นางเปิดตู้ไม้ออกดู พบว่าด้านในมีกล่องสองถึงสามกล่องเรียงกันอยู่ ด้านบนกล่องยังมีเสื้อผ้าหลากสีเนื้อดีพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนมีสีสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพูบานเย็น หรือสีส้ม ล้วนเป็นสีที่สะดุดตาทั้งสิ้น แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็เป็นสีแดงไม่ต่างจากตัวที่อยู่ในตู้ แต่ส่วนตัวแล้ว นางชอบเสื้อผ้าสีอ่อนมากกว่า
นางเปิดกล่องที่มีขนาดเท่ากันสองกล่อง พบว่ามีผ้าสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน และผ้าสีขาวอีกหนึ่งผืน เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นางหยิบผ้าสีขาวออกมา แล้วเก็บผ้าสีอื่นกลับเข้าที่ตามเดิม ผ้าเหล่านี้ดูดีเกินกว่าที่จะสวมใส่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มันเหมาะกับการใส่เวลาเข้าเมืองมากกว่า นางเปิดกล่องอีกใบที่ดูเก่ากว่า ภายในเป็นเสื้อผ้าสีน้ำตาลเนื้อหยาบกว่าชุดอื่น เป็นผ้าป่านที่เหมาะกับการสวมใส่ทำงานโดยเฉพาะ เป็นชุดคลุมแขนยาวตัวยาว พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลที่พับไว้อย่างดี นางเลือกหยิบออกมาสองชุด เมื่อล้วงลึกเข้าไปด้านในของตู้เสื้อผ้า นางพบกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อนางเปิดมันออกดูก็พบว่า ภายในมีก้อนเงินรวมทั้งหมดสองตำลึงเงินกับห้าก้วน อย่างน้อยก็ยังมีเงินติดตัวบ้าง นางจะได้ซื้อเนื้อสดมาทำอาหาร นางเก็บของทุกอย่างที่ไม่ได้ใช้กลับเข้าตู้ตามเดิม เมื่อหมดความสนใจกับตู้เสื้อผ้า นางจึงเดินไปที่เตียง เตียงนี้มีเตาติดตั้งอยู่ด้านล่าง ปูทับด้วยผ้าหลายชั้น และชั้นบนสุดเป็นสีชมพู บนเตียงยังมีกระจกรูปทรงกลมขนาดเล็กวางอยู่ ‘ตั้งแต่นางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นหน้าตาของเจ้าของร่างเลย’ นางเดินไปหยิบกระจกขึ้นมา แล้วส่องมองใบหน้าของตนเอง… ซินหลินส่องกระจกแล้วต้องตกใจ เพราะใบหน้าที่มองเห็นในกระจกนั้นมีใบหน้าขาวกระจ่าง แก้มสีแดงที่ทาเป็นวงกลมตรงแก้มทั้งสองข้าง ส่วนปากของนางก็ยังทาสีแดงอีกด้วย! หยางฉิงคนเก่าคงจะแต่งหน้าไม่เป็นแน่ นางรับไม่ได้กับหน้าตาของตนเอง ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนที่เดินเข้าไปหาหลี่เซิงเขาจึงมองหน้าด้วยแววตารังเกียจ นางไม่สามารถยอมรับสภาพของใบหน้าตนเองได้ จึงเดินออกจากห้องไปยังห้องครัวเพื่อล้างหน้า หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว นางก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ใช้ผ้าในห้องนอนเช็ดหน้าที่เปียกให้แห้ง ส่องกระจกดูอีกครั้ง นางก็ต้องทึ่งกับใบหน้าที่มองเห็นอยู่ในกระจก เพราะหน้าตาของนางสวย สวยกว่าตัวนางเมื่อก่อนเสียอีก ตากลมโตหวาน ปากจิ้มลิ้มสีชมพู รับกับแก้มป่อง ๆ ดูน่ารัก หยางฉิงคนเก่าช่างแต่งหน้าปกปิดความงามเสียได้ นางไม่ต้องแต่งแต้มอะไรก็งามล้มเมืองอยู่แล้ว... แต่การสวยเกินไปในยุคนี้ก็คงไม่ดี? นางสังเกตรูปร่างหน้าตาของตนเอง ก็พบว่าร่างนี้ก็ถือเป็นของดีเหมือนกัน เสียอย่างเดียวชีวิตของนางจนมากไปหน่อย แม้ว่าจะมีความสวย แต่ถ้าปราศจากข้าวกินและเงินใช้ก็คงไม่มีประโยชน์ ในเมื่อนางทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้แล้ว น่าจะมีของช่วยเหลือติดตัวมาบ้าง แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย นางตัดพ้อโชคชะตาของตนเอง อย่างน้อยถ้ามีอุปกรณ์ทำแผลก็คงจะดี จะได้ช่วยรักษาแผลให้หลี่เซิงได้ ถ้าใช้ยาในยุคนี้ เขาก็คงไม่มีวันหายดี ช่วงเวลาที่ซินหลินถอดถอนหายใจ ก็ทำให้นางนึกถึงของใช้ในคอนโดที่อยู่ในโลกเดิม มีของทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กายภาพ ที่นอน อาหาร ยา และอุปกรณ์ทำแผลต่าง ๆ นางคิดถึงจนทำให้น้ำตาไหลซึมออกมาจากหางตา นางหลับตาลงเพื่อทำใจให้เย็นลง เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวนางมาอยู่ในห้องนอนในคอนโดที่เคยพักอยู่ ‘ทำไมข้าถึงมาโผล่ที่นี่ได้?’ ห้องนอนของนางนั้นเป็นห้องนอนแบบง่าย ๆ ห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา สีห้องทาเป็นสีขาวเข้ากันกับผ้าปูที่นอน ซินหลินเปิดประตูห้องนอนออกไปดู ก็พบกับอุปกรณ์กายภาพบำบัดที่ใช้ดูแลผู้ป่วย วางอยู่ตามชั้นต่าง ๆ ที่นางใช้ศึกษาเรียนรู้ เดินไปอีกฝั่งด้านขวามือก็เห็นประตู เปิดออกไปก็เป็นห้องครัว มีอุปกรณ์การทำอาหารทุกอย่างอยู่ในนั้น รวมถึงอาหารและของกินมากมายในตู้เย็น นางอยากเอาไข่และเนื้อหมูที่อยู่ในตู้เย็นออกมาทำอาหารให้หลี่เซิงกิน นึกถึงบ้านที่หลี่เซิงอยู่นั้น ร่างของนางก็กลับออกมาอยู่ข้างนอกในห้องนอนของหลี่เซิงโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ในมือของนางยังคงถือไข่ไก่และเนื้อหมูอยู่ นี่คือของวิเศษติดตัวนางมาใช่ไหม? ถ้ามีของพวกนี้ก็ไม่ต้องอดตายแล้ว นางคิดถึงอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ในคอนโด ซินหลินเริ่มทดลองหายตัวกลับไปที่คอนโด และนางก็กลับมาอยู่ในห้องของคอนโดอีกครั้ง นางรู้สึกดีอย่างมาก ทำให้ความเศร้าใจที่เกิดขึ้นเบาบางลง ซินหลินเดินไปที่ชั้นที่มีอุปกรณ์ทำแผลและยาหลากหลายชนิด นางเลือกหยิบเอายาที่จำเป็นออกมา ได้แก่ ยาแก้ปวด, ยาแก้อักเสบ และยากินฆ่าเชื้อ นางคิดว่าแผลตรงขาของหลี่เซิงควรได้รับการฆ่าเชื้อด้วยยาก่อนและหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลพร้อมทั้งผ้าพันแผลที่ฆ่าเชื้อแล้ว เมื่อคิดว่านางอยากออกไป ร่างกายของนางก็หายออกมาอยู่ที่เดิม ตอนนี้ซินหลินเดินกลับเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง “ท่านเช็ดตัวเสร็จหรือยัง?” ซินหลินถามเขาที่หน้าห้อง “เสร็จแล้ว” หลี่เซิงตอบกลับมานางออกไปไม่ดังมากนัก นางได้ยินเสียงตอบกลับมา จึงเปิดประตูห้องเข้าไป สายตามองเห็นว่าร่างกายของเขาดูสะอาดขึ้นเล็กน้อย แต่ผมของเขายาวและมันมาก ‘ข้าอยากจับเขาสระผมเสียจริง’ แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเขาคงไม่ยอม ซินหลินเดินเข้าไปเก็บกระถางใส่น้ำและผ้าออกมา “ท่านอยากไปถ่ายหนักหรือถ่ายเบาไหม?” นางไม่รู้ว่าเวลาเขาถ่ายหนักเบาต้องทำอย่างไร หลี่เซิงได้ยินที่หยางฉิงถาม เขาก็มองนาง เหมือนนางจำไม่ได้ว่าเขาต้องใช้ของอะไรในการดูแลตัวเองบ้าง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าวางถังไม้ไว้ให้ข้าในห้อง?” แต่ก็ยังดีที่นางยกถังไม้เอาออกไปทิ้งให้เขาทุกวัน ถ้าไม่เช่นนั้นในห้องนี้คงเหม็นไปหมดวันหนึ่ง นางเดินทอดน่องชมร้านดอกไม้ มีเพียงบ่าวรับใช้หนึ่งคนติดตามมาด้วย ขณะกำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้ตรงหน้า นางก็เดินชนใครบางคนเข้าอย่างจังสายตาทั้งคู่สบกันหัวใจของหลี่หยูฟางพลันเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่นางจดจำได้ไม่ลืม เพียงแวบเดียว...นางรู้ทันทีว่าเขาคือใครทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยทัก เขาก็เบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินจากไป‘เขาหนีข้าไปอีกแล้ว...’ นางคิดในใจด้วยความเจ็บปวด คราวนี้นางไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว นางเติบโตพอจะออกเรือนได้ด้วยซ้ำ...ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อเหลือบเห็นสีหน้าผิดหวังของหญิงสาว ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ นางโตขึ้นมากจริง ๆ งดงามยิ่งนักผู้ติดตามที่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างกายเขา ถึงกับไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อนายท่านของเขาแย้มยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ชายหนุ่มจึงหุบยิ้มลงทันที สายตาเหม่อมองเมืองหลวงเบื้องหน้า เมืองที่เขาเคยมาเมื่อห้าปีก่อน บัดนี้เปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้...เว้นเสียแต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนาง ที่ยังคงติดอยู่ในใจเขาไม่จางหายหลังจากวันนั้น เขาก็หาเรื่องใกล้ชิดนางอยู่หลายครั้ง บ้างแกล้งเดินชน บ้างแกล้งทำของตก เพื่อให้มีโอกาสพูดค
ด้านหลี่หยูฟาง นางลอบออกมานอกเรือน เดินไปยังจุดที่เคยพบเด็กชายผู้นั้น ตามที่นางสังเกต เด็กคนนั้นน่าจะมีอายุมากกว่านางเล็กน้อย และอาจจะน้อยกว่าพี่ชายของตนอยู่บ้างแต่เมื่อมาถึงจุดเดิม กลับไม่พบร่างของเด็กชายคนนั้นเสียแล้ว...นางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย แล้วกำลังจะหันหลังกลับทว่าในเงามืดเบื้องหลัง ปรากฏร่างของเด็กชายผู้หนึ่ง ผมยาวสลวยรวบเป็นมวยต่ำด้านหลัง ใบหน้าขาวกระจ่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมีแววเจ้าเล่ห์แฝงอยู่เพียงชั่วครู่ เขามองเด็กหญิงวัยสิบขวบตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉยเขาเห็นว่านางกำลังมองหาใครบางคนอยู่ และเฝ้ามองนางเงียบ ๆ ไม่เผยตัว จนกระทั่งนางหันหลังกลับ จึงจงใจขยับตัวให้เกิดเสียงเสียงเบา ๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หยูฟางหันขวับไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นคนที่นางกำลังตามหา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายทันใด “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย! ข้านึกว่าเจ้ากลับไปเสียแล้ว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีเด็กชายผู้นั้นกลับไม่ตอบอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างนิ่งเงียบเมื่อนางไม่ได้รับคำตอบ สีหน้าของหลี่หยูฟางก็พลันหม่นลงเล็กน้อย นางรู้สึกเสียใจลึก ๆ กับท่าทีเย็นชาของเขา...เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ หลี่หยูฟางจึงถ
ภายในห้องนอน หยางฉิงหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยล้า โดยมีหลี่เซิงนอนกอดอยู่เคียงข้าง ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันตลอดทั้งคืน จนกระทั่งยามนี้จึงได้หลับพักผ่อนอย่างแท้จริงเมื่อทั้งสองตื่นขึ้นมาก็สายมากแล้ว จึงออกมาจากมิติ หลี่เซิงดูสดชื่นกว่าทุกวัน เพราะเมื่อคืนเขาได้เติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป หยางฉิงมองเขาอย่างหมั่นไส้น้อย ๆ เมื่อออกจากห้อง นางก็พบว่าลูกชายทั้งสองออกจากห้องไปนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาโตพอที่จะไม่ติดแม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว...เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เข้าสู่ปีที่สอง หยางฉิงตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว ท้องครั้งนี้ของนางไม่ใหญ่เท่าตอนท้องลูกชาย ทำให้นางคิดว่าน่าจะได้ลูกเพียงคนเดียวนางมาพักอยู่ในเรือนที่เมืองหลวง เพราะอย่างน้อยก็สามารถออกมานั่งเฝ้าร้าน ดูแลกิจการหน้าร้านได้บ้าง จึงไม่รู้สึกเบื่อมากนักเมื่อเข้าสู่เดือนที่เก้า หยางฉิงคลอดลูกตามที่คาดหวังไว้ เป็นเด็กหญิงตัวอวบอ้วนน่ารักน่าชัง เด็กน้อยเปรียบเสมือนสีสันใหม่ของครอบครัว หยางฉิงจึงตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า ‘หลี่หยูฟาง’ แปลว่า กลิ่นหอมละมุน เพราะนางเกิดมาพร้อมกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ เป็นเอกลักษณ์ ใครเข้าใกล้ก็อดที่จะอยากอุ้มนางไม่
เมื่อชายชรานั่งรถเกวียนมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็มีผู้คนออกมาต้อนรับมากมาย พร้อมกับเสียงเรียกขานว่า“เชิญเสด็จพะยะค่ะ ฝ่าบาท!”เสียงเรียกขานเปี่ยมด้วยความยินดีดังขึ้นพร้อมกันเมื่อชายชราได้ยินคำเรียกขานนั้น เขาถึงกับถอนหายใจเบา ๆ ความสนุกตลอดหลายวันที่เขาแอบออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ตนเคยปกป้องดูแล บัดนี้จำต้องวางลงเสียแล้ว...ทางด้าน หยางฉิง นางยืนอยู่ต่อหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งสุขุมเยือกเย็น อีกคนกลับซุกซนเอาเรื่อง นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าให้ลูกชายคนโตหยางฉิงเพิ่งได้ฟังเรื่องราวจากท่านตาโจวเล่อ นางหันไปมองหลี่เต๋อชางด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาช่างละม้ายคล้ายสามีของนาง เพียงแต่เงียบขรึมกว่า ต่างจากหลี่เจียเฉิงโดยสิ้นเชิงนางถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อคิดว่าลูกชายคนโตแอบออกไปเล่นตอนไหน ถึงกับไปแกล้งลูกของท่านอ๋องสามจนร้องไห้ ดีที่ท่านอ๋องไม่ติดใจเอาความอะไรหยางฉิงปรายตามองหลี่เจียเฉิงด้วยสายตาดุเมื่อหลี่เจียเฉิงเห็นสายตาของมารดา เขาก็หลบตาลงทันที“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เจ้าทำอะไรผิดไป?” นางถามด้วยน้ำเสียงเข้มได้ยินเช่นนั้น หลี่เจียเฉิงสะด
