของเราด้วยเลย”แล้วนางก็เอียงคอถามเขา “ท่านอยากมีลูกกี่คน?”หลี่เซิงเดินไปจับมือนาง มองด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้าอยากมีกี่คนก็ได้ทั้งนั้น ข้าไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ถ้าเจ้าอยากมีสักห้าคน ข้าก็ยินดี”เขายิ้มเจ้าเล่ห์ หยอกล้อนางหยางฉิงฟังแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ นางตีแขนเขาเบา ๆ “ท่านเห็นข้าเป็นแม่วัวหรืออย่างไร
หลี่เซิงจึงพูดขึ้นมา “ทำสัญญาวันนี้เลยก็ดี เราจะได้เริ่มปรับปรุงร้านได้เร็วขึ้น ร้านนี้เจ้าเป็นคนซื้อ เป็นชื่อเจ้าถูกต้องแล้ว ภรรยา” เขาพูดพร้อมกับลูบอกตัวเองเบา ๆหยางฉิงยิ้มมุมปาก ‘เขานี่ช่างเอาตัวรอดเก่งซะจริง’“เรื่องย้ายโฉนดที่ดิน ข้าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง?” นางเลิกสนใจหลี่เซิง แล้วหันไปพูดกับนายหน้าขายที่ดินแทน“ท่านเพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มอีกห้าตำลึงทองเพื่อดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เดี๋ยวข้าจะจัดการย้ายชื่อให้ พวกท่านสามารถไปจ่ายเงินที่สำนักทะเบียนที่ดินได้เลย” เขาอธิบายอย่างละเอียด วันนี้เขาช่างโชคดีที่ได้พบเจอคนซื้อง่ายหลี่เซิงยิ้ม ก่อนจะเดินไปหานายหน้าพร้อมยื่นถุงเงินให้ “ข้าขอฝากเรื่องนี้กับท่านด้วย”เงินห้าตำลึงเงินถูกส่งไป นายหน้ารับถุงเงินมา เขย่าดูเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ ‘เงินไม่น้อยเลย’ เขานึกในใจ แล้วตอบกลับไปด้วยอารมณ์ดี “ข้าจะรีบไปดำเนินการออกโฉนดให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”จากนั้น ทั้งสามคนก็นั่งรถเกวียนวัวกลับไปยังสำนักทะเบียนที่ดินอีกครั้ง หยางฉิงเข้าไปดำเนินการจ่ายเงิน ไม่นานก็ได้รับโฉนดที่ดินของร้านค้า ซึ่งเป็นชื่อของนางเรียบร้อยแล้วโฉนดนี้มีสองฉบับ ฉบับจริงอยู่กั
หยางฉิงพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปลอบโยนจากหลี่เซิงไม่นานก็ถึงคิวของพวกเขา ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน พบว่ามีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้ช่วย ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้า สังเกตได้จากการแต่งตัวที่แตกต่างกันเจ้าหน้าที่เหลือบมองทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามโดยไม่รีรอ“พวกเจ้าต้องการเช่าหรือซื้อ?”หลี่เซิงเป็นคนตอบ “ข้ามาซื้อร้านค้าขอรับ”เจ้าหน้าที่มองพวกเขาเต็มตาขึ้น ก่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยอีกคน“ในเมืองยังมีร้านค้าว่างอยู่หลายแห่ง พวกเจ้าต้องการให้นายหน้าพาไปดู หรือจะดูแค่โฉนดที่ดิน? แต่หากต้องการให้พาไปดู เจ้าต้องจ่ายสามตำลึงทอง”หยางฉิงคิดว่าการได้เห็นหน้าร้านจริง ๆ น่าจะดีกว่า นางจึงบอกให้หลี่เซิงจ่ายเงินห้าตำลึงทองหลี่เซิงที่เตรียมเงินไว้แล้ว จึงทำตามที่นางต้องการ“ข้าน้อยอยากไปดูหน้าร้านขอรับ” เขายื่นถุงเงินสองถุงออกไป “เป็นค่านายหน้าและค่ารบกวนเวลาของนายท่านขอรับ”เจ้าหน้าที่รับถุงเงินมา ก่อนแบ่งอีกหนึ่งถุงให้ผู้ช่วยนำไปจ่ายค่านายหน้า จากนั้นจึงหันมาพูดกับทั้งสองด้วยท่าทีเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย“พวกเจ้าออกไปรอหน้าห้อง จะมีเจ้าหน้าที่พาไปดูร้านค้า” พูดจบก็โบกมือไล่พวกเขา
