ลู่จื้อจึงนำตำราออกมาให้ลู่เพ่ยได้ศึกษา ก่อนหน้านี้ลู่เพ่ยเคยได้เขียนอ่านมาบ้างแล้วจากบิดาจึงทำให้สามารถอ่านตำราได้ บิดาของตนเคยได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ทั้งคู่สอบหลายรอบแล้วไม่ผ่านจึงเลิกเรียนออกมาทำงานแทน
ท่านใหญ่ลุงจางเสียนได้ดูแลบัญชีให้กับร้านขายผ้าในตัวเมือง โดยส่งเงินให้ท่านย่าใช้ภายในบ้านทุกเดือน บิดาของนางจึงต้องอยู่บ้านทำนา ขึ้นเขาล่าสัตว์แทน นี้คืออีกเหตุผลที่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่มีอำนาจภายในบ้านมากจนท่านปู่ท่านย่าเกรงใจ
"น้องสะใภ้อยู่หรือไม่" เสียงตะโกนเรียกหน้าบ้านทำให้ลู่เพ่ยรีบเก็บตำราแล้วออกไปดู เป็นท่านลุงใหญ่ของตนกับกู้เหลี่ยง
"ท่านแม่ดูแลท่านพ่ออยู่ขอรับ เชิญท่านลุงกับท่านลุงกู้ด้านในขอรับ" ลู่เพ่ยเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา
"ขออภัยข้าไม่อาจลุกออกไปต้อนรับพวกท่านทั้งสองได้" จางหมินเอ่ยปากพูดกับทั้งคู่ ลู่จื้อนำน้ำออกมาต้อนรับแขกแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรู้ความ
ตอนนี้ในห้องของจางหมินมีเพียง จางเสียนกับกู้เหลี่ยงเท่านั้น จางเสียนมองน้องชายของด้วยที่นอนเป็นคนพิการอยู่บนเตียง ตัวเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่ารู้สึกเช่นใดกับน้องชาย เขาสองพี่น้องมิได้รังเกียจกัน แต่จะให้ตนมาเลี้ยงดูครอบครัวของน้องชายด้วยเขาก็ไม่ต้องการ
"ที่ข้าทั้งสองคนมาในวันนี้ ก็เรื่องหมั้นหมายของกู้ซานกับจื้อเออร์" จางเสียนเหลือบมองน้องชายก่อนจะพูดต่อ
"เจ้ายังไม่ได้ยินยอมรับการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองคน วันนี้ข้าเลยมาบอกเจ้าว่า อาซานจะหมั้นหมายกับเยว่เออร์ ยังไงซะก็เป็นคนตระกูลจางเหมือนกัน จะเป็นเยว่เออร์หรือจื้อเออร์ก็คงไม่ต่าง แต่อาซานพึงใจในเยว่เออร์ของข้า ข้าจึงมาบอกเจ้าเสียหน่อย" จางหมินนึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมาด้วยเรื่องนี้
กู้เหลี่ยงมองผู้มีพระคุณอย่างละอายใจ แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อบุตรชายของตนย่อมมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หากแต่งกับลู่จื้อไปบุตรของตนก็คงหมดอนาคตเพราะครอบครัวของภรรยาเป็นตัวถ่วง
จางหมินก็ไม่ได้มีความคิดที่จะให้บุตรีของตนแต่งเข้าตระกูลกู้ตั้งแต่แรก ยิ่งทั้งคู่เผยธาตุแท้ออกมาเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้รับปากกับกู้เหลี่ยงตั้งแต่แรก
“แล้วแต่พวกท่านจะเห็นสมควร ข้าไม่คิดจะให้อาซานแต่งเพื่อทดแทนบุญคุณอยู่แล้ว” เพียงคำพูดของจางหมินก็เหมือนตบหน้ากู้เหลี่ยงที่กลืนคำพูดของตนแล้ว
“หากพวกท่านไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญกลับไปเถิด ข้าต้องการพักผ่อนแล้ว” จางหมินก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับทั้งคู่อีก พี่ชายของตนก็เห็นแก่ตัวนัก กู้เหลี่ยงก็เช่นกัน ตนไม่คิดจะให้ครอบครัวต้องมาเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้อีก
เมื่อโดนเจ้าบ้านเอ่ยไล่ทั้งคู่ก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่อ แล้วเรื่องที่มาก็เพียงแค่ต้องการมาบอกกล่าว หาได้มาเพื่อให้จางหมินเห็นด้วย หากจางหมินไม่เห็นด้วยจางเสียนก็มีหลายทางที่จะทำให้งานหมั้นหมายครั้งนี้สำเร็จ
ลู่เพ่ยที่ส่งทั้งสองออกไปแล้วก็เข้ามาหาบิดา เห็นมารดาและน้องสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงได้เอ่ยอย่างโมโห
“ท่านลุงใหญ่น่ารังเกียจยิ่งนัก ท่านลุงกู้ก็เช่นกัน ข้ายังจำวันที่ท่านลุงหามท่านพ่อลงมาจากเขา แล้วเอ่ยปากจะให้กู้ซานหมั้นหมายกับน้องสาวได้ดี”
“ข้าก็ว่าทำไมจางเยว่ต้องผลักข้าลงแม่น้ำด้วย ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องของกู้ซานนี้เอง” ลู่จื้อนึกสงสารร่างเดิมที่ไม่ได้รู้เรื่องราวแล้วยังต้องมาโดนจางเยว่ผลักตกน้ำจนถึงตาย
นางขึ้นบัญชีดำจางเยว่ไว้ในใจ เมื่อสบโอกาสเมื่อไหร่นางจะเอาคืนแทนร่างเดิมอย่างแน่นอน
จางหมินกับจินหรูเมื่อเห็นบุตรีไม่มีท่าทางเสียใจก็โล่งอก
“กินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว” ทุกคนลืมไปเลยว่าเลยเวลากินข้าวมาแล้ว ตอนนี้บ้านรองจางกินข้าวสามมื้อ ต่างจากคนในหมู่บ้านที่กินเพียงสองมื้อเท่านั้น หากบ้านใดที่พอจะเงินใช้คล่องมือ ก็กินสามมื้อเช่นกัน
หลังจากกินข้าวมื้อกลางวันเสร็จ ลู่จื้อจึงเริ่มนำโสมออกมาทำเป็นโสมแดง แม้ในมิติจะคงรักษาสภาพไว้ได้ แต่นางได้รับปากหมอฉีไว้แล้วว่าจะนำโสมแดงไปขายให้
โสมแดง คือ การนำรากโสมที่ตัดเฉพาะส่วนที่ดีมาล้างให้สะอาด เป็นโสมที่ผ่านกรรมวิธีการอบและฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง โดยการนำมาอบด้วยไอน้ำประมาณ 120-130 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2-4 ชั่วโมง
จนเป็นสีน้ำตาลแดง แล้วจึงนำไปอบให้แห้ง จะได้เป็นสีน้ำตาลแดง (ใส) โดยจะมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นอีก 4 ชนิด จึงมีราคาแพงกว่าโสมขาว ขายได้ราคาดีกว่า
นางไม่รู้ว่าในยุคนี้วิธีการทำโสมแดงมีหรือยัง แต่ในยุคของนางนั้นโสมแดงเมื่อทำออกมาแล้วมีสรรพคุณมากกว่าโสมสดหรือโสมขาวที่เพียงนำไปตากให้แห้งมากนัก
นางทำออกมาแค่เพียงห้าหัวโดยเลือกใช้โสมอายุไม่เกินห้าสิบปีเท่านั้นหากขายได้ราคาดี ค่อยทำเพิ่มก็ยังได้ นางจะขายให้หมอฉีสามหัวอีกสองหัวนางจะเก็บไว้บำรุงร่างกายของบิดาและมารดา
