“ผมบอกข้อดีของผมไปหมดแล้วนะ ตกลงเหมยจะคบกับผมแล้วใช่ไหมครับ” ตุลธรทวงคำตอบ
“หมอตุลย์บอกแค่ข้อดีของตัวเองนะคะแล้วข้อเสียล่ะ”
“ข้อเสียเหรอครับ” ชายหนุ่มทำท่าทางคิดหนัก
“ใช่ค่ะ หมอคงไม่มีแต่ข้อดีหรอกนะคะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับข้อเสียผมก็มีเหมือนกัน”
“เช่นอะไรบ้างคะ”
“เช่น ขี้หึง ขี้เหงาแล้วก็ขี้เอาครับ” ตุลธรยิ้มเจ้าเล่ห์หลังจากตอบข้อเสียขอสุดท้ายของตัวเองออกไป
“ขอสุดท้ายอะไรนะคะ” ปณิชาไม่แน่ใจว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่าเลยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ชี้เซาครับ” เขารีบแก้ตัว
“โล่งออกไปทีค่ะ”
“เหมยได้ยินเป็นอะไร”
“ช่างมันเถอะค่ะ” ปณิชาเห็นรอยยิ้มและท่าทางไม่ไว้ใจของเขาแล้วก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ผมบอกข้อดีและข้อเสียไปหมดแล้วนะครับทีนี้เหมยจะตกลงคบกับผมได้หรือยังล่ะ ถ้านับดีๆ ข้อดีผมมีมากกว่าข้อเสียนะครับ ถ้าปฏิเสธคงดูเป็นคนที่ใจร้ายไม่เหมาะกับเป็นพยาบาลแผนกเด็กนะครับ” ชายหนุ่มทวงคำตอบอีกครั้งเมื่อเห็นเธอเงียบไป
“ดูเหมือนว่าหมอตุลย์จะมั่นใจมากว่าเหมยจะตอบตกลงนะคะ”
“ผมรู้ว่ายังไงคุณก็ไม่มีทางปฏิเสธหรอก”
“เหมยก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้อดีที่หมอพูดมาทั้งหมดนั้นจะเป็นความจริงทุกอย่างหรือเปล่า” ปณิชาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะจริงทั้งหมดหรือเปล่าหรือแค่พูดให้เธอยอมตกลง
“ผมรับรองว่าทุกอย่างที่พูดคือความจริง” ตุลธรทำทีหน้าจริงจังมากขึ้นเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะไม่ยอมคบกับตนเอง
“หมอคิดไหมคะว่าถ้าเราคบกันแล้ว การคบกันของเรามันจะไปได้ไกลแค่ไหน”
“ผมไม่คิดหรอกครับว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน ผมไม่อยากกดดันทั้งผมและเหมย แต่ถ้าเราคบกันด้วยความจริงใจ เข้าใจกัน ผมว่ามันคงไปได้ไกลมากๆ แต่ดูเหมยจะกังวลมากไปแล้วนะครับบอกได้ไหมครับว่าเพราะอะไร”
“เพราะเหมยไม่ค่อยเหมือนคนอื่นไงคะ เหมยบอกหมอไปแล้วนี่ว่าเหมยต้องการคนที่เอาใจเก่ง ชอบสกินชิพแล้วหมอคิดว่าคนทำงานเยอะอย่างหมอจะทำได้เหรอคะ เวลาทำงานเหมยอาจจะดูจริงจังแต่บางครั้งเหมยก็แอบงี่เง่าค่ะ”
“ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ คนอย่างผมจริงจังกับทุกเรื่อง แล้วถ้าได้คบกันผมก็พร้อมจะให้เหมยอยู่ข้างๆ นะ”
“งั้นก็ตกลงค่ะ แต่เหมยลืมบอกหมอไปอย่างหนึ่งนะคะ”
“อะไรครับ”
“เหมยเป็นคนขี้หึงมากและจะโกรธมากถ้าหากว่าหมอขาดการติดต่อค่ะ”
“ผมรู้ว่าคุณเจออะไรมาบ้างและผมจะไม่ทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจแบบนั้นอีกเด็ดขาด”
“เหมยก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าทุกอย่างมันจะเป็นแบบนี้ได้นานแค่ไหน สักวันหมออาจจะเบื่อและก็หายไป แต่ถ้าถึงวันนั้นหมอต้องบอกเหมยตรงๆ นะคะ อย่าให้เหมยต้องคิดไปเอง”
“อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลยนะ ไหนๆ เราก็ตกลงคบกันแล้วมาดื่มฉลองกันหน่อยไหม” ตุลธรยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาชนกับอีกกระป๋องในมองของปณิชา
“เอาเบียร์เพิ่มไหมคะ ในตู้ยังมีอีกสองกระป๋อง”
“ครับ” ปณิชาเดินไปหยิบในตู้มาส่งให้เขาจากนั้นทั้งสองก็นั่งดื่มกันต่อจนหมด
“หมอคะนี่มันดึกแล้ว เหมยว่าหมอกลับห้องได้แล้วค่ะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นทำงานกันแต่เช้า”
“คุณเอาเบียร์ให้ผมกินจนเมาแล้วจะให้ผมเดินกลับห้องเหรอครับ ใจร้ายไปหน่อยไหม”
“หมอคะ เบียร์แค่นี้มันไม่เมาหรอกค่ะ” ปณิชารู้ทันว่าเขานั้นแกล้งเมา
“ถ้างั้นก็ขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกันนะ ผมว่าจะขอค้างที่นี่”
