เสียงฝีเท้ากระทบพื้นฟุตบาทเป็นจังหวะ ส้นรองเท้าผ้าใบกระแทกพื้นราวกับเจ้าของร่างนั้นกำลังวิ่งหนีอันตรายแบบไม่คิดชีวิต เหยาเหยากระชับกระเป๋าสะพายไว้แน่น ลมหายใจหอบระคนเหนื่อยล้า ไม่ใช่เพราะเพิ่งลงจากไลฟ์สดขายของทั้งวัน แต่เพราะหัวใจมันล้าอย่างแปลกประหลาด เหมือนจู่ ๆ จะร้องไห้แต่ก็ดันไม่มีน้ำตาให้ไหล
“ก็แค่ไม่มีใครรออยู่ที่บ้านแล้ว จะคิดมากทำไมกันนะอาเหยา” เธอพึมพำกับตัวเองเหมือนคนที่ใกล้จะเสียสติ ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอย สองเท้ายังคงก้าวเดินไปด้านหน้าโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสัญญาณไฟจราจรนั้นเปลี่ยนสีไปแล้ว ปี๊ดดดดดด เสียงบีบแตรดังระงมไปทั่วท้องถนน เธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแสงไฟจากหน้ารถที่แล่นมาด้วยความเร็ว และแสงนั้นกระทบเข้าตาเต็มแรงทำให้ทุกอย่างขาวโพลน แล้วทุกอย่างก็ดับวูบเหมือนเทียนที่ถูกเป่า 'ความรู้สึกอึดอัดแบบนี้มันคืออะไรกัน' ทันทีที่เธอได้สติ ดวงตากลมได้ลืมขึ้นอย่างอยากลำบาก กลิ่นอับชื้นที่ไม่คุ้นเคยคือสิ่งที่ปลุกให้เหยาเหยานั้นลืมตาขึ้น แต่สายตาเธอกลับมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงความมืดที่ปิดทับเหนือใบหน้า อากาศหายใจที่น้อยอยู่แล้วเริ่มรู้สึกว่ามันน้อยลงจนหายใจติดขัด ร่างกายแน่นขนัดเหมือนถูกยัดอยู่ในที่แคบ ๆ “อะ แฮ่ก.. แฮ่ก.. นี่มันที่ไหนกันเนี่ย เราน่าจะโดนรถชนไหมนะ หรือว่าโรงพยาบาล” เมื่อเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเริ่มขยับได้บ้างแล้ว ปลายนิ้วก็เริ่มสัมผัสไปรอบข้าง ความสัมผัสแรกที่รู้สึก "ไม้เหรอ" รอยขรุขระบ่งบอกว่าน่าจะเป็นฝาไม้ นั่นยิ่งทำให้เธอตกใจสุดขีดจนต้องใช้เรี่ยวแรงที่มีดันตัวเองขึ้นตามสัญชาตญาณ ร่างกายนั้นขยับไม่ได้มากนัก แต่โชคดีที่ด้านบนนั้นถูกแง้มไว้ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้แม้แต่อากาศให้หายใจก็คงไม่มี ครืดดด เมื่อแสงจันทร์ส่องเข้ามาปะทะดวงตา ทำให้เธอต้องหยีตามองรอบตัว สายลมเย็น ๆ พัดผ่าน หอบกลิ่นดินชื้นโชยแตะจมูก เธอกวาดตามองรอบตัวอีกครั้งอย่างช้า ๆ คราวนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกชัดขึ้น ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ป้ายไม้เรียงรายหน้าหลุมศพ คล้ายจะมีชื่อสลักไว้ แต่ตัวอักษรเป็นภาษาจีนโบราณที่ดูไม่คุ้นตา ถึงจะอ่านออกเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “สุสาน.. เหรอ” เสียงของเธอช่างเบาราวกับว่ากระซิบ หลุดออกจากริมฝีปากซีดเซียว สายตาหวาดระแวงไล่ไปตามแนวหญ้า พุ่มไม้เตี้ย ๆ สลับกับหินศิลาสลักคำแปลก ๆ ทุกอย่างดูไม่คุ้นชินเลยสักอย่าง ไม่มีตึก ไม่มีถนน ไม่มีแม้แต่เสียงรถยนต์ “ฝันอยู่.. ใช่ไหมนะ” เธอพึมพำอีกครั้ง มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาประกบหน้าเบา ๆ ลูบไล้ผิวตัวเองราวกับจะปลุกให้ตื่น แต่ผิวที่สองมือสัมผัสได้นั้นมันกลับไม่ใช่ผิวของเธอ ความรู้สึกที่ทำให้รู้ว่าใบหน้านี้ผอมกว่าปกติ เธอยื่นมือมาส่องแสงจันทร์ก็เห็นว่ามันทั้งขาวทั้งซีดอย่างคนอดนอนมาหลายคืน ความงุนงงและอึดอัดทำให้เริ่มหายใจถี่ขึ้นอย่างคนที่หวาดวิตก “นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ใครเอาฉันมายัดใส่โลงแบบนี้ ใครเอาฉันมาไว้ที่นี่ แล้ว.. นี่มันร่างกายของใครกัน” เสียงเธอสั่นขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะพยายามทำสงบสติอารมณ์ตามฉบับที่ถูกครอบครัวสอนให้ใจเย็นมาตั้งแต่เด็ก ท่องอยู่เสมอว่าอย่าตกใจ อย่าเสียมารยาท แต่ตอนนี้ไม่มีบทเรียนไหนที่สอนให้เธอตื่นมาในโลงศพแล้วใจเย็นได้เลย “บ้าน่า.. เคยแต่อ่านนิยายเรื่องเกิดใหม่ ทะลุมิติ คงไม่ใช่หรอก.. ใช่มั้ย” เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เย็นเฉียบแล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีความตลกเลยแม้แต่นิดเดียว “อ๊ะ!” เหยาเหยานั่งลงคุกเข่ากับพื้นดินชื้น ๆ สองมือกดศีรษะเอาไว้เพราะตอนนี้เธอรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด ปวดที่ยิ่งกว่าตอนเป็นไม่เกรนหรืออากาศที่ร้อนกว่าฤดูร้อนในประเทศไทย “อะ.. อะไรน่ะ” หมอกควันสีขาวที่รวมตัวหนาแน่นค่อย ๆ จางออกในมโนความคิด ก่อนจะเผยให้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นตัวกลาง ทำให้รู้ได้เลยว่าเป็นความทรงจำของร่างนี้ไม่ผิดแน่ แต่ที่ไม่คาดคิดเลยก็คือความทรงจำในร่างนี้ ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันน่าจะเป็นแอมบาสเดอร์ห้องขังเป็นแน่ หากนี่เป็นร่างของนางจริงเจ้าของร่างนี้ในอดีตก็คือสตรีที่เน่าเฟะคนหนึ่ง "กรี้ดดดด" เธอยังคงนั่งกุมศีรษะกับภาพอดีตที่ย้อนกลับมาราวกับวิดีโอที่เร่งสปีด จนในที่สุดภาพสุดท้ายก็คือใบหน้าของชายผู้นั้น.. ชายผู้เป็นสามีที่ลงมือวางยาพิษจนนางตาย “หรือฉันตายไปแล้วจริง ๆ” เหยาเหยาลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองหลุมที่ตัวเองเพิ่งคลานขึ้นมา หญ้ารอบหลุมยังใหม่ราวกับว่าเพิ่งมีคนน้ำมาวางไว้ ป้ายไม้หน้าหลุมจารึกตัวอักษรอย่างชัดเจน เธอขยับริมฝีปากอ่านช้า ๆ “สุสาน.. ฮั่ว.. เฉาซี” ริมฝีปากซีดเม้มเข้าหากันแน่น นัยน์ตาฉ่ำน้ำอย่างกลั้นไม่อยู่ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง มองท้องฟ้าที่มีเพียงแสงสว่างจากจันทร์เสี้ยว และแสงดาวที่อยู่เป็นเพื่อน “บ้าไปแล้วแน่ ๆ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน” “ชีวิต.. บัดซบจริง ๆ”“ดีเจ้าค่ะ” เสียงหัวเราะของเด็กน้อยยังดังอยู่ในอ้อมแขน