ระหว่างที่กินมื้อเย็นลู่จื้อนางจึงเอ่ยพูดเรื่องสร้างบ้านขึ้นมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่สร้างบ้านใหม่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม...พ่อก็คิดเช่นเจ้า และจะซื้อที่ดินด้านข้างเรือนเพิ่มอีกด้วย” จางหมินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ท่านพ่อ ค่อยซื้อที่ดินหลังจากที่ตระกูลกู้หมั้นหมายกับอาเยว่เถิดขอรับ” ลู่เพ่ยกลัวว่าคนหน้าหนาพวกนั้นจะเปลี่ยนใจมาหมั้นหมายกับลู่จื้อแทน
“เป็นท่านพี่ของข้าที่ฉลาดนัก” ลู่จื้อมองลู่เพ่ยอยากหยอกล้อ
สามคนพ่อลูกนั่งพูดคุยเรื่องสร้างบ้านกับซื้อที่เพิ่มอย่างสนุกสนาน มีเพียงจินหรูที่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่ได้คุยด้วย
“ท่านแม่เป็นอันใดไปรึเจ้าคะ” ลู่จื้อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“แม่คิดถึงบ้านท่านตาท่านยายของเจ้า”
นางที่เห็นครอบครัวของตนกำลังจะเริ่มสร้างบ้านก็นึกถึงบ้านเดิมของนางที่สภาพบ้านไม่ได้ต่างจากหลังนี้เท่าไหร่
บ้านเดิมท่านแม่อยู่ที่หมู่บ้านหนานไฉ ห่างจากหมู่บ้านหนานชุน ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม แต่ตั้งแต่นางแต่งออกมากลับไปบ้านเดิมเพียงห้าครั้งได้เพราะความเป็นอยู่ของนางก็ไม่ได้ดี ทั้งยังต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา
เงินที่ท่านสามีหาได้แม่สามีก็เก็บทั้งหมด หากแอบเก็บไว้เองสะใภ้ใหญ่รู้ก็จะโวยวาย ทั้งที่ตัวนางก็แอบแบ่งเงิน ที่พี่สามีส่งมาเก็บไว้ นางยังต้องทำงานทั้งงานในนาและงานในเรือนจึงไม่มีเวลากลับไปบ้านเดิม
ลู่จื้อนึกเห็นใจท่านแม่แต่ตัวนางก็เคยไปบ้านท่านตาท่านยายเพียงสองครั้งเท่านั้น บ้านท่านตาท่านยายมีกันหกคน
ครอบครัวท่านตา
1. จินหาน ท่านตา
2. เกาเจิน ท่านยาย
3. จินเจ๋อ ท่านลุง
4. ชิงอี ป้าสะใภ้
5. จินม่าน ลูกสาวจินเจ๋อ ออกเรือนไปแล้ว
6. จินเจา บุตรชายจินเจ๋อ อายุ 16 ปี
7. จินฉือ บุตรชาย อายุ 10 ปี
นางอยากไปบ้านท่านตาสักครั้งหากบ้านท่านตาเป็นคนดีนางก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ไว้พวกเราไปบ้านท่านตาท่านยายกันเจ้าค่ะ หากท่านต้องการจะช่วยเหลือพวกเขา ข้าก็ไม่ขัด”
“เป็นเช่นที่จื้อเออร์นางว่า ข้าเองก็ไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเลย” จางหมินถอนหายใจออกมา
“ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ แม่ขอบใจเจ้ามากจื้อเออร์ ที่เข้าใจแม่” เมื่อนางจินหรูได้ฟังบุตรีและสามีพูดเช่นนั้นก็เหมือนยกก้อนหินออกจากอก
โจวหรงเฉิงมาหาลู่จื้ออีกครั้งในวันต่อมา แต่เมื่อเข้ามาในห้องของนางก็ไม่พบว่ามีผู้ใดอยู่“เจ้าแอบหนีเข้าไปก่อนข้ามาถึงรึ” เขานั่งลงที่เตียงของนางอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ทั้งที่บอกกล่าวไว้แล้วว่าจะมาพบในวันนี้ แต่นางกลับไปรอเขา จนถึงเกือบฟ้าจะสว่างลู่จื้อนางก็ยังไม่ออกมา โจวหรงเฉิงจำต้องกลับไปที่จวนของเขาเพื่อเตรียมตัวไปทำงานตลอดทั้งวันอารมณ์ของโจวหรงเฉิงไม่คงที่นัก หากลูกน้องทำงานไม่ได้ตั้งใจ เขาจะโมโหมากกว่าปกติขึ้นอีกสองส่วน“รองผู้ตรวจการไปกินรังผึ้งที่ใดมาถึงได้ฉุนเฉียวเพียงนี้” เจ้าหน้าที่นครหลวงนินทาผู้เป็นนายลับหลังแม้แต่ตอนที่เขาไปพบเซียวซีซวนและหลินตงหยางในตอนเย็น คิ้วของเขาก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา“เป็นอันใด เจองานยุ่งยากเช่นนั้นรึ” หลินตงหยางเอ่ยถามสหาย ถึงแม้ว่าคิ้วของเขาจะขมวดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะมากกว่าเดิม“ไม่มีอันใด” เขาจะบอกสหายได้อย่างไรว่าเขาไปพบลู่จื้อที่เรือนตอนกลางคืนมิใช่เพียงโจวหรงเฉิงที่มีเรื่องให้คิด แม้แต่เซียวซีซวนเองก็เป็น ประเดี๋ยวเขาก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็ทำท่ากังวล“เจ้าอีกคน วันนี้เป็นอันใดกันไปหมด” หลินตงหยางเอ่ยออกมา เมื่อหันไปเห็นใบหน้าของ
ลู่จือที่เห็นเขาจ้องมองใบหน้าของนางอย่างตกตะลึง ก็เอ่ยปากไล่ให้เขาไปนั่งเดินลมปราณที่ด้านนอก“...” หากอาจารย์ของเขาได้รู้ว่านางใช้เวลาฝึกเพียงปีเดียวก็อยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้วคงได้กระอักเลือดออกมา“ท่านไปนั่งเดินลมปราณเถิด อ้อ...เกือบลืมไป หากท่านไปแช่น้ำในสระดอกบัวข้างศาลา จะช่วยให้ท่านเดินลมปราณได้เร็วขึ้น”“อืม...เข้าใจแล้ว” โจวหรงเฉิงหยิบตำราการฝึกหายใจติดมือมาด้วยก่อนจะอุ้มเสี่ยวเฮยไปที่สระดอกบัวแต่สิ่งที่ลู่จื้อไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องเดินลมปราณ หากนั่งสมาธิเดินลมปราณในสระดอกบัวจะยิ่งช่วยขยายเส้นลมปราณให้ใหญ่มากกว่าเดิม การเดินลมปราณเพื่อเลื่อนขั้นจึงเร็วขึ้นเรื่องนี้เสี่ยวเฮยตัวดีแอบบอกโจวหรงเฉิง หากลู่จื้อนางรู้ มันได้ถูกนางตีแน่ โทษฐานที่เลือกบอกโจวหรงเฉิงแต่ไม่ยอมบอกนางโจวหรงเฉิงที่กำหนดลมหายใจตามคำบอกของเสี่ยวเฮย เขารับรู้ได้ถึงลมปราณที่วิ่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ยิ่งได้อยู่ในน้ำจิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าพลังฟ้าดินภายในมิติจิต กำลังไหลเข้าสู้ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว“เกิดอันใดขึ้น” ลู่จื้อที่เป็นเจ้าของมิติจิต รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนางลุกออกจากห้องปรุงยาไปที่สร
