สองพี่น้องจึงขอตัวไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน ลู่เพ่ยยังคงศึกษาตำราที่ลู่จื้อให้ไว้ทั้งคืน แต่เขายังไม่เข้าใจมากนัก
ลู่จื้อที่แยกตัวออกมาก็เข้าไปในมิติ นางเห็นพื้นที่วางมากมายจึงเริ่มมีความคิดที่จะซื้อเมล็ดผักมาปลูก
นางเดินเข้าไปในกระท่อมเพื่อหาตำราที่สามารถอ่านได้ เพราะเมื่อคืนมีตำราเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ ตอนนี้นางเปิดจุดตันเถียนได้แล้วคงจะมีสักเล่มที่นางสามารถอ่านได้
นางไล่ดูตำราที่ละเล่มจนไปเจอตำราฝึกวรยุทธ์ ยุคก่อนนางได้ฝึกมวยไทย กังฝู มวยหย่งซุน แต่ตำราเล่มนี้สอนฝึกลมหายใจกับความเร็ว ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนาง
ลู่จื้อไม่คิดว่าการฝึกลมหายใจจะช่วยได้หลายอย่างขนาดนี้ หลังจากที่อ่านตำราจบนางถึงได้รู้ว่าการฝึกลมหายใจเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝนพลังปราณ
เมื่อนางลองฝึกตามตำราจึงค้นพบว่า หากนางควบคุมการหายใจได้ก็สามารถควบคุมเส้นปราณในร่างกายได้ เหมือนเป็นการเปิดเส้นปราณในร่างกายให้พร้อมที่จะเริ่มฝึกขั้นต่อไป
ตอนนี้เส้นปราณของนางนั้นใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งนางยังสามารถรับรู้เสียงต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจนขึ้นแม้กระทั่งเสียงน้ำไหลที่ลำธารนางก็ได้ยินชัดเหมือนนางนั่งอยู่ริมลำธารเลย
ลู่จื้อนางไม่รู้เลยว่า ด้วยอากาศที่อยู่ภายในมิติ ทำให้ตัวนางสามารถฝึกลมปราณได้เร็วกว่าผู้อื่น หากผู้ฝึกตนในแคว้นรู้เข้าว่านางเปิดจุดตันเถียนได้ภายในวันเดียว พวกเขาคงได้คำนับนางเป็นอาจารย์แน่
เมื่อออกมาจากมิติจิตแล้ว นางยังสามารถมองในที่มืดได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกันตอนกลางวัน ลู่จื้อเลยคิดว่าจะนำตำราเล่มนี้ไปให้ลู่เพ่ยและจะช่วยลู่เพ่ยเปิดจุดตันเถียนในวันพรุ่งนี้ แต่ต้องนำปลาไปขายก่อน
วันนี้สองพี่น้องยังคงนำปลามาขายเช่นเดิม เพราะบอกหลงจู๊ไว้แล้ว นางคิดว่าต่อไปคงนำปลามาขายห้าวันครั้งแทนเพราะอะไรที่มากเกินไปคนจะเบื่อเอาได้ ครั้งนี้นางจึงบอกกล่าวหลงจู๊เอาไว้ก่อน
ลู่จื้อนางตั้งใจซื้อเมล็ดผักกลับบ้านจึงให้ลู่เพ่ยพาไปซื้อ นางซื้อเมล็ด หลัวปัว (หัวไชเท้า) หูหลัวปัว (แครอท) ล่าเจียว (พริก) ชิงไช่ (กวางตุ้ง) เจี้ยหลาน (คะน้า) คงซินไซ่ (ผักบุ้ง) ป๋ายไซ่ (ผักกาดขาว) ยวี่หมี่ (ข้าวโพด) หนานกวา (ฟักทอง) หวงกวา (แตงกวา) เซี่ยงหมี่ (ข้าว) แล้วยังได้ของหายากอย่าง ฟานเฉีย (มะเขือเทศ) ถู่โต้ว (มันฝรั่ง)
นางซื้ออย่างละหนึ่งจิน แต่ที่ซื้อมากสุดคือ ถู่โต้วนางซื้อถึงห้าสิบจิน และข้าว นางซื้อห้าจิน ลู่เพ่ยจ่ายเงินไปถึงสิบตำลึง มือสั่นเลยทีเดียว
ความจริงลู่จื้อยังอยากได้ต้นกล้าผลไม้ด้วย แต่ของในตอนนี้เยอะเหลือเกินแล้วนางยังไม่รู้วิธีปลูกในมิติจิตด้วย หากต้องพรวนดินแล้วปลูกที่ละแปลงคงต้องใช้เวลานาน หากนางรู้ว่าเพียงกำหนดจิตเท่านั้นก็สามารถปลูกได้ตามใจนึกนางคงเสียดายที่ไม่ได้ซื้อมาเยอะกว่านี้
ลู่เพ่ยตอนแรกก็อยากจะห้ามน้องสาว เพราะที่ดินของบ้านตนยังไม่มีให้น้องสาวปลูกได้ทุกอย่างที่ซื้อมา พอนางบอกว่าจะนำไปปลูกในมิติจิตเขาจึงเลิกบ่น
สองพี่น้องเดินทางไปโรงหมอฮุ่ยชิวต่อ เพื่อนำโสมแดงไปให้ท่านหมอฉีตามที่เคยบอกกล่าวกันไว้ เมื่อใช้เงินเสร็จแล้วก็ถึงเวลาต้องหาเงิน
ลู่จื้อยังคงนำโสมห่อใส่ผ้าขี้ริ้วเช่นเดิม หมอฉีที่เห็นเช่นนั้นก็ปวดใจของดีเพียงนี้ใยไม่หากล่องใส่ให้ดี แต่เขาก็มิกล้าตำหนิกลัวลู่จื้อจะนำไปขายที่อื่นแทน
หมอฉีเคยพบเจอโสมแดงมาบ้างแล้ว แต่ไม่เคยเห็นโสมแดงที่ทำออกมาอย่างถูกวิธีเช่นนี้ เพราะการควบคุมไฟในการอบนั้นต้องใช้กำลังไฟอย่างสม่ำเสมอและใช้เวลาที่พอเหมาะ โสมแดงถึงจะออกมาดี ทำให้ครั้งนี้เขาต้องมองลู่จื้อใหม่อีกครั้ง แม่นางน้อยคนนี้ช่างมีพรสวรรค์โดยแท้
“เพียงแค่อ่านตำราที่อาจารย์ทิ้งไว้ เจ้าก็ทำออกมาได้ดีเช่นนี้เลยรึ”
“เป็นอาจารย์ข้าที่เก่งเจ้าค่ะ” ลู่จื้อยิ้มจนตาหยี
“หน้าของเจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาเห็นนางปิดหน้าไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปรักษาขาให้บิดาของนางแล้ว
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านจะให้ราคาข้าเท่าใดดีเจ้าคะ” นางเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่รู้จะเอ่ยบอกเช่นใด หากบอกว่าผื่นขึ้น หมอฉีต้องขอดูแน่
หมอฉีก็ไม่ตระหนี่ให้ราคาอย่างยุติธรรม โสมแดงสามหัว เขายอมจ่ายถึงหัวละห้าร้อยตำลึงทองเลยทีเดียว ลู่จื้อจึงพอใจอย่างมาก แล้วยังรับปากหากนางพบโสมอีกจะนำมาขายให้เพียงร้านยาฮุ่นชิวเท่านั้น
ทั้งสองกลับถึงหมู่บ้านก็มีสายตาของชาวบ้านมองลู่จื้ออย่างเวทนา สองพี่น้องเก็บความสงสัยจนถึงบ้านจึงได้รู้ว่า บ้านลุงใหญ่กับบ้านกู้ได้ทำการหมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว ช่างรวดเร็วเสียจริง
บ้านรองจางมิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็หวังอยากให้มันเกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะตนจะได้ซื้อที่และสร้างบ้านในเร็ววัน
“พอหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”
ลู่จื้อส่งเงินให้ท่านแม่ห้าร้อยตำลึงเงินเพื่อซื้อที่และสร้างบ้าน นางบอกจำนวนเงินที่ได้จากการขายโสมแดงแล้วและเก็บเงินไว้ในมิติจิต
“พอแล้ว ไม่น้อยแล้ว” มือของนางจินหรูยังสั่นไม่หาย นางเคยถือเงินมาเพียงนี้ที่ไหน แม้จะเห็นตั๋วตำลึงทอง ที่ลู่จื้อนางนำออกมาให้ดูแล้ว แต่ก็ยังตื่นตระหนกอยู่ดี
ลู่เพ่ยกับนางจินหรูจึงเดินทางไปบ้านผู้นำหมู่บ้านเพื่อซื้อที่ ทั้งครอบครัวตกลงกันแล้วว่าจะซื้อที่ยาวไปถึงริมแม่น้ำเลย ลู่จื้อจะปลูกถู่โต้วและยวี่หมี่ซึ่งในตอนนี้ชาวบ้านยังปลูกกันน้อยอยู่
"ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่หรือไม่ขอรับ" ลู่เพ่ยตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน
"อยู่ อยู่ รอประเดี๋ยว" หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านลุงชุนเฉียงรีบมาเปิดประตู
"อ้าว อาเพ่ยกับสะใภ้รองจาง มีอันใดหรือ"
"ข้าสองคนอยากจะมาขอซื้อที่ดิน ที่ติดกับบ้านเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ามีเจ้าของหรือยังเจ้าคะ" นางจินหรูบอกความต้องการของตน
"เข้ามาก่อน เข้ามา ที่ตรงนั้นยังว่างอยู่"
เมื่อเข้ามานั่งในห้องโถงแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านเดินไปหยิบแผนที่ออกมากางให้สองแม่ลูกดู
"พวกเจ้าอยากได้กี่หมู่ ที่ดินที่ติดกับบ้านพวกเจ้ายาวไปถึงแม่น้ำนั้นว่างทั้งหมด มีถึงหกสิบหมู่ หมู่ละหกตำลึง" หัวหน้าหมู่บ้านคิดว่าทั้งสองคงอยากได้เพียงไม่กี่หมู่ แต่คำตอบที่ได้ทำให้เขาถึงกับแปลกใจ
"พวกข้าต้องการทั้งหมดหกสิบหมู่เลยขอรับ พอดีข้าขึ้นเขาแล้วเจอโสมคน หลังจากหักเงินรักษาท่านพ่อแล้วเหลือไม่มากจึงอยากซื้อที่สร้างบ้านและไว้ปลูกผักขอรับ" ลู่เพ่ยไขข้อข้องใจให้หัวหน้าหมู่บ้านพร้อมทั้งบอกความต้องการของตน
"ดีดีดี ที่ดินหกสิบหมู่ ทั้งหมดสามร้อยหกสิบตำลึง" นางจินหรูแท้จะตกใจกับราคาที่ดินทั้งหมดแต่ก็ยังคงควบคุมสติของตนได้
นางยื่นเงินสามร้อยหกสิบห้าตำลึงให้หัวหน้าหมู่บ้าน ให้เกินอีกห้าตำลึงเพื่อเป็นค่าน้ำชาให้ดำเนินเรื่องที่ให้ หัวหน้าหมู่บ้านก็รับมาแต่โดยดี"ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเจ้าคะ ท่านพอจะแนะนำช่างสร้างบ้านให้ข้าด้วยได้หรือไม่" นางจินหรูเอ่ยอย่างเกรงใจ"ได้ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บุตรชายข้า ชุนหยุน ก็เป็นช่างสร้างบ้านอยู่ ข้าจะให้อาหยุนไปคุยกับพวกเจ้าที่บ้านก็แล้วกัน" เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยสองแม่ลูกก็ขอตัวกลับสองแม่ลูกที่กำลังเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ต้องมาพบเจอสะใภ้ใหญ่ระหว่างทาง" นึกว่าใคร สะใภ้รองนี่เอง พวกเจ้าไม่คิดจะมาแสดงความยินดีกับเยว่เออร์เสียหน่อยหรือ" นางยิ้มเย้ยใส่จินหรู"เช่นนั้นก็ยินดีในวาสนาของเยว่เออร์ด้วยเจ้าค่ะ วันแต่งข้าและท่านพี่ต้องช่วยเพิ่มสินเดิมให้เจ้าสาวอย่างแน่นอน" นางจินหรูมองข้ามสายตาที่เยาะเย้ยของสะใภ้ใหญ่เมื่อมองสำรวจพี่สะใภ้ดีๆ จึงได้เห็นว่าชีวิตบ้านใหญ่ที่ไม่มีครอบครัวของนางให้คอยรับใช้ คงจะลำบากไม่น้อย เพราะจางเยว่คงไม่ยอมไปซักผ้าริมแม่น้ำหรือจะเข้าครัวทำอาหารอย่างแน่นอน"โอวโยว อย่างเจ้ากับน้องรองนะหรือจะมีปัญญามาช่วยเยว่เออร์ของข้าเพิ่มสินเดิม แค่ไม่ขนกันมากินใน
สองพี่น้องจึงขอตัวไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน ลู่เพ่ยยังคงศึกษาตำราที่ลู่จื้อให้ไว้ทั้งคืน แต่เขายังไม่เข้าใจมากนักลู่จื้อที่แยกตัวออกมาก็เข้าไปในมิติ นางเห็นพื้นที่วางมากมายจึงเริ่มมีความคิดที่จะซื้อเมล็ดผักมาปลูกนางเดินเข้าไปในกระท่อมเพื่อหาตำราที่สามารถอ่านได้ เพราะเมื่อคืนมีตำราเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ ตอนนี้นางเปิดจุดตันเถียนได้แล้วคงจะมีสักเล่มที่นางสามารถอ่านได้นางไล่ดูตำราที่ละเล่มจนไปเจอตำราฝึกวรยุทธ์ ยุคก่อนนางได้ฝึกมวยไทย กังฝู มวยหย่งซุน แต่ตำราเล่มนี้สอนฝึกลมหายใจกับความเร็ว ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนางลู่จื้อไม่คิดว่าการฝึกลมหายใจจะช่วยได้หลายอย่างขนาดนี้ หลังจากที่อ่านตำราจบนางถึงได้รู้ว่าการฝึกลมหายใจเป็นส่วนสำคัญของการฝึกฝนพลังปราณเมื่อนางลองฝึกตามตำราจึงค้นพบว่า หากนางควบคุมการหายใจได้ก็สามารถควบคุมเส้นปราณในร่างกายได้ เหมือนเป็นการเปิดเส้นปราณในร่างกายให้พร้อมที่จะเริ่มฝึกขั้นต่อไปตอนนี้เส้นปราณของนางนั้นใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งนางยังสามารถรับรู้เสียงต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจนขึ้นแม้กระทั่งเสียงน้ำไหลที่ลำธารนางก็ได้ยินชัดเหมือนนางนั่งอยู่ริมลำธารเลยลู่จื้อนางไม่รู
