ชาติที่แล้วของพระเอกอาภัพจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ก่อนตายจึงได้พรความสุข สมหวัง จากนางเอกที่เป็นเซียนดอกท้อ พระเอกมาเกิดใหม่เป็นหมาป่า แต่โชคชะตาไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเบื้องหลังอันมืดมนยังคงตามติดตลอดเวลา คอยพรากครอบครัวกับคนรักของพระเอกในทุกชาติ และครั้งนี้พระเอกจะไม่ยอมให้เรื่องราววนเวียนแบบเดิมอีกต่อไป
View Moreณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบ
แม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเอง
ราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมา
ทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั้นมา เช้านี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย นางคอยเดินสำรวจโคมดวงจิตทีละดวงไม่ขาดตกบกพร่อง และคอยตรวจตราม่านเขตแดนไม่ให้มีรอยชำรุด ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งตลอดช่วงเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้าง ๆ โคมดวงจิตดวงหนึ่งที่นางประคบประหงมดูแลเป็นพิเศษ
“เจ้าโคมน้อย วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” หยางซือซือทักทายโคมดวงจิตอย่างที่ทำเป็นประจำ นางเคยถามผู้เฒ่าหยางว่าโคมนี้เป็นของเทพเซียนใด ถึงได้มีแสงริบหรี่ต่างจากโคมดวงอื่น ๆ นัก แต่ผู้เฒ่าหยางเองก็ไม่สามารถตอบนางได้ ทุกวันนี้นางจึงได้แต่เฝ้าดูแลและอธิษฐานให้เจ้าของดวงจิตนี้ผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แล้วกลับดินแดนสวรรค์ดังเดิม ภารกิจอันยาวนานของผู้เฒ่าหยางจะได้สำเร็จลุล่วงหมดห่วง
หยางซือซือกำลังนั่งพูดคุยกับโคมดวงจิตเพลิน ๆ นางได้ยินเสียงกระดิ่งดังมาจากหน้าตำหนัก พลันรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างดงามของนาง
“เซียวอวี้เทียน เจ้ามีเวลามาเยี่ยมข้าแล้วหรือ” น้ำเสียงของนางดูจะตัดพ้อเล็กน้อย เซียวอวี้เทียนเป็นสหายเซียนเพียงคนเดียวของนาง พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อร้อยปีก่อน ขณะกำลังตามหาของบางอย่าง ครั้งนั้นนางดีใจอย่างมากที่ได้พบเจอผู้อื่นบ้าง ด้วยหน้าที่สำคัญทำให้นางละทิ้งตำหนักแห่งนี้ไปที่ใดไม่ได้เลย
ส่วนเซียวอวี้เทียนเองก็รู้สึกได้ว่าหยางซือซือดูเป็นคนจิตใจดี ทั้งยังพูดคุยถูกคอจึงนับถือเป็นสหายเซียนคนสำคัญและมาเยี่ยมเยียนนางอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ตำหนักของเขาอยู่ห่างไกลคนละฝั่ง
“อย่าเพิ่งโกรธข้าไปเลย ดูนี่สิ ข้ามีของบางอย่างมาให้เจ้าด้วยนะ” เขายิ้มกว้างแล้วยื่นลูกแก้วกลม ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือออกไป
“ไม่มาหาข้าตั้งเกือบเดือน เจ้าคิดจะง้อข้าด้วยวิธีนี้อีกแล้วใช่หรือไม่” หยางซือซือมองหน้าเขาก่อนจะหันมาสนใจของขวัญที่อยู่ตรงหน้า นางหรี่ตามองทางซ้ายทีขวาที ถามเขาอีกครั้งด้วยความสงสัย “เซียวอวี้เทียน สิ่งนี้คืออะไรหรือ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่คนเดียวคงจะเหงา” เซียวอวี้เทียนใช้นิ้วชี้เคาะไปที่ลูกแก้วเบา ๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นมา ไม่นานนัก กระต่ายเวทสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนกระโดดดึ๋ง ๆ รอบพวกเขา นางเอื้อมมือสัมผัสกระต่ายเวทตัวนี้อย่างแผ่วเบา เขาเห็นสีหน้าของหยางซือซือในเวลานี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ บอกนางว่า “ต่อไปนี้ ถ้าเจ้าต้องดูแลกระต่ายเวท คงไม่มีเวลามานั่งเหงาแล้วล่ะ”
“ขอบคุณเจ้ามากนะ นี่เซียวอวี้เทียน ไหน ๆ เจ้าก็มาเยี่ยมข้าแล้ว วันนี้ไปดื่มชาดอกท้อที่ผาน้ำตกกันดีหรือไม่ ดูท่าทางเจ้ามีเรื่องกลุ้มใจ” หยางซือซือสังเกตเห็นสีหน้าของเขาดูกังวลคล้ายมีเรื่องปิดบังนาง