แต่แค่ครู่เดียวก็ถูกทำลายลงจากเค่อเค่อที่เดินมาทางด้านหลัง“คุณชายรอง.. ท่านผู้นำตระกูลซูมาเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นทำเอาบรรยากาศดูอึดอัดขึ้นมาทันที เฉาซีที่เพิ่งหอมแก้มเด็ก ๆ อยู่ชะงักนิ่ง ดวงตาของเธอหันมองซูอวี่ที่ก็มีแววเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ซูอวี่จะพยักหน้าเบา ๆ “ไปกันเถอะ” เขาเอ่ยพลางวางมือลงบนศีรษะของลูกแฝด“เจ้าทั้งสองต้องทำตัวดี ๆ รู้หรือไม่” สองเด็กน้อยพยักหน้า ยิ้มกว้าง“นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าสร้างด้วยมือเปล่า” ชายชราพึมพำกับตัวเอง ขณะจับจ้องชิ้นงานประณีตตรงหน้า น้ำเสียงเจือด้วยความภาคภูมิใจแต่ท่าทางของท่านแม่กลับแตกต่างไปเล็กน้อย เธอยืนนิ่งสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เอ่ยชมแต่อย่างใด แม้จะไม่ตำหนิ แต่ความเย็นชาที่แผ่ออกมาก็สัมผัสได้ จากนั้นทั้งหมดจึงถูกเชิญเข้าไปยังโถงรับรองหลังร้าน ที่ประดับเรียบง่ายแต่ดูภูมิฐาน พวกท่านดูเหมือนมีเรื่องราวที่อยากจะเอ่ยออกมาแต่ก็ยากจะเอ่ยและไม่นานนักท่านผู้นำตระกูลก็ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อเล็กก่อนจะวางไว้ตรงหน้าเขา กล่องไม้สีแดงที่ซูอวี่รู้ดีว่าด้านในนั้นมีตราป
ตอนที่ 27ความสำเร็จ“ใช่แล้ว! เราจะต้องหนีออกจากเรือนให้ท่านพ่อท่านแม่ตามหา” ว่าจบเด็กทั้งสองก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมกัน ซูไป๋ฮวาหยิบผ้าคลุมไหล่ตัวเล็กมาคลุมหัวตัวเอง ส่วนซูไป๋จื้อคว้าขนมแห้งจากในกล่องซ่อนใส่กระเป๋าเสื้อ แอบ ๆ ย่องออกทางหลังเรือนด้วยความชำนาญเหมือนวางแผนไว้แล้วนับสิบครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักดังแผ่วในขณะที่ประตูหลังบ้านเปิดออกผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนเมื่อฮั่วเฉาซีนั่นกลับมาจากร้านในช่วงเย็นเห็นแต่เรือนว่างเปล่า“ไป๋ฮวา! ไป๋จื้อ!” เสียงของเธอดังลั่นจนซูอวี่ที่กำลังนับเครื่องประดับในห้องเก็บของสะดุ้ง รีบวิ่งออกมาอย่างร้อนใจ เฟยเฟยและเค่อเค่อที่เพิ่งซักผ้าและทำอาหารเสร็จก็วิ่งเข้ามาหน้าตั้ง จนทุกคนชุลมุนวุ่นวายไปหมด“เห็นหรือไม่พี่บอกแล้วว่าแบบนี้ได้ผล” ใต้พุ่มไม้หลังเรือน เด็กแฝดสองคนกำลังนั่งซุกหัวกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น ดวงตาวาววับไม่ต่างจากขโมยตัวจิ๋ว“ท่านพี่ ดูสิ ไม่มีใครเห็นเลย ฮี่ ๆ ๆ” ไป๋ฮวาหัวเราะเสียงใส กำชายเสื้อคลุมไว้แน่นราวกับมันคือชุดพรางตัวชั้นดี“เงียบก่อน เดี๋ยวถูกจับได้” ไป๋จื้อยกนิ้วจุ๊ปาก ก่อนหยิบขนมแห้งในกระเป๋าเสื้อออกมาแบ่งกัน “เราต้องอยู่ให้ไ
และยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกันมากกว่านั้น เสียงล้อเกวียนบดถนนหน้าร้านก็ดังขึ้น เฉาซีที่ยืนอยู่หันไปมอง ก็เห็นว่าสองแฝดน้อยนั้นวิ่งออกจากประตูราวลูกศร เด็กทั้งสองตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น“ท่านพ่อกลับมาแล้ว!” เสียงนั้นดังก้องไปทั้งซอยหน้าร้าน ซูอวี่ในชุดเดินทางสีน้ำหมึกยังไม่ทันก้าวพ้นเกวียน ก็ถูกเด็กน้อยสองคนสวมกอดแข้งกอดขาอย่างแน่นหนา นางเองก็เดินออกมาช้า ๆ สีหน้าแสดงความดีใจ “กลับมาแล้วหรือ”“ข้ากลับมาแล้ว” เขายิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกชายหนุ่มสามคนที่ลงจากรถม้าตามหลัง “นี่คือช่างฝีมือที่ข้าพามา เป็นคนที่ข้าไว้ใจ” เฉาซีทักทายอย่างสุภาพ “ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ ฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ”หลังจากทักทายกันแล้วซูอวี่ก็เดินนำนางอ้อมไปทางหลังร้าน ซึ่งมีห้องหนึ่งที่จัดไว้สำหรับเก็บสินค้า และเมื่อเปิดหีบใบใหญ่ที่คนช่วยกันหิ้วลงมาวางเรียงตรงหน้า เฉาซีถึงกับกลืนน้ำลายเล็กน้อยเครื่องประดับภายในหีบแต่ละชิ้นราวกับเป็นสิ่งของจากวังหลวง ทองคำขัดเงา ไข่มุกสีชมพูเรื่อ รูปทรงประหลาดแปลกตา แต่กลับดูงามจับใจมีทั้งกำไลที่ฝังพลอยสีเขียวมรกต ลวดลายเป็นรูปเถาวัลย์พันกันอย่างประณีต ต่างหูที่หย
ตอนที่ 26เจียงฮวาเธอโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองหญิงสาวที่มาด้วย รูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวเนียนราวหยก ใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยเครื่องประดับคุ้นตา ท่วงท่าหยิ่งทะนงแต่สง่างามไม่เกินงาม และเมื่อมองชัด ๆ ก็ยิ่งทำให้เธอเบิกตากว้าง“เฉาซี” องค์ชายหลี่ซิวเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง“ข้าพาแขกคนสำคัญมาชมร้านของเจ้า” เขาหันไปทางหญิงสาวแล้วแนะนำต่อ“นางคือคุณหนูเซี่ย เซี่ยหวานหว่าน บุตรีคนโตแห่งจวนแม่ทัพตะวันออก เจ้าน่าจะพบนางแล้วใข่หรือไม่.. ข้าเคยเอ่ยกับนางว่ามีร้านเครื่องประดับของสหายที่มีรสนิยมแปลกใหม่ นางจึงอยากมาชมด้วยตนเอง”“เป็นเกียรติยิ่งนักที่คุณหนูเซี่ยมาเยือน ไม่ทราบว่าเครื่องประดับชุดนั้นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าชอบมาก งดงามยิ่งนัก”“เชิญท่านทั้งสองด้านในก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” เซี่ยหวานหว่านมองเฉาซีอย่างพินิจครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆหลังจากที่พาทั้งสองมาด้านใน สตรีสูงศักดิ์ได้นั่งลงอย่างสง่างามบนเบาะนุ่มในห้องรับรองด้านหลัง นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนขอบโต๊ะลายไม้หอม ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มด้วยแววตาเป็นประกาย“แม่นางเฉาฉี.. สินค้าหน้าร้านข้าดูหมดแล้ว แต่ข้าอยากชมสิ่งที่ยังไม่เผยต่อผู้ใด เจ้
