ตอนที่ 2
เหยาเหยา
ลมหนาวจากหุบเขาพัดเอื่อย ๆ จนเหยาเหยาต้องกอดตัวเองไว้แน่น ผ้าผืนบางบนร่างไม่ใช่ชุดที่เธอเคยสวมใส่มาก่อน แม้ว่าสีสันนั้นจะยังสดใสและเนื้อผ้าก็ดูเหมือนว่าจะเนื้อดีไม่น้อย แต่มันกลับขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านการกรีด ฉีก ดึงจนบัดนี้มันดูสะบักสะบอมไม่น้อย
“ยังไงก็หมายความว่านี่คือร่างของฮั่วเฉาซี.. สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นสินะ”
เธอพึมพำเบา ๆ ปล่อยเสียงหลุดลอยไปกับลม ดวงตายังคงจับจ้องที่มือทั้งสองข้าง นิ้วเรียวยาวที่ไม่ใช่ของเธอ เส้นเลือดใต้ผิวหนังซีดขาวเหมือนเลือดยังไหลเวียนไม่เต็มที่ เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้งแม้ร่างกายจะยังโอนไปเอนมา แต่สุดท้ายการจะมานั่งร้องไห้รอความตายเป็นครั้งที่สองก็คงจะไม่ได้
“ถ้าไม่ใช่ฝันก็แปลว่าฉันต้องอยู่ต่อให้ได้.. แต่ทำไมกันนะ ทำไมต้องเป็นร่างกายของสตรีผู้นี้กัน”
เธอกัดฟันแน่น ยกชายผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยขึ้นมาผูกไว้หลวม ๆ กันโป๊พอเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกจากสุสานจุดที่คล้ายจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเก่า และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่
สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนดินชื้น แต่เวลานี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว ขอแค่รีบออกให้ห่างจากหลุมศพเหล่านี้ก็พอ แม้ว่าหินจะบาดจนเลือดซิบ แม้ฝุ่นจะติดจนรู้สึกแสบ เธอก็ยังคงก้าวไปข้างหน้า
"หาที่ที่มีคนก่อนแล้วกัน"
ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวสลัว สองเท้าของนางยังคงเดินตลอดไม่หยุดพัก ผ่านพุ่มไม้รก ผ่านกอไผ่และแนวต้นสน เสื้อผ้าบนร่างกายเธอหลุดลุ่ยจนแทบปิดไม่มิด แขนเสื้อขาดเป็นริ้วเผยให้เห็นท้องแขนมีรอยขีดข่วนจากเล็บเลอะฝุ่นเลอะโคลน ดูจากสภาพเสื้อผ้ากับรอยช้ำรอบลำคอ รอยเขียวคล้ำบนต้นแขน
“โดนโจรขุดขึ้นมาแน่ ๆ”
เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวแต่ชัดเจนจนตัวเธอเองยังสะอึก โจรขุดศพที่เห็นในนิยาย มักจะขุดศพขึ้นมาเพื่อล้วงเครื่องประดับ ทองคำ หรือแม้แต่นำร่างกายของศพไปขายให้กับกลุ่มลัทธิมืด แต่ก็ไม่คิดว่าจะประสบพบเจอจริง ๆ กับตัวเอง ไม่สิ.. ร่างกายที่ตัวเองกำลังใช้งานอยู่ตอนนี้ มือเล็กกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ มือหนึ่งยกขึ้นลูบผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงคล้ายโดนกระชาก ก่อนปล่อยแขนลงข้างตัว
“คนที่เกิดใหม่ในร่างคนอื่นที่อ่านนิยายมามีแต่ไปเกิดเป็นคุณหนู ฮูหยิน ฮองเฮา ลูกสาวขุนนาง.. แล้วเหตุใดยัยเหยาเหยาผู้มาต้องมาเกิดเป็นศพ มิหนำซ้ำยังเป็นศพของคนไม่ดีด้วยนะ! ควรดีใจดีไหมนะ”
ปากก็พร่ำบ่นไปตลอดทาง ปะปนไปกับเสียงฝีเท้าที่ลากไปกับดินที่เริ่มแผ่วช้าลงเรื่อย ๆ ฝุ่นทางกรวดแห้งกรังเกาะข้อเท้าจนตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่าเหนื่อยเพราะเดินมานาน หรือเหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนกันแน่
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามที่พยายามลากสังขารเดินไปข้างหน้า แสงจันทร์เริ่มลอยขึ้นสูง ส่องให้เห็นแนวหลังคาเรียงกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ไม่ไกล
“หมู่บ้าน.. เจอหมู่บ้านแล้ว”
เสียงครางในลำคอเบาหวิวจนเกือบกลืนไปกับเสียงลมที่พัดเฉียดใบหู สองเท้าเร่งก้าวไปด้านหน้าเท่าที่แรงจะมี พาให้ตัวเองเข้าไปใกล้หมู่บ้านนั้น เมื่อมาถุงก็พบกับหมู่บ้านที่มีบ้านไม้เล็ก ๆ เรียงราย ประตูไม้เก่า ๆ ปิดสนิท ไฟจากตะเกียงในบ้านยังสว่างอยู่จาง ๆ ทำให้นางรีบเดินไปเคาะประตูอย่างคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขอโทษค่ะ.. มีใครอยู่ไหม”