นางเดินนำทุกคนไปด้านหลังบ้านดีที่ก่อนหน้านี้นางเก็บเจ้าตัวแสบทั้งหลายเข้าไปในมิติแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหลี่จงเดินตามแนวลำธารมายังสวนหลังบ้านของหลี่เซิง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตาโตด้วยความตกตะลึงเขาไม่คิดเลยว่าด้านหลังบ้านของหลี่เซิงจะเขียวชอุ่มขนาดนี้!“ดินที่บ้านเจ้าคงดีมากจริง ๆ ถึงได้ปลูกผักผลไม้ได้งอกงามขนาดนี้” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไปหลี่อี้เหลือบมองต้นมะพร้าวที่ขึ้นเป็นแถวสูงเพียงไม่มากนัก‘ต้นมะพร้าวที่ข้าให้นาง สูงแค่นี้เองหรือ?’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพวกมันขึ้นจริง ๆหลี่เซิงมองเพื่อนของเขาพลางยิ้มขำ คงจะตกใจไม่น้อย“นี่คือต้นมะพร้าวที่ข้าได้มาจากเจ้า ข้าได้นำมันมาขยายพันธุ์จนเติบโตหมดแล้ว” เขาอธิบายให้ทั้งสองคนฟังหยางฉิงจึงเสริมขึ้น “ที่พวกท่านเห็นอยู่ตรงนี้เป็นผักและผลไม้ที่เจริญเติบโตได้เร็วเมื่ออยู่ในดินที่ดี ข้าปลูกข้าวไม่เป็น จึงเลือกปลูกแต่พืชผักผลไม้ที่ให้ผลตลอดปี อีกทั้งที่บ้านของข้า ดินก็ดีและมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้สามารถปลูกพวกมันให้มีรสชาติอร่อยได้ แต่ก็ใช่ว่าใครจะปลูกขึ้นง่าย ๆ ทุกอย่างต้องอาศัยการดูแลหลายอย่าง”นางหันไปมองหลี่อี้กับลุงผู้ใหญ
หยางฉิงเหลือบมองหลี่เซิง ก่อนจะหันกลับมาสบตาผู้ใหญ่บ้าน นางพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าชาวบ้านจะให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนออกหน้ามาเจรจาแทน“แล้วพวกเขาต้องการสิ่งใดหรือ?” นางเอ่ยถามพลางเอียงคอเล็กน้อย “ผลไม้ที่ข้าปลูกมีมากมายนัก พวกเขาสนใจอยากปลูกชนิดไหน? หรือว่าอยากปลูกทั้งหมด?”หลี่จงกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหยางฉิงในตอนนี้ช่างน่าเกรงขามนัก...“เอ่อ...พวกชาวบ้านอยากได้วิธีปลูกต้นมะพร้าวของเจ้า และอยากขอพันธุ์ต้นมะพร้าวคนละหนึ่งลูก" เขากล่าวเสียงเบา "แต่ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร...”หลี่เซิงฟังแล้วถึงกับอดทนไม่ไหว เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“เหตุใดชาวบ้านพวกนั้นถึงได้เห็นแก่ตัวเช่นนี้? พวกข้าต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากกว่าจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ แล้วพวกเขายังอยากให้ข้าช่วยถึงเพียงนี้อีก? ข้าคงให้ไม่ได้!” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านในวันนี้ทำให้เขารู้สึกขัดหูนักหยางฉิงเอื้อมมือไปแตะแขนหลี่เซิงเบา ๆ เมื่อหลี่เซิงหันมามอง นางก็ส่ายหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร“ข้ารู้ว่าท่านลุงผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ได้เต็มใจมาหาข้าเท่าไรนัก หากไม่ใช่เ