“เจ้ามาทำไม”
“คะคือข้า แค่แวะมาดู” ฟางเฟยได้ทีรีบขยับข้อมือหวังให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา และแทนที่หนานจวิ้นอ๋องจะปล่อยนาง เขากลับกำข้อมือของนางแน่นขึ้นอีกจนฟางเฟยต้องนิ่วหน้าจากอาการเจ็บแปลบที่ข้อมือ แต่กระนั้นก็มิได้ส่งเสียงร้องออกมาแต่อย่างใด
“เหอะ งั้นรึ แล้วรู้รึไม่ตอนนี้ข้าเป็นอันใด” เจิ้งหนานจงใจเอนกายเบียดประชิดนางตามอารมณ์ร้อนรุ่มในกายแกร่งของตนที่กำลังปะทุ ก่อนจะเอ่ยชิดกระหม่อมนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ดะโดนพิษ” ฟางเฟยเอ่ยตอบไม่เต็มเสียง ด้วยบัดนี้รับรู้ได้ว่าสิ่งที่นางนั่งทับอยู่นั้นเริ่มจะพองขยายตัว อีกทั้งหนานจวิ้นอ๋องเองยังเหมือนขยับถูไถมันไปมาเบา ๆ จนฟางเฟยที่ถูกกระทำเช่นนั้นบัดนี้ใบหน้าแดงก่ำอาบไปจนถึงใบหู
“เช่นนั้น เจ้ามาเพื่อยั่วยวนข้า” เจิ้งหนานกัดฟันเอ่ย ตอนนี้กลิ่นกายของนางกำลังรบกวนสติเขาเป็นอย่างมากและเขานั้นใกล้อดทนไม่ไหวเต็มที และเมื่อความต้องการถูกกระตุ้นในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ให้แก่มัน
“ม่ะช่ะ อ๊ะ อื้อ” ฟางเฟยยังมิทันได้โต้แย้ง ร่างของนางก็ถูกสับเปลี่ยนให้ไปอยู่ใต้ร่างของหนานจวิ้นอ๋อง ก่อนที่เขาจะเข้ามาทาบทับบดเบียดพร้อมทั้งจูบนางในทันที เสียงหวานหายเข้าไปในลำคอเมื่อถูกคนตรงหน้าครอบครอง เขาจูบนางอย่างร้อนแรงจนฟางเฟยมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนครู่ต่อมาจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง สายตาคมไล่กวาดมองสำรวจสตรีต้องหน้าช้า ๆ เนินเนื้อหน้าอกอวบอิ่มขาวใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีมากจนดูเกินตัว บัดนี้ถูกแผ่นอกแกร่งเขาทาบทับจนเนินเนื้อล้นออกมาจากเอี๊ยมตัวงามให้ได้เห็น
เพียงเท่านั้นภาพตรงหน้าก็ทำเอาเจิ้งหนานถึงกลับครางในลำคอออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะประกบปากจูบนางอีกคราอย่างเร่าร้อน รุนแรง มือหนายกขึ้นบีบคางนางแน่นเมื่อพบว่านางเริ่มต่อต้าน ปากหนาครอบครองริมฝีปากบางของนางอย่างมินึกประณีตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนของบุรุษเพศ เจิ้งหนานกดจูบริมฝีปากของนางลงไปหนัก ๆ และรุนแรงจนคนตัวบางใต้ร่างสั่นสะท้าน มืออีกข้างโอบเอวบางแน่น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นลูบไล้สำรวจเนื้อตัวที่นุ่มลื่นของนางไปทุกสัดส่วน จนมาหยุดอยู่ที่ทรวงอกใหญ่ของนาง มือหนามิรอช้าบีบขย้ำรุนแรงตามแรงอารมณ์จนฟางเฟยต้องร้องประท้วงเพราะความเจ็บ
“อื้อ” เสียงหวานครางพร้อมพยายามขัดขืนตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ หากแต่ก็มิอาจสามารถสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าที่บดเบียดอยู่เหนือร่างของนางในเวลานี้ได้แต่อย่างใด