หลังจากผ่านสนามรักอันร้อนระอุ ฮั่วเฉาซีได้เอนศีรษะพิงอกเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ปลายนิ้วลูบวนบนแผงอกเขาอย่างเผลอไผล ชายหนุ่มกอดเธอไว้แน่นมือข้างหนึ่งลูบเรือนผมของเธอเบา ๆ“หากร้านขายดีเช่นนี้อีกไม่ถึงครึ่งเดือน ของที่มีอยู่คงหมดแน่” เขาพูดเสียงแผ่ว ดวงตาทอดมองเพดานไม้เหนือหัวอย่างครุ่นคิด“ข้าไม่มีความรู้ด้านการทำเครื่องประดับเลย จึงจำเป็นต้องเดินทางไปพบพ่อค้าในต่างเมือง ข้ารู้จักช่างฝีมือดีอยู่หลายคน หากเราได้ตัวพวกเขามาช่วยร้านเราจะต้องดีขึ้นเป็นแน่” เฉาซีเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตาเขาช้า ๆ “ท่านจะออกเดินทางอีกหรือ” เขาหันมามองเธอแล้วยิ้มบาง ๆ ส่งให้ “ไปเพียงไม่นาน ข้าอยากให้ร้านนี้มีของดีมาขายอย่างต่อเนื่อง ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุขกับที่นี่” เฉาซีเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา“ซูอวี่.. หากข้าต้องการตัวอาเซี่ยท่านให้ข้าได้หรือไม่” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม“อาเซี่ยงั้นหรือ เจ้าหมายถึงทาสผู้นั้นที่อยู่บนเรือใช่หรือไม่”“ใช่” เธอพยักหน้า “ในตอนที่อยู่ใต้ท้องเรือ ข้าเห็นแบบเครื่องประดับที่นางเคยวาด มันละเอียดและสวยงามมาก หากได้ฝึกอีกหน่อยนางจะสามารถเป็นนักออกแบบของเราได้” เขานิ่งไ
ตอนที่ 25สตรีสูงศักดิ์หลังจากผ่านมื้ออาหาร นางได้พาเด็ก ๆ ขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้พวกเขาเข้านอนในห้องฝั่งขวา และหลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงส่งสัญญาณให้พี่เลี้ยงดูแลต่อสองเท้าเดินลงบันไดมาอย่างแผ่วเบา ภายใต้แสงจันทร์สลัวที่สาดผ่านหน้าต่าง เธอก้าวเข้ามาในโถงชั้นล่างที่เต็มไปด้วยหีบสินค้าต่างแคว้นกลิ่นหอมจากไม้หอมจาง ๆ ลอยมาแตะปลายจมูก ก่อนที่สองเท้าจะหยุดหน้าหีบใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้มุมผนัง เมื่อเปิดฝากล่องช้า ๆ แล้วแสงสีมุกก็สะท้อนแวววาวขึ้นมาทันทีไข่มุกจากแคว้นฉินที่ขาวนวลเหมือนหิมะ ก่อนจะเอื้อมไปเปิดหีบอีกใบที่ด้านในบรรจุมุกดำลึกจากทะเลทางใต้ ก่อนจะเปิดหีบอีกใบที่มีมุกสีชมพูอ่อนจากแคว้นเว่ย นางหยิบทุกอย่างมาวางเรียง ต่างหู สร้อย กำไล และปิ่นปักผมมาจัดเรียงแล้วพิจารณา“แม้จะดูแปลกตาไปหน่อย แต่เมื่ออยู่รวมกันกลับงดงามเพียงนี้เชียวหรือ” นางพิจารณาอยู่เพียงครู่ ก็นำสินค้าชุดนั่นไปวางลงบนชั้นโชว์สูงสุดตรงหน้าร้านแสงเทียนที่ส่องกระทบทำให้เครื่องประดับยิ่งดูโดดเด่น ขณะที่เธอกำลังถอยหลังดูผลงานอย่างพอใจนั้นก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดเธอจากด้านหลังโดยไม่ให้ตั้งตัวแต่เพ