เธอรออยู่นานแต่ประตูบ้านกลับไม่เปิดออกต้อนรับ ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าที่ขยับเดินอยู่ในบ้านแต่กลับไม่มีใครตอบ ไม่มีแม้แต่เงาคนแง้มหน้าต่างมามองด้วยซ้ำ
เธอสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างหมดแรง ไม่ได้แปลกใจหรืออะไรนักเพราะหากเป็นเธอก็คงไม่เปิดต้อนรับใครก็ไม่รู้ยามค่ำคืนเช่นกัน สุดท้ายสองเท้าก็พาร่างกายเดินเซไปเรื่อยจนมาถึงท้ายหมู่บ้าน ตรงมุมหนึ่งมีโรงไม้เก่า ๆ คล้ายโรงเก็บของหรือที่เก็บผลผลิตของชาวบ้านในฤดูเก็บเกี่ยว
บานประตูไม้เปิดแง้มอยู่เล็กน้อย มือเล็กถือวิสาสะดันมันเข้าไปเบา ๆ กลิ่นฟางแห้งผสมกลิ่นฝุ่นตีขึ้นจมูก เธอกวาดมองรอบ ๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่กองฟางหนา แม้มันจะไม่ใช่ที่นอนนุ่มนิ่ม แต่คืนนี้มันก็คือที่พักพิงแห่งเดียวที่เธอมี
สองเท้าเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วทิ้งตัวลงไปตรงนั้น โดยไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคู่นี้หลับลงอย่างเหนื่อยล้า เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ออกมาตอนไหน รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลซึมลงกับกองฟางโดยไร้เสียงสะอื้นเสียแล้ว มือเล็กกำเสื้อที่หลวมโพรกไว้แน่น สะโพกเบียดกับฟางแหลมอย่างไม่ใส่ใจ
ฮึก!
เสียงสะอื้นไห้ดังเบา ๆ ก่อนสติจะดับวูบ ร่างกายที่เหนื่อยล้าเกินจะฝืนปล่อยให้จิตหลุดไปในห้วงนิทราในยุ้งฉางเก่า ๆ
แสงแดดในยามเช้าสาดลอดผ่านหน้าต่างไม้ เข้ามากระทบลงบนใบหน้าขาวซีด แสงอุ่นแต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบ กลิ่นยาสมุนไพรลอยจาง ๆ คลุกเคล้ากับกลิ่นฟางแห้งที่ลอยมาจากนอกเรือน เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ กวาดตามองรอบห้อง
แต่ยังไม่ทันได้สำรวจจนทั่ว เสียงของประตูไม้ถูกเลื่อนเปิดออก มีเสียงไม้ลั่นเบา ๆ ตามน้ำหนักเท้าของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยหนึ่งใบ ชายหนุ่มบ้านนาอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ผิวคล้ำแดดแต่แววตาคู่นั้นดูซื่อไม่เลว เขาเหลือบมองเหยาเหยาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ
“ท่านตื่นแล้วเหรอ.. ตากับยายบอกให้ข้านำยามาให้ท่าน” เหยาเหยายังนิ่งเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหนและตัวเองควรจะเป็นใคร
“ข้าเจอเจ้าที่ยุ้งฉางท้ายหมู่บ้านเมื่อคืน ตอนนั้นเจ้าหมดสติไปแล้วข้าเลยให้หลานชายอุ้มเจ้ามาที่นี่” เสียงแหบแห้งของยายดังแทรกเข้ามาจากหลังชายหนุ่ม
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่เห็นสภาพแบบนั้นแล้วจะปล่อยไปก็กระไรอยู่ เจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ายายหวังอะไร ไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่สงสัย ไม่ได้ขับไสไล่ส่ง มีแต่ความรู้สึกห่วงใยในยามที่ฟัง เหยาเหยาเงยหน้ามองทั้งสอง แววตาเธอสั่นระริกคล้ายคนที่เจอเกาะกลางทะเลในวันที่ว่ายน้ำจนหมดแรง
“ขอบคุณ.. นะคะ”
คำว่าขอบคุณหลุดออกมาด้วยเสียงสั่น ๆ ยายไม่พูดอะไรมีเพียงแค่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนที่ท่านจะค่อย ๆ วางผ้าชุบน้ำบนหน้าผากเธอเบา ๆ
“เจ้าพักก่อนเถอะ หน้าตาก็ดูเรียบร้อย พูดจาก็ไม่หยาบกระด้าง ท่าทางจะไม่ใช่โจรผู้ร้ายหรอกเนอะ”
“ไม่ใช่.. ไม่ใช่โจรเจ้าค่ะ”
“ยายหยอกเล่น.. แล้วแม่หนูชื่ออะไรงั้นหรือ”
“ชื่อเหรอ..” เหยาเหยานิ่งเงียบพลางใช้ความคิด นางควรจะบอกชื่อไหนกับยายดีนะ จะละทิ้งเหยาเหยาแล้วใช้ชีวิตของฮั่วเฉาซีต่อไปในโลกนี้ หรือจะถือวิสาสะละทิ้งฮั่วเฉาซีแล้วใช้ชีวิตในนามเหยาเหยาต่อไปดี
“หรือได้รับบาดเจ็บจนจำอะไรไม่ได้หรือเปล่า ไหน! ยายขอดูหน่อย”
“เหยาเหยา.. ข้าชื่อเหยาเหยาเจ้าค่ะท่านยาย”