“อื้ม อื้อ” ฟางเฟยพยายามร้องตะโกนเอ่ยต่อต้านหากแต่มันก็หายกลับไปในลำคอเมื่อถูกหนานจวิ้นอ๋องจูบอย่างดูดดื่ม เร่าร้อน ฟางเฟยที่มิได้คุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้มากก่อนนางจึงพยายามหลบหลีกลิ้นร้อนชื้นที่กำลังไล่เกี่ยวกระหวัดนางอย่างเอาเป็นเอาตาย
ด้านฝั่งเจิ้งหนานบัดนี้ครางคำรามในลำคออย่างนึกพึงใจกับความหวานล้ำของคนตรงหน้า บัดนี้เขารู้เพียงว่าเวลานี้อารมณ์เขาถูกนางปลุกปั่นจนไม่อาจยับยั้งมันได้อีกต่อไป
แฮ่ก ๆ
เสียงหอบหายใจของฟางเฟยเมื่อปากบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อปากร้อน ๆ ของเขานั้นบัดนี้เปลี่ยนเป็นดูดดึงอกอวบของตนอย่างเอาเป็นเอาตายจนเกิดเป็นเสียงที่ฟางเฟยได้ยินแล้วถึงกับใบหน้าแดงก่ำเห่อร้อนราวกำลังจะจับไข้ก็มิปาน ซ้ำมือหน้าอีกข้างยังบีบขย้ำปทุนถันของนางอีกข้างอย่างมิยอมแพ้เฉกเช่นกัน
“อื้อ อ๊ะ ทะท่านอะ อื้อ ปะ อ๊า ปะปล่อย อื้อ อ๊ะ ๆ อื้อ” เจิ้งหนานยิ่งได้ยินเสียงครางหวานหูเขายิ่งเกิดความฮึกเหิมราวกำลังออกทัพจับศึก ด้วยแรงอารมณ์ประกอบกับพิษปลุกกำหนัดทำให้เขาในเวลานี้รู้สึกต้องการสตรีตรงหน้าเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็มิรีรออีกต่อไป มือใหญ่กระชากกางเกงนอนตัวบางจนขาดหวิ่น จับแท่งหยกมังกรของตนถูไถกลีบบุปผาสีทับทิมของนางไปมาก่อนจะกดมันลึกเข้าไปและพบว่ามันช่างคับแคบยิ่งนัก จนเขาต้องก้มลงกัดบ่าขาวกระจ่างของนางเมื่อลำกายถูกบีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บและไม่อาจไปต่อได้จึงทำได้เพียงแช่แก่นกายนิ่งค้างเพื่อให้นางได้ปรับตัว
“กรี๊ด ท่านอ๋องฮึก จะเจ็บฟางเฟย ขะข้าฮื้อ เจ็บ ฮื้อ เอามันออกไปนะ ฮึก” ฟางเฟยผวาร้องเสียงหลง สติที่เลอะเลือนไปก่อนหน้ากลับคืนมาอย่างรวดเร็วอีกทั้งครบถ้วน
“อืม ข้าก็เจ็บ จะเจ้ารัดข้าแน่นเกินไปฟางเฟย อึก!”
เจิ้งหนานเห็นคนตัวเล็กผวากรีดร้องเสียงหลง ซ้ำบัดนี้ดวงตางดงามฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตา เห็นเช่นนั้นเจิ้งหนานจึงนำมือนางมาคล้องกอดเข้าที่คอหนาของตน ก่อนจะประทับจุมพิตปลอบประโลมอย่างเอาใจ ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เกิดมาเขามิเคยจุมพิตสตรีใด อีกทั้งยังไม่เคยต้องมานั่งเอาใจผู้ใดเฉกเช่นนี้มาก่อนทุกคราก็เพื่อทำ ๆ ไปให้จบเพื่อปลดปล่อยมิได้ใคร่สนใจนักว่าจะรู้สึกเช่นไรด้วยเพราะราคาที่เขาตกลงซื้อมานั้นแสนแพงและคุ้มค่ากับพวกนาง และเพียงหนึ่งไม่มีสอง แต่นี่เวลานี้เขากลับต้องมาปลอบประโลมนางที่เขาชังน้ำหน้าเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าเขานั้นก็ชื่นชอบในความหวานล้ำไปทั้งตัวของนางเฉกเช่นกัน ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะซ่อนรูปร่างไว้ถึงเพียงนี้ เห็นตัวเล็กผอมบางแต่ส่วนนั้นของนางช่างถูกใจเขายิ่งนัก อีกทั้งปากบางยังหวานล้ำ ไหนจะกลิ่นกายหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์หอมติดจมูกจนเขาอยากดอมดมชมเชยไปทั้งตัวนั้นของนางอีกเล่า ‘เจิ้งหนานนี่คงเป็นเพราะพิษยาปลุกกำหนัดกระมังเจ้าถึงได้หน้ามืดตามัวไปกับเสน่ห์ของนางเช่นนี้’ เจิ้งหนานพยายามยกเอาเหตุผลมาขัดแย้งกับความรู้สึกของตน
“อย่าเกร็ง ขะข้าเจ็บและเจ้าก็จะเจ็บ ผ่อนคลายซะเด็กดี” เจิ้งหนานเอ่ยปลอบคนใต้ร่างเสียงทุ้มกระเส่าแหบพร่า
ฟางเฟยได้ยินเช่นนั้นก็รีบผ่อนคลายทำตามโดยเร็วเพราะตอนนี้นางนั้นเจ็บจนแทบขาดใจ รู้สึกว่าร่างกายแทบปริแตก ใบหน้างดงามพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมทั้งทำตามอย่างว่าง่าย จนได้รับจุมพิตเร่าร้อนจากเจิ้งหนานเป็นการตอบแทนไปหนึ่งครา
“อื้อ”
เจิ้งหนานเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มสอดกระแทกแท่งหยกแกร่งเข้าไปสุดลำ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับเข้าออกเป็นจังหวะและเพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นรัวเร็วจนฟางเฟยบัดนี้ร้องครวญครางเสียงหวานจนฟังไม่ได้ความ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า ทะท่าน อะอ๋อง ระเร็วไปแล้ว อ๊ะ ๆ ๆ อื้อ อ๊ะ ๆ ” ฟางเฟยหลับตาแน่นอิงซบใบหน้าลงซอกคอหนา เมื่อคราถูกเจิ้งหนานโถมตัวเข้าหานางอย่างรุนแรงจนรู้สึกราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมซัดเรือจนแทบจมดิ่ง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นแข่งสายฝนแลเสียงต่อสู้ของคนภายนอกจนดังก้อง ถังน้ำขนาดใหญ่โยกไหวเสียดสีไปมากับพื้น น้ำเย็นในอ่างที่นางกำนัลเติมจนเต็มบัดนี้สาดกระเซ็นเปียกไปทั่วบริเวณ
ฟางเฟยบัดนี้หลงอยู่ในวังวนห้วงพิศวาสที่เจิ้งหนานเป็นคนนำพา ประกอบกับสัมผัสแนบชิดของบุรุษและสตรีที่น่าตื่นเต้น และไม่รู้แน่ว่าเขาและนางนั้นร่วมเดินทางหรรษานี้ไปนานมากน้อยเพียงใด รู้สึกตัวอีกทีนางก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงหลังใหญ่ของเขาเสียแล้ว
“ฮึก ๆ ” ฟางเฟยรู้สึกว่าเหตุใดตนเองช่างโชคร้ายนักนางแค่จะเดินมาดู สถานการณ์แต่ไยกลับต้องการมาเป็นสตรีของหนานจวิ้นอ๋องไปได้ บุรุษที่เกลียดนางอย่างกับอะไรดี ซ้ำไม่พอเขายังมีคู่หมายอยู่แล้วอีกด้วย ฟางเฟยฝืนก้าวเดินขาสั่นเทาลงจากเตียงใหญ่บัดนี้นางรู้สึกปวดร้าวระบมไปทั้งตัว ดวงตากลมโตที่อาบด้วยหยาดน้ำตามองดูเจิ้งหนานที่หลับไหลในห้วงนิทราด้วยดวงใจที่รวดร้าวและเจ็บปวด เหตุใดนางถึงได้โชคร้ายนัก สองมือเล็กยกปัดป่ายน้ำตาออกจากแก้มเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตน แต่ยิ่งปัดมันทิ้งฟางเฟยกลับพบว่ามันยิ่งไหลร่วงลงราวกับสายฝนก็มิปาน