“ได้ค่ะ” ปณิชายิ้ม
“จริงนะครับ”
“ค่ะ แต่นอนที่โซฟานะคะ”
“ใครว่าพยาบาลเด็กใจดี แต่ทำไมดูเหมือนเหมยจะใจร้ายกับผมจัง”
“ก็หมอคิดไม่ซื่อ”
“ผมแค่อยากนอนเฉยๆ เองนะครับ ไม่ได้คิดทำอย่างอื่นเลย สัญญาด้วยเกียรติของหมอเด็กเลยว่าจะขอแค่นอนอย่างเดียวไม่มีทางทำอย่างอื่นแน่นอน”
“เหมยจะไว้ใจหมอได้ใช่ไหมคะ”
“แน่นอนสิคนอย่างผมไว้ใจได้” ตุลธรยืนยัยด้วยเสียงหนักแน่น
“งั้นก็ตกลงค่ะ”
“จริงนะ”
“หมอไม่ต้องยิ้มเจ้าเล่ห์หรอกค่ะที่เหมยตกลงให้หมอค้างกับเหมยเพราะถ้าหมอคิดจะทำอะไรหมอก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ก็หมายความว่าเหมยเป็นรอบเดือนค่ะ ต่อให้หมอคิดจะทำอะไรเรื่องแบบนั้นมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น” ปณิชารู้ว่าคืนนี้ตัวเองจะปลอดภัยเพราะไม่มีผู้ชายคนไหนจะนอนกับผู้หญิงที่กำลังมีรอบเดือนอย่างแน่นอน
“ผมไม่เคยคิดไกลขนาดนั้นเลยนะ แต่ในเมื่อคุณชี้ทางมาแล้วมันก็น่าลอง”
“อย่านะคะหมอใครเขาทำกันแบบนั้น” ปณิชาตกใจและขยับหนีเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ
“ผมก็แค่ล้อเล่นหรอกนะ อย่ากลัวไปเลย ผมว่าเหมยพาผมไปนอนได้แล้วนะครับ ผมเริ่มจะง่วงแล้วล่ะ”
“ไม่นอนที่โซฟาแน่เหรอคะ”
“พรุ่งนี้ผมต้องทำงานทั้งวันถ้านอนโซฟาคงปวดหลัง”
“ข้ออ้างเยอะจังนะคะ นี่เหมยเห็นว่าหมอมาชวนคุยแล้วทำให้สบายใจขึ้นหรอกนะคะถึงได้ยอมให้ค้างด้วย”
เพราะรู้ว่ายังไงคืนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตุลธรก็ไม่มีทางกลายเป็นอย่างอื่นไปได้ปณิชาเลยยอมให้เขาเข้ามานอนในห้อง
“หมอตุลย์จะแปรงฟันก่อนนอนไหมคะ”
“ห้องคุณมีแปรงสีฟันเผื่อไว้ด้วยเหรอ”
“อย่ามองเหมยอย่างนั้นสิ เหมยไม่เคยพามาใครมาค้างที่นี่แต่เวลาออกไปซื้อของก็มักจะซื้อเผื่อไว้เยอะๆ เพราะไม่อยากออกไปซื้อบ่อยค่ะ”
“ผมขออันหนึ่งนะ หมอจะเอาสีอะไรก็เข้าไปเลือกเองเลยค่ะ หมอเปิดลิ้นชักด้านบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าได้เลย ในนั้นมีของใช้จำเป็นอยู่หลายอย่างอยากใช้อะไรก็หยิบออกมาเลยค่ะ ส่วนผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กก็วางอยู่ในตู้ด้านบนค่ะ ดูแลตัวเองไปก่อนนะคะเดี๋ยวเหมยจะหาผ้าห่มมาเพิ่มให้ค่ะ” ปณิชาเดินไปเปิดตู้ที่เก็บผ้าห่มขณะที่หมอตุลธรก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
ไม่นานนักตุลธรก็กลับออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นปณิชากำลังจัดที่นอนโดยใช้หมอนกันไว้ตรงกลางเตียงนอน
“ให้ผมนอนฝั่งไหนครับ”
“แล้วแต่หมอเลยเลือกฝั่งได้ตามสบายเลยค่ะ”
“แล้วคุณชอบตะแคงซ้ายหรือขวาล่ะ”
“ซ้ายค่ะ”
“ผมขอนอนด้านซ้ายก็แล้วกันนะครับ เผื่อว่าดึกๆ เด็กคุณจะได้เผลอมากอดผมแทนหมอนข้าง”
“ไม่ทางหรอกค่ะ หมอนั่นแหละอย่าให้รู้นะคะว่าตอนเช้าตื่นมาแล้วข้ามหมอนข้างมาหาเหมย”
“มันก็ไม่แน่นะครับ ผมชอบนอนละเมอเสียด้วยซิ” ตุลธรหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“หมอตุลย์อำเหมยเล่นใช่ไหมคะ” ปณิชาเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดนั้นแค่พูดเล่นหรือเรื่องจริงยิ่งเห็นเขาหัวเราะก็ยิ่งระแวง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับเพราะตอนหลับแล้วคนเราก็ไม่รู้ตัวหรอกนะครับว่าทำอะไรลงไปบ้าง ยิ่งคืนนี้ผมกินเบียร์ไปตั้งสองกระป๋อง พอดึกๆ ผมอาจละเมอข้ามหมอนไปหาคุณก็ได้นะ”
“เหมยเปลี่ยนใจแล้วค่ะ หมอกลับไปนอนที่ห้องตัวเองดีกว่านะคะ”
“ผมแค่ล้อเล่นน่า เอาละผมจะนอนแล้ว ฝันดีนะเหมย” เมื่อบอกฝันดีแล้วเขาก็เอื้อมมือไปปิดไฟตรงหัวเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาก่อนจะหลับตาลงขณะที่ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มประดับอยู่