หลี่เจียถิง บุตรชายคนโต เป็นเด็กฉลาด ช่างพูด และกล้าแสดงออก ต่างจากหลี่เต๋อชาง ซึ่งเป็นเด็กช่างสังเกต เงียบขรึม และไม่ค่อยพูดเท่าใดนัก นางให้ลูกทั้งสองทดลองฝึกงานในกิจการของนางทั้งหมด หลี่เจียถิงชอบฝึกฝนในโรงเตี๊ยมและโรงทำน้ำมันพริก ส่วนหลี่เต๋อชางกลับชอบกิจการในเมืองหลวงและโรงเรือนทำยามากกว่า โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรที่เขาสนใจเป็นพิเศษนางไม่คิดจะบังคับ หากพวกเขาชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด นางก็จะตามใจ ไม่ว่าในอนาคตพวกเขาจะสานต่อกิจการหรือไม่ก็ตาม เพราะตอนนี้พวกเขายังเด็กนัก นางจึงไม่อยากให้ต้องคิดมากเหมือนผู้ใหญ่วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังยุ่งกับการดูแลร้านเทียนเจินถัง นางจึงฝากหลี่เต๋อชางให้อยู่กับท่านตาโจวเฉียวทางด้านโจวเฉียวกำลังนั่งคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้ทำงานกับหยางฉิงมาเกือบห้าปีแล้ว เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานที่นี่ ตอนนี้โจวเล่อก็เติบโตพอจะช่วยงานได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเด็กเรียนดี เขาจึงไม่ค่อยเป็นกังวลนักโจวเฉียวเหลือบมองหลี่เต๋อชาง ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ เขารู้สึกเอ็นดูเด็กชายผู้นี้เหมือนเป็นหลานแท้ ๆ หลี่เต๋อชางเป็นเด็กฉลาดเกินวัย นั่นทำให้เขาอด
เมื่อพูดจบ นางก็เหลือบมองสีหน้าของทั้งสองคนอ๋องสามที่รู้ว่ายาร้าน เทียนเจินถัง เป็นของดีจริง ๆ เคยกลับไปเพื่อซื้อยาเพิ่ม แต่กลับได้รับข่าวว่ายาทั้งหมดถูกขายหมดไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก เมื่อรู้ว่าอาจารย์ของนางจะส่งยาชนิดใหม่มา เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้เช่นกัน“ถ้าอาจารย์ของเจ้านำยาเข้ามาขายอีก เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้หรือไม่?” เขาถามเสียงเรียบหวังจวิ้นเจี้ยงที่ถูกท่านอ๋องตัดบทไปก็รีบพูดขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้น เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าด้วย ข้าเองก็อยากรู้ว่ายาตัวใหม่ของอาจารย์เจ้าจะเป็นยาแบบใดกันแน่”หยางฉิงเห็นความวุ่นวายตรงหน้าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ท่านทั้งสองวางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้คนเข้าไปแจ้งทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”เมื่อพูดจบ นางก็แย้มยิ้มออกมา อาจารย์ที่ว่านั้นก็คือตัวนางเอง หากมีเวลาว่างเมื่อใด นางก็จะคิดค้นและปรุงยาขึ้นในเวลานั้น ร้านของนางไม่ได้เป็นร้านขายยาโดยตรง เพียงแต่นำยามาขายเสริม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ร้านของนางเป็นที่อิจฉาของร้านยาดัง ๆ หลายแห่งแล้ว อย่างไรก็ตาม นางยังโชคดีที่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี พวกนั้นจึงไม่กล้าก่อเรื่องกับครอบครัวของนางโดยตรงเมื่อทั้งสองได้รับคำมั