ฟางเฟยเดินก้าวต่อขึ้นไปยังห้องส่วนตัวเพื่อตรวจบัญชีหลังไม่ได้มาสะสางนานเสียหลายวัน หลังจากมองหาผู้เป็นสามีและบิดามิพบนางนั่งสะสางบัญชีเพียงมินานก็มีมือใหญ่สอดเข้าโอบเอวนางจากด้านหลัง และกลิ่นนี้ท่าทางเช่นนี้นางรับรู้ได้ในทันทีว่าคือผู้ใด“ท่านอ๋อง” ฟางเฟยยิ้มอบอุ่นส่งให้ผู้เป็นสามีที่วันนี้การแต่งกายดูผิดแผกไปนัก อาภรณ์สีเรียบมองดูแล้วราวกับเป็นคุณชายตระกูลใหญ่สักตระกูลแต่ใบหน้าและท่าทางยังคงแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมาโดยรอบ“วันนี้เป็นวันหยุดข้าและท่านพ่อตา วันนี้พวกเราจึงมาช่วยเจ้าหนึ่งวัน” เจิ้งหนานเอ่ยจบก็ประทับจุมพิตที่แก้มนุ่มของนางไปหนึ่งคราหนัก ๆ“อืม เช่นนั้นรึเจ้าคะ เช่นนั้นหอเยว่เซียนของข้านี้นับว่าไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ มีคนงานเป็นถึงหนานจวิ้นอ๋องและเจ้ากรมพระคลัง แถมอดีตขันทีใหญ่อย่างเสี่ยวกงกงด้วยหนึ่งคน ฮึ ๆ” ฟางเฟยเอ่ยพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างขำขัน ก่อนจะพิงศีรษะเข้ากับแผ่นอกแกร่งของผู้เป็นสามีอย่างออดอ้อน สายตาก็ไล่อ่านบัญชีร้านไปพลาง ๆ“ก็เจ้านั้นวาสนาดีได้แต่งข้าเป็นสามีเช่นไรเล่า”“ท่านอ๋องเพคะ หวานจนเลี่ยนแล้ว” ฟางเฟยแกล้งเย้าสามีที่ระยะหลังมักป้อนคำหวานให้นางจนวัน
เป็นเวลากว่าบ่ายคล้อยที่ฟางเฟยตื่นขึ้นมา วันนี้นางมิต้องไปเคารพผู้ใดเจิ้งหนานเมื่อคืนเขากำชับนางไว้ว่าอีกสักสองสามวันค่อยเข้าวังไปเคารพไทเฮาและฮองเฮา ด้วยพระองค์ฝากความมาถึงว่าไม่เร่งรีบอันใดจวนอ๋องอยู่นอกวังการเดินทางก็ลำบากอยู่ พระองค์ยังไม่อยากรบกวนเวลาของสามีภรรยาเท่าใดนัก อีกอย่างเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีอะไรนัก“พระชายาตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเดินเข้ามารอท่าเตรียมรับใช้“แล้วเอ่อ...ท่านอ๋องเล่า” ฟางเฟยตื่นขึ้นมาก็ถามหาสามีเป็นอันดับแรก ส่วนซูหนิวนั้นนางรู้อยู่แล้วว่าคงไปดูแลหอบุปผชาติแทนนาง“เอ่อเข้าวังแต่เช้าตรู่พร้อมท่านเว่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พระองค์มีว่าราชการจึงฝากให้กระหม่อมดูแลพระชายาให้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเอ่ยด้วบใบหน้าแสดงความปิติยินดี เขายิ้มกว้างกว่าทุกคราที่ฟางเฟยเคยพบเจอ ก่อนจะหันไปเรียกนางกำนัลที่รอรับใช้สองคนมาช่วยพยุงนางที่ยังรู้สึกเจ็บร้าวบริเวณกึ่งกลางกายขึ้นพร้อมทั้งปรนนิบัติอาบน้ำ‘ให้ตายเถิดข้ามิน่าเหิมเกริมกับท่านอ๋องเลยจริง ๆ ข้าประเมินกำลังเขาต่ำไปมากนัก’ ฟางเฟยคร่ำครวญในใจก่อนจะนิ่วหน้าพร้อมทั้งหลุดเสียงครางน้อย ๆ ยามที่น