ลู่จื้อจึงนำตำราออกมาให้ลู่เพ่ยได้ศึกษา ก่อนหน้านี้ลู่เพ่ยเคยได้เขียนอ่านมาบ้างแล้วจากบิดาจึงทำให้สามารถอ่านตำราได้ บิดาของตนเคยได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ทั้งคู่สอบหลายรอบแล้วไม่ผ่านจึงเลิกเรียนออกมาทำงานแทนท่านใหญ่ลุงจางเสียนได้ดูแลบัญชีให้กับร้านขายผ้าในตัวเมือง โดยส่งเงินให้ท่านย่าใช้ภายในบ้านทุกเดือน บิดาของนางจึงต้องอยู่บ้านทำนา ขึ้นเขาล่าสัตว์แทน นี้คืออีกเหตุผลที่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่มีอำนาจภายในบ้านมากจนท่านปู่ท่านย่าเกรงใจ"น้องสะใภ้อยู่หรือไม่" เสียงตะโกนเรียกหน้าบ้านทำให้ลู่เพ่ยรีบเก็บตำราแล้วออกไปดู เป็นท่านลุงใหญ่ของตนกับกู้เหลี่ยง"ท่านแม่ดูแลท่านพ่ออยู่ขอรับ เชิญท่านลุงกับท่านลุงกู้ด้านในขอรับ" ลู่เพ่ยเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา"ขออภัยข้าไม่อาจลุกออกไปต้อนรับพวกท่านทั้งสองได้" จางหมินเอ่ยปากพูดกับทั้งคู่ ลู่จื้อนำน้ำออกมาต้อนรับแขกแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรู้ความตอนนี้ในห้องของจางหมินมีเพียง จางเสียนกับกู้เหลี่ยงเท่านั้น จางเสียนมองน้องชายของด้วยที่นอนเป็นคนพิการอยู่บนเตียง ตัวเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่ารู้สึกเช่นใดกับน้องชาย เขาสองพี่น้องมิได้รังเกียจกัน แต่จ
เมื่ออ่านตำราจบแล้วทำให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าในแคว้นฉี จะไม่มีผู้ฝึกปราณ แต่คนที่ฝึกนั้นมีน้อยมาก แล้วยังไม่มีผู้ที่เป็นผู้ฝึกตนเพื่อก้าวข้ามสู่ขั้นเป็นเซียน หากนางทำให้ครอบครัวของนางทุกคนเป็นผู้ฝึกตนได้ต่อไปครอบครัวของนางก็ไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจของผู้ใดอีกลู่จื้อจึงลองเปิดจุดตันเถียนตามตำรา นางนั่งกำหนดจิตไปที่จุดตันเถียน (อยู่ด้านล่างสะดือลงไปสามนิ้วเรียกตันเถียนล่าง) เมื่อเข้าสู่สมาธิลู่จื้อค้นพบจุดแสงใจกลางตันเถียนก้อนเท่าเมล็ดถั่ว หากใช้ความรู้สึกจับจะเห็นว่าจะมีแสงหลากหลายสีกระจายโดยรอบๆ อีกมาก นางจึงค่อยๆ ดึงแสงเหล่านั้นเข้ามารวมในจุดตันเถียนให้เป็นหนึ่งเดียวจากนั้นนางโคจรเส้นลมปราณเพื่อดึงแสงสีต่างๆ จากจุดตันเถียนระหว่างคิ้ว (เรียกจุดตันเถียนบน) และตรงกลางหัวใจ (เรียกจุดตันเถียนกลาง)ลู่จื้อทำตามวิธีที่ตำราได้บอกไว้ นางนั่งรวบรวมแสงจนเก็บทั้งหมดเข้าจุดตันเถียนได้แล้ว นางจึงออกจากสมาธิก็พบว่าเวลาผ่านมาไม่น้อยแล้วและคิดว่าด้านนอกคงจะเช้าแล้ว ครอบครัวของนางคงจะเป็นห่วงที่นางหายไปที่ใดก็ไม่รู้ ตอนนี้ตัวของนางส่งกลิ่นเหม็นแถมยังมีคราบสีดำเลอะเสื้อผ้าเต็มไปหมด ชุดนี้ของนางคงจะนำมาใส่อีกไ