“ไม่มีอะไรเสียหน่อย เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ไปนั่งคุยกันต่อที่นั่นดีกว่า ตอนมาที่นี่ ข้าเห็นกลุ่มก้อนเมฆสะท้อนสีรุ้งจาง ๆ ด้วยนะ เจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ”
“ทำไมเพิ่งจะบอกข้าเล่า รีบไปกันเถอะ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ขอข้าร่ายเวทม่านเขตแดนอีกสักรอบ” หยางซือซือพูดจบก็วาดนิ้วในอากาศพลันสายเวทปรากฏขึ้นโอบล้อมตำหนักอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งสองคนมักจะมาดื่มชาดอกท้อและนั่งเล่นที่ผาน้ำตก ดูก้อนเมฆสีรุ้งด้วยกันบ่อย ๆ เซียวอวี้เทียนจึงรู้สึกสบายใจทุกครั้งยามที่เขามาหานาง แม้จะมีเรื่องราวให้กังวลใจ เขาก็เลือกที่จะลืมไปชั่วคราวราวกับเรื่องนั้นไม่สลักสำคัญ ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของหยางซือซือพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“เซียวอวี้เทียน กระต่ายเวทของเจ้าน่ารักจริง ๆ ดูสิ” หยางซือซืออุ้มกระต่ายตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด ท่าทางขี้อ้อนทำให้นางรู้สึกเอ็นดู “เจ้ามีอะไรในใจหรือไม่ ข้าพร้อมรับฟังทุกเรื่อง” นางถามเขาตรง ๆ แน่นอนว่านางพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
“ไม่รบกวนเจ้าหรอก ข้าจัดการได้” เขาปฏิเสธเพราะไม่กล้าบอกนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องผ่านไปได้ ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วย ขอแค่เพียงเอ่ยปาก ข้าย่อมยินดี” หยางซือซือยิ้มกว้างเป็นกำลังใจให้เขา นางไม่ได้รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าและใบหูของเขาแดงขึ้นจนต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อน
ราวกับช่วงเวลานี้สงบจนเกินไป จู่ ๆ ทั้งคู่ก็เห็นแสงกลม ๆ สีแดงลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงหวีดยาวดังขึ้น พร้อมกับเงาสีแดงตัดผ่านหน้าพวกเขาตามเจ้าก้อนกลมนั้นไปติด ๆ เงาสีแดงนั้นเคลื่อนที่พร้อมกับพลังอันรุนแรง จนสายลมพัดมากระทบตัวทั้งสองคนเซไปด้านหลัง หยางซือซือพยายามเพ่งมองตามเงาสีแดงแล้วนึกได้ว่ามันกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่ตำหนักของนาง
“แย่แล้ว!” หยางซือซือรีบลอยลิ่วตรงกลับไปที่ตำหนักพร้อมกับเซียวอวี้เทียน
“นั่นวิหคเพลิง หยางซือซือเจ้าถอยออกมา” เซียวอวี้เทียนห้ามไม่ให้นางเข้าไปใกล้เพราะกลัวจะได้รับบาดเจ็บ เขาร่ายเวทเพื่อจับวิหคเพลิงให้อยู่นิ่ง ๆ หากแต่เจ้าสัตว์พาหนะตัวนี้พละกำลังไม่น้อย คนที่ควบคุมมันได้มีเพียงเจ้านายของมันเท่านั้น
หยางซือซือไม่ฟังคำของเขา นางรีบเข้าไปที่ใจกลางตำหนักเพื่อร่ายม่านป้องกันโคมดวงจิตโดยไม่ทันระวังตัว วิหคเพลิงบินโฉบเข้ามาหานาง เปลวไฟที่อยู่รอบตัวมันกระทบกับแขน ร้อนลวกผิวจนนางเผลอร้องออกมา
“โอ๊ย!” เสียงร้องของนางทำให้เซียวอวี้เทียนตกใจมากกว่าเดิม เขาเปลี่ยนใจร่ายเวทขั้นสูงเพื่อจับมัน แต่วิหคเพลิงยังคงดื้อดึง พยายามหนีจากการจับกุมของเขา บินโฉบไปมาด้วยความเร็วดังสายฟ้าแลบ ทุกครั้งที่วิหคเพลิงกระพือปีก กระแสลมหนักแน่นสายหนึ่งก็จะพัดตามมาเป็นระลอก เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันตั้งตัว แววตาของหยาง ซือซือสั่นระริก นางมองไปที่โคมดวงจิตใจกลางตำหนัก ไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรเพื่อรักษาเปลวไฟไม่ให้ดับมอด
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ
TW : ความรุนแรง วัยเด็กในอดีตชาติเมื่อเซี่ยวอวี้เทียนถอนดาบครั้งที่สามจากร่างของเจียลี่ นางกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ล้มลงไปตามแรงนอนแน่นิ่งกับพื้น น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด จากนั้นภาพตรงหน้าก็ดับลงหลินเซินที่อยู่ในความฝันรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องกับเจียลี่ เขาเจ็บแปลบที่หน้าอกอยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นเดินกระวนกระวาย ในใจเศร้าระทมไม่รู้ตัวแต่ไม่อาจทำอะไรได้มากจู่ ๆ แสงจากหิ่งห้อยตัวหนึ่งก็ลอยเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด พลันภาพอดีตของหลินเซินฉายซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นอดีตชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เสิ่นชิวหมู่บ้านเล็ก ๆ บนที่ราบอันเขียวขจี เขาเห็นเด็กชายตัวน้อยที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะกำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน พ่อและแม่ของเขากำลังช่วยกันรดน้ำแปลงผักในสวนข้างบ้าน สีหน้าทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสรับกับสภาพท้องฟ้าสีครามฤดูใบไม้ผลิครั้นตกกลางคืน ครอบครัวนี้กำลังจะนอนหลับใหลต้องตื่นตกใจเพราะเสียงระฆังเตือนภัยดังเหง่งหง่าง ผู้เป็นพ่อเปิดประตูออกมาข้างนอกเห็นภาพของโจรป่านับสิบคนกำลังบุกเข้าไปค้นหาเหยื่อทีละบ้าน ๆเขารีบกลับเข้ามาข
“น่าเสียดายอีกแล้ว เจ้านี่โชคดีอะไรเช่นนี้” เสียงลึกลับพูดกับเจียลี่ จนทำให้นางนึกในใจ นี่น่ะหรือโชคดี ถ้าโชคร้ายจะขนาดไหน“ทำไมนางถึงเป็นเช่นนั้น” เจียลี่ได้โอกาสถามเขา ไหน ๆ ก็ไม่มีทางหนี อย่างน้อยถ้าจะตายควรได้รู้ความจริงเผื่อจะช่วยใครได้บ้าง“ข้าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าน่ารำคาญ”“จะบอกก็บอก ไม่ต้องลีลาให้มากนัก” เจียลี่รู้สึกคิดผิดที่ถามเขาไปเช่นนั้น“เจ้ามนุษย์อ่อนด้อย ถ้าไม่ติดว่าเจ้ามีพันธสัญญาเลือด ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ามานั่งว่าข้าเช่นนี้หรอก” น้ำเสียงของเขาโมโหขึ้นมาไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดใจ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เจ้าตั้งใจฟังข้า”สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมเล่าให้นางฟัง อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาทำให้เจียลี่ละเหี่ยใจแต่ก็ต้องกัดฟันนั่งฟังให้จบซิ่วอิงมีทั้งข้อผูกมัดคำสาปและพันธสัญญาเลือดระหว่างนางกับเขา ทางเดียวที่จะช่วยเยี่ยนฟาง รวมถึงเซียวอวี้เทียนก็คือต้องฆ่าเขาเท่านั้น“ต้องทำเช่นไรถึงจะฆ่าเจ้าได้” เจียลี
ทันใดนั้นเหล่าลูกสมุนของคนผู้นั้นก็ขึ้นมาจากกองกระดูกด้านล่าง พลังมืดปกคลุมรอบตัวส่งกลิ่นอายความกระหายเลือดเนื้อของคนเป็น เจียลี่บาดเจ็บจากการโจมตีครั้งสุดท้ายมากนัก นางพยายามคลานหนีจากหุ่นเชิดสังหารแต่แรงที่มีกลับถดถอยลงเจียลี่เห็นอาวุธแหลมคมกำลังพุ่งมาทางนาง ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพลิกตัวหลบ คิดในใจว่าสายไปเสียแล้ว ชีวิตของนางคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ นางหลับตาพร้อมยอมรับชะตากรรมจู่ ๆ มีดบินสามเล่มก็กระทบกับลูกธนู เยี่ยนฟางเหลือบเห็นเหตุการณ์พอดีจึงช่วยนางไว้ได้ทัน“ท่านพี่!” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยนฟาง เจียลี่ลืมตาขึ้นถอนหายใจ แล้วเสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง“เฮ้อ น่าเสียดาย ๆ” เขาดูจะพอใจที่ได้เห็นเรื่องราวความเป็นความตายของผู้อื่นยิ่งนักเยี่ยนฟางที่เห็นสภาพของเจียลี่เช่นนั้น พยายามหลบหลีกจากการปะทะกับซิ่วอิงให้เร็วที่สุด แต่นางกลับกัดไม่ปล่อย ซิ่วอิงไม่เปิดจังหวะแม้แต่น้อย นางจึงตะโกนบอกหมิงเฟยให้ร่ายม่านเขตแดนปกป้องเจียลี่เพราะพลังเซียนของนางกำลังถดถอยเมื่อมีม่านเขตแดนของหมิงเฟยเป็นเกราะกำบัง ลูกสม
Comments