“อื้อ อะอ๊า ทะท่านอะอ๋อง อื้อ” ฟางเฟยบัดนี้ขยับสะโพกถูไถถ้ำบุปผาของตนเข้าบดเบียดกับหน้าขาแกร่งของเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงอารมณ์ที่กำลังจู่โจมนาง และยิ่งลิ้นหนาของเขาก้มลงดูดดึงแลบีบเคล้นปถุนถันคู่งามของตนอย่างหิวกระหายประหนึ่งทารกแล้วนั้นนางยิ่งทวีอารมณ์ปรารถนาในตัวเขารุนแรงยิ่งขึ้น นางนึกขัดใจเล็กน้อยที่วันนี้เขาไม่จู่โจมนางในทันทีกลับอิดออดไปเสียเช่นนั้นจนเมื่อนางใกล้เข้าใกล้จุดสูงสุดเวลานี้นายหญิงแห่งหอเยว่เซียนจึงเลือกเอาหนึ่งในวิชาสอนสตรีและกระบวนท่าในตำราร้อยบุตรขึ้นมาปรนนิบัติผู้เป็นสามีแทน ในเมื่อเป็นสามีภรรยากับแล้วก็ย่อมเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนั้นวันนี้นางจะให้เขาเป็นฝ่ายร้องขอ ในเมื่อเขาวันนี้ต้องการกลั่นแกล้งนางเช่นนั้นนางจะให้บทลงโทษแก่สามีรูปงานเองในวันนี้“อึก ๆ” เจิ้งหนานเวลานี้ตาเบิกกว้างเมื่อหวางเฟยตัวน้อยพลิกตัวขึ้นนั่งควบกดทับบนแท่งหยกแกร่งของตนแม้ยังไม่สอดใส่แต่เวลานี้เจิ้งหนานนั้นหัวใจแกร่งแทบทะลุออกมายังภายนอกอกแกร่งเข้าเสียแล้ว“ท่านอ๋อง...อะอื้ม...ท่านพี่...” ฟางเฟยก้มเอ่ยประชิดริมฝีปากหนาอย่างยั่วเย้า สะโพกนั้นก็หมุนควงคลึงแท่งหยกของเขาไปมาอย่างช้ำชองตามวิ
เช้าวันนี้นับเป็นวันที่ฤกษ์ดีและเป็นมงคลที่สุดในรอบหลายปีของจวนหนานอ๋อง ทั่วทั้งจวนประดับตกแต่งด้วยผ้าและข้าวของสีแดงทั้งจวนใหญ่แลถนนหนทางและด้านหน้าหอเยว่เซียนนั้นเต็มไปด้วยกระดาษสีแดงเขียนอักษรมงคลและคำอวยพร ฟางเฟยสวมใส่ชุดสีแดงปักลวดลายมงคลตระการตา ชุดนี้ไทเฮาประทานให้กับหลานสะใภ้หลวงเช่นนางด้วยพระองค์เอง ซึ่งหลังจากวันนั้นที่กลับไปไทเฮาก็ส่งช่างหลวงมาที่จวนมาวัดตัวนางละไม่นานชุดแต่งงานนี้ก็ถูกนางกำนัลประจำกองภูษานำมาส่งให้ในอีกสามวันต่อมา ร่างบางถูกพาเดินไปตามทางเดินศีรษะนั้นมีผ้าสีแดงปกคลุมอยู่ ด้วยความที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้นอาศัยอยู่ในจวนเดียวกันการรับตัวเจ้าสาวจึงเป็นเพียงการเดินข้ามตำหนักเท่านั้น แต่หนานจวิ้นอ๋องหลานรักไทเฮาและพระราชนัดดามีชื่อในฮ่องเต้เหยียนโจวแต่งพระชายยาทั้งทีจะให้น้อยหน้าได้เฉกเช่นใด ฉะนั้นแม้ไม่มีเกี้ยวแปดคนหามมาส่งเจ้าสาวแต่กลับเป็นสินสมรสพระราชทานจากวังหลวงทั้งจากฝ่าบาทและไทเฮาประทานมาให้คนทั้งคู่แทน ลือกันว่าหัวขบวนถึงจวนหนานอ๋องแล้วแต่ท้ายขบวนนั้นกลับพึ่งออกห่างจากกำแพงพระราชวังพียงไม่กี่จั้ง นับว่าเป็นงานมงคลที่จัดได้ยิ่งใหญ่และสมฐานะแลพระเกียรติอยู่ม