ลู่จื้อส่งฟางซินให้สาวใช้ดูแลเสร็จนางก็เข้าห้องทันที จูบแรกของนางไม่ว่าจะภพที่แล้วหรือในภพนี้ คนที่ได้ไปคือโจวหรงเฉิง ความสับสนในใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน“บ้าจริง” นางสบถออกมาอย่างหัวเสียลู่จื้อไม่ได้รู้เลยว่าตอนที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น โจวหรงเฉิงที่คิดว่ากลับจวนของเขาไปแล้ว จะย้อนกลับมาที่เรือนของนาง แล้วเข้ามาทางหน้าต่างพอนางจะหายตัวเขาไปในมิติ ฝ่ามือหนาของเขาก็จับเข้าที่ตัวของนางทันที“ท่าน!!!” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่กำลังประหลาดใจของโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ มิติของนางอยู่“นะ นี่ เป็นไปได้อย่างไร” ตอนนี้โจวหรงเฉิงมิได้สนใจว่าลู่จื้อนางจะมีโทสะเรื่องที่เขาเข้ามาได้อย่างไร เขากำลังสถานที่แปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความสนใจ“ข้าจะออกไปส่งท่าน” ลู่จื้อเอื้อมมือจะไปจับมือของโจวหรงเฉิง แต่เขายกหนีเสียก่อน ด้วยรู้ว่าสาเหตุที่เข้ามาได้ก็เพราะเขาสัมผัสที่ตัวนาง“ประเดี๋ยว ให้ข้าอยู่ต่อก่อน จื้อเออร์ที่นี่คือที่ใดกัน” เขามองมาที่นางอย่างไม่เข้าใจลู่จื้อถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก คนเราเมื่อถึงคราวซวยก็ช่างซวยเสียตลอดทั้งวัน“มิติจิตของข้า รู้แล้วจะออกไปได้หรือยัง”“ยัง เ
หลินตงหยางไล่ให้คณิกาทั้งห้องออกไปเสียก่อน ก่อนที่สหายทั้งสองจะระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่มีบุรุษคนใดที่เห็นสตรีที่ตนหมั้นหมายแล้วมาในสถานที่เช่นนี้แล้วจะพึงพอใจ"พวกเจ้าเล่นสนุกกันเกินไปแล้ว" เซียวซีซวนที่เห็นฟางซินก้มหน้าไม่รู้ว่านางอับอายหรือเสียใจที่พบตน แต่เขาก็ทำใจตำหนินางไม่ลง ได้แต่ถอนหายใจ"หรือคุณชายเซียวคิดว่าพวกท่านมาได้ แต่สตรีเช่นข้าทั้งสองมาไม่ได้" ลู่จื้อมองค้อนบุรุษทั้งสามที่แสดงท่าทีใจแคบ"กลับประเดี๋ยวนี้!!! ข้าจะไปส่ง" โจวหรงเฉิงที่กดข่มอารมณ์ได้แล้วก็เอ่ยปากขึ้น"ไม่รบกวนใต้เท้าโจวเจ้าค่ะ พวกข้าเพิ่งจะมาถึง เชิญพวกท่านหาความสำราญตามสบายเจ้าค่ะ" ลู่จื้อยังไม่อยากจะกลับ หญิงคณิกาพวกนั้นทำให้ชีวิตในเมืองหลวงที่น่าเบื่อหน่ายหลายวันมานี้มีสีสันมากขึ้น"จื้อ เออร์ อย่าให้ข้าหมดความอดทน" ลู่จื้อ มองโจวหรงเฉิงที่เหมือนมองคนโง่ จะมาหมดความอดทนอะไรกัน นางยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลย"ซินซิน ข้าจะไปส่งเจ้ากลับจวน" ฟางซินรีบลุกขึ้นเดินก้มหน้ากลับไปพร้อมเซียวซีซวนทันที จนนางลืมลู่จื้อไปเลย“อ้าว...พี่หญิงจะทิ้งข้ารึ รอข้าด้วย" ลู่จื้อที่ได้สติก็รีบตามฟางซินไป"มากับข้า" โจวหรงเฉิงดึงมือของ
และวันที่นัดก็มาถึง ลู่จื้อพาฟางซินไปที่เรือนของนางเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ทั้งคู่ใส่ชุดบุรุษ สาวใช้ข้างกายที่พามาด้วยเป็นคนสนิทย่อมไม่พูดเรื่องนี้ออกไป เมื่อจับทั้งคู่แต่งตัว ก็กลายเป็นคุณชายรูปงามหากสาวใดได้สบตาคงลืมมิหลง ยิ่งลู่จื้อทำเป็นชายตามองสาวใช้ของฟางซินยังต้องเอามือทาบหน้าอก"คุณหนูจางอย่าไปมองสตรีที่ใดเช่นนี้นะเจ้าคะ" นางก้มหน้าลง"เพราะเหตุใด" ลู่จื้อถามขึ้นด้วยความสงสัย"เพราะบ่าวยังตกหลุมรักท่านเลยเจ้าค่ะ" สาวใช้ของฟางซินกับเสี่ยวถิงหัวเราะกันเสียงดังไปจนถึงเรือนของลู่เพ่ยกับหวังเหอรุ่ยบุรุษในบ้านเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นของเซียวซีซวนมาก็ไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านนอกเรือนของตนเลย จึงไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งสองวางแผนไปที่ใดกันคืนนี้ฟางซินจะค้างที่เรือนของลู่จื้อ เซียวซีซวนรับรองให้นางแล้ว ทางตระกูลเว่ยจึงไม่ได้ว่าอันใด และรู้ว่าบุตรีของตนเป็นเช่นไรจึงได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งสองสาวในชุดบุรุษยืนอยู่หน้าหอเลี่ยงซู หอคณิกาชื่อดังในเมืองหลวง ใครจะคิดว่าทั้งคู่จะนึกสนุกมาเที่ยวเล่นในสถานที่เช่นนี้ลู่จื้อ หยิบยกพกของโจวหรงเฉิงมาห้อยที่ข้างเอวของนางด้วย เพราะมันเข้ากับชุดบุรุษที่นางสวมใส
การเดินทางครั้งนี้ยังคงมีเสี่ยวถิงติดตามไปด้วย ห้องพักบนเรือถูกจองไว้ทั้งหมดสามห้อง ห้องกว้างขวางสมกับราคาที่เสียไปยิ่งนัก แม้จินเจาจะนอนกับเด็กทั้งสองของตระกูลอู๋ก็ไม่อึดอัดแต่อย่างใดการบริการที่จัดไว้ก็นับว่าใช้ได้ หากไม่อยากไปกินอาหารที่ห้องอาหารก็จะมีเสี่ยวเอ้อยกขึ้นมาส่งด้านบน ชั้นที่พวกลู่จื้ออยู่นั้นเป็นชั้นสาม มีทางบันไดขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าให้ด้วย มีห้องอาหารอยู่ในชั้นสามไม่ต้องลงไปด้านล่างของเรือแต่หากเป็นชั้นสองจะมีเพียงระเบียงด้านหน้าห้องพักเท่านั้นให้นั่งชมวิว ชั้นหนึ่งนอกจากจะเป็นห้องอาหารสำหรับคนที่เข้าพักชั้นสองกับชั้นหนึ่งแล้วก็เป็นห้องรวมสำหรับคนที่มีงบน้อยใช้ในการเดินทางการเดินทางโดยเรือก็ไม่ได้แย่อย่างที่ลู่จื้อนึกไว้ นางไม่ได้มีอาการเมาเรืออย่างที่คิด (มันจะมีได้ไง เจ้าเป็นผู้ฝึกตน) ที่เลือกเดินทางทางเรือ พวกบัณฑิตทั้งหมดจะต้องรีบไปรายงานตัวกับสำนักศึกษา หากรู้ตัวกันเร็วกว่านี้คงเดินทางด้วยรถม้าเช่นที่ผ่านมานับว่าการเดินทางด้วยเรือเร็วไม่น้อย เพียงไม่กี่วันพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วเมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเซียวซีซวนให้คนมารอรับที่ท่าเรือเพื่อนำทางไปส่งท