“หากพวกเจ้ามีสมุนไพร นำมาขายให้ร้านยาของข้าได้ตลอด” หมอฉีกล่าวบอกทั้งสองคน“หากข้าได้ของดีเช่นนี้มาอีกจะนึกถึงร้านยาของท่านก่อนแน่นอนเจ้าค่ะ” หมอฉีดูจะพอใจกับคำพูดของลู่จื้อ“ดีดีดี หากพวกเจ้ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ก็อย่าได้เกรงใจ” นี่แหละคือสิ่งที่ลู่จื้อต้องการ“ท่านหมอฉีเจ้าคะ ข้าอยากรบกวนให้ท่านไปตรวจดูอาการของบิดาที่หมู่บ้านชุนหนานเจ้าค่ะ” ลู่จื้อแจ้งรายละเอียดอาการบาดเจ็บของบิดาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่โรงหมอได้เมื่อนัดเวลากับหมอฉีที่จะไปตรวจให้บิดาที่หมู่บ้านแล้วลู่จื้อจึงขอตัวกลับลู่เพ่ยที่เก็บตั๋วเงินไว้ในอกก็มีอาการแข็งขาอ่อนแรง ก้าวเดินแทบจะไม่ออก ลู่จื้อจึงพาพี่ชายไปร้านรับฝากเงิน หากพี่ชายนำเงินกลับบ้านในสภาพนี้ได้ถูกโจรปล้นเป็นแน่แม้จะมีมิติเก็บของได้แล้ว แต่นางก็อยากจะนำเงินบางส่วน ฝากเงินไว้ที่ร้านรับฝากด้วย ด้วยคนอื่นจะได้เห็นว่าครอบครัวนางมาเบิกเงินไปใช้ ไม่ใช่ว่าเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายสมุนไพรถูกเก็บไว้ที่เรือนเงินหนึ่งพันหกร้อยตำลึงทอง นางฝากเพียงสามร้อยตำลึงทองเท่านั้น แล้วส่งให้ลู่เพ่ยถือเงินไว้ซื้อของเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ที่เหลือล้วนอยู่ในมิติของนาง
“จื้อเออร์ เจ้าพูดว่าอย่างไรก่อนที่โสมจะหายไป” จางหมินถามบุตรี“ข้ากำลังเก็บโสมใส่ตะกร้าแล้วพูดว่า ข้านำไปเก็บก่อนนะเจ้าคะ”ลู่จื้อกำลังแสดงท่าทางตอนเก็บโสมให้ทุกคนดู โดยใช้แก้วน้ำที่วางบนโต๊ะของท่านพ่อถือไว้ด้วยแก้วน้ำในมือก็หายไปพอนางพูดว่าเก็บตอนนี้เป็นนางเองที่กระโดดตัวลอย ลู่เพ่ยก็หงายหลังล้มจากเก้าอี้ นางจินหรูก็กระโดดไปจับตัวจางหมินไว้ พอสงบสติอารมณ์กันได้แล้วจึงได้รู้ว่า ลูกสาวของตนมีบางสิ่งผิดปกติ“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” จินหรูพึมพำกับตัวเอง สติของนางล่องลอยไม่อยู่กับตัวแล้ว“จื้อเออร์ แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา” จางหมินเห็นข้อมือลู่จื้อมีรอยเลือดที่แห้งแล้วอยู่“เอ่อ... ข้าโดนกิ่งไม้เกี่ยวตอนเข้าไปเก็บไก่ป่าเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเพิ่งจะสังเกตเห็นข้อมือของตนมีรอยบาด ทั้งยังมีเลือดที่แห้งกรังแล้วอยู่ด้วย“เอ๊ะ” ตอนนี้นางรู้แล้วว่าของหายไปได้อย่างไรที่ข้อมือปรากฏกำไลวงที่พ่อบ้านให้นางก่อนจะไปอยู่หมู่บ้านชนบท แต่ทำไมไม่มีใครเห็น หรือนางจะเห็นเพียงแค่คนเดียวลู่จื้อลองกำหนดจิต แล้วคิดว่าให้โสมออกมา บนโต๊ะตรงหน้าก็ปรากฏตะกร้าโสมขึ้น“ปะ เป็น ไป ได้ อย่าง ไร” ลู่เพ่ย พูดตะกุกตะกักออกมา“ข้