หลังไทเฮากลับไปค่ำคืนนี้นางตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างกับหนานจวิ้นอ๋องวันนี้จึงตั้งใจอาบน้ำตั้งแต่หัวค่ำก่อนจะนอนพักสายตารอเขากลับมาที่ตำหนักของตน“หืม หอมยิ่งนักข้าชักเสพติดเจ้าเสียแล้วกระมัง เหตุใดวันนี้นอนเร็วนักเล่า” เจิ้งหนานที่อาบน้ำเรียบร้อยก็ตรงเข้าไปก้มใบหน้าคมเข้มที่มีไรหนวดเคราขึ้นจาง ๆ อิงแอบซุกซบกับฟางเฟยที่นอนหลับตานิ่งบนเตียงในทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นตวัดให้นางนอนหนุนแขนแกร่งของตนแทน“อื้อ ท่านอ๋องมาแล้วหรือ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดคุยกับพระองค์เสียหน่อยเพคะ”“อืม เจ้าว่ามาเถอะ” เจิ้งหนานนอนหลับตานิ่งแต่มือหนายังคงลูบหลังนางเล่นไปมา“หากว่าพวกเรากราบไหว้เพียงฟ้าดินได้รึไม่” ฟางเฟยเอ่ยเสียงอู้อี้ใต้อ้อมแขนแกร่งเจิ้งหนานพอได้ยินฟางเฟยเอ่ยเช่นนั้นก็ถึงกลับชะงัก เขานิ่งพินิจความคิดของนางเพียงครู่ ก่อนจะบอกกล่าวถึงเหตุผลที่กระทำพิธีเรียบง่ายเช่นนางว่าไม่ได้“แต่หากว่าพระองค์แต่งข้าเป็นพระชายาแล้วเช่นนั้นข้าจะสามารถดูแลหอเยว่เซียนได้อีกรึไม่ เช่นนั้นจะไม่เสื่อมเสียไปถึงพระองค์หรอกหรือ รึไม่เช่นนั้นพวกขุนนางที่ยืนคนละฝ่ายกับพระองค์จะไม่...อื้อ” ฟางเฟยยังเอ่ยมิจบก็ถูกหนานจวิ้นอ๋องจุมพิตปิด
ฟางเฟยเวลานี้นั่งดื่มชาชมดอกบัวในเก๋งหลังใหญ่ ในมือบางนั้นถือม้วนราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือด้วยจิตใจล่องลอย หากแต่ใบหน้านั้นกลับสว่างวาบมุมปากแต้มประดับยิ้มน้อย ๆ“เอ๊ะ คุณหนูดูนั่นสิเจ้าคะ” ซูหนิวชี้ให้ดูสองบุรุษที่เดินเคียงข้างตามกันไปด้วยท่าทีพูดคุยหยอกล้อกันไปตลอดทางเดินให้ผู้เป็นนายได้มองชัด ๆ“นะนั่นท่านพ่อนี่ แล้วก็ท่านอ๋อง…” ฟางเฟยเห็นภาพบุรุษที่เริ่มซึมซับเข้ามาในใจนางขึ้นทุกวันก็พลันเกิดความอุ่นวาบขึ้นมาใจและนางมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะตัดสินใจแน่ชัดว่าต่อไปจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด‘ในเมื่อพระองค์ใส่ใจข้าและพิสูจน์ชัดแล้วว่ามิได้ไร้ใจ อีกทั้งเป็นที่พักพิงให้ข้าได้ยามข้ามีภัย นี่ก็เพียงพอแล้วกระมัง’ ฟางเฟยเมื่อคิดตกดีแล้วพลันถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลงในใจ เอาเถิดในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ย่อมไม่กลัวผลลัพธ์“แม่นางเว่ย ๆ แฮ่ก ๆ” เสี่ยวกงกงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหานางถึงด้านในเก๋งหลังใหญ่ ขันทีวัยกลางคนมีสีหน้าแตกตื่น ก่อนเขาจะยืนหอบหายใจเพียงครู่ก็ละล่ำละลักเอ่ยกับนาง“ทะไทเฮาเสด็จขะขอรับ แฮ่ก ๆ เกรงว่าพระองค์จะตั้งใจมาพบท่านกระมัง ทะท่านรีบไปเถิด”“ฮ่ะห๊ะ ทะไทเฮาเสด็จมาเช่นนั