และที่ท่านพ่อ ท่านแม่เอ่ยไว้ว่าจะพาเยว่ชิงไปให้หมอตรวจนั้น มิได้พูดหยอกเย้ากันเท่านั้น เพราะตอนนี้เยว่ชิงกำลังนั่งหน้างออยู่ในรถม้า ทั้งที่นางควรจะได้ไปตั้งร้าน เรียกลูกค้าช่วยพี่ชาย แต่นางกลับต้องมานั่งจุมปุกอยู่ในรถม้าเพื่อเดินทางไปหาหมอ
เห้ออออ ไม่น่าเอ่ยสิ่งที่โตเกินวัยออกไปเลย
“ถึงแล้ว พวกเราลงไปกันเถิด” ลู่หวังเหล่ยมองลอดออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าถึงเรือนของท่านหมอแล้ว จึงได้หันมาบอกกับภรรยาและบุตรสาว เยว่ชิงยื่นแขนให้บิดาอุ้มลงจากรถม้าทั้งที่ยังทำหน้าบูดบึ้ง เด็กน้อยยกมือขึ้นกอดอกอย่างขัดใจ ท่าทางของบุตรสาวทำเอาลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งถึงกับส่ายหน้า
“มาถึงแล้วหรือใต้เท้าลู่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยทักใต้เท้าลู่ ดูจากท่าทางและการแต่งตัวแล้ว เยว่ชิงคิดว่าเป็นท่านหมอไม่ผิดแน่
“ขอรับท่านหมอ นี่ภรรยาและบุตรสาวข้าขอรับ” ซูเมิ่งและเยว่ชิงต่างก้มคำนับอย่างนอบน้อบ แม้เยว่ชิงจะแง่งอนท่านพ่อ ท่านแม่ แต่อย่างไรก็มิอาจทำให้สกุลลู่ขายหน้าได้
“คำนับท่านยุงหมอ”
“ฮ่าๆ นี่ข้ากลายเป็นยุงเสียแล้วหรือนี่ มาเถิดๆ ให้ยุงหมอดูหน่อยเถิดว่าเจ้าเจ็บป่วยที่ใดหรือไม่” ท่านลุงหมอเดินนำเยว่ชิง ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งไปในห้องสำหรับตรวจผู้ป่วย เดิมทีลู่หวังเหล่ยได้นำเรื่องราวของเยว่ชิงมาปรึกษาหมอผู้นี้แล้ว แต่ท่านหมอเองก็มิอาจวินิจฉัยได้ว่าเยว่ชิงเป็นอันใด จึงขอให้ลู่หวังเหล่ยพาเยว่ชิงมาให้เขาตรวจด้วยตนเอง ท่านลุงหมอตรวจชีพจรตรงข้อมือของเยว่ชิงสักพักก็ปล่อยมือ
“เยว่ชิงใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” จะมาไม้ไหนนะ แล้วนางควรตอบอย่างตรงไปตรงมาหรือว่าจะแกล้งทำเป็นเด็กน้อยดี
“ท่านพ่อของเยว่ชิงเคยบอกลุงว่า เยว่ชิงพูดเก่งมากเลยหรือ”
“เก่งมาก เยว่ชิงพูดเก่ง คิดเก่ง อ่านอักษรต่างๆ เข้าใจ อ่านตำยาของพี่ใหญ่ก็เข้าใจด้วย”
“เช่นนั้นเยว่ชิงอ่านตำรานี้ให้ลุงหมอฟังจะได้หรือไม่” ท่านหมอยื่นตำราเกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์ให้เยว่ชิงลองอ่าน เยว่ชิงเปิดตำรานั้นแล้วเริ่มอ่านและตีความมตามที่เข้าใจ เพราะตำรานี้หากเทียบกับในชีวิตก่อนก็เป็นเพียงความรู้วิชาชีววิทยาในระดับมัธยมปลายเท่านั้น
“โอ้โห เก่งกาจเสียจริง อ้อ…แล้วคำพูดต่างๆ เล่า เยว่ชิงไปเลียนแบบมาจากผู้ใดหรือ” ท่านลุงหมอผู้นี้ถามซอกถามแซกเกินไปแล้ว
“เอามาจากตำยา บางคำก็คิดเอง ว่าแต่ท่านยุงหมอรู้จักคำว่า อัจฉริยะ หยือไม่ เยว่ชิงเคยอ่านเจอในตำยา”
ต้องขออภัยท่านลุงหมอแล้ว เยว่ชิงขอชักนำคำวินิจฉัยของท่านลุงหมอเสียหน่อยนะเจ้าคะ
“อะ อัจฉริยะงั้นหรือ ใช่ผู้คนที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าผู้คนทั่วไปหรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ แล้วท่านยุงหมอมิคิดว่าเยว่ชิงอาจจะเป็นเช่นนั้นหยือ” เยว่ชิงยกยิ้มกว้างให้ท่านลุงหมอ แต่ในใจกำลังเอ่ยขออภัยผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านต่างๆ เยว่ชิงรู้ดีว่าผู้ที่เป็นอัจฉริยะต้องมีความพยายามและเก่งกาจมากเพียงใด แต่นางในตอนนี้เพียงอาศัยความรู้เดิมจากชีวิตก่อน มิอาจเอ่ยได้ว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะ
ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ หากมิทำเช่นนี้ทุกคนก็จะมิหยุดสงสัย
“…” ท่านหมอถึงกับนิ่งอึ้งกับคำเยินยอตนเองของเด็กน้อยผู้นี้ แต่หากฟังจากคำพูดของใต้เท้าลู่และจากที่ได้พูดคุยกับเยว่ชิงแล้ว จะเอ่ยว่าเด็กผู้นี้เป็นอัจฉริยะก็ไม่แปลกเลยสักนิด ทั้งความสามารถด้านการอ่าน การทำความเข้าใจ และการพูด ถือว่าต่างจากเด็กในวัยสามหนาวลิบลับ
“หึๆ นั่นสินะ ใต้เท้าลู่ ฮูหยินลู่ ข้าคิดว่าพวกท่านคงมิต้องกังวลเรื่องของบุตรสาวท่านแล้ว นางมิได้มีความเจ็บป่วยทางกายหรือทางจิตใจแม้แต่น้อย นางเพียงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ความคิด ความอ่านมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเท่านั้น ถือว่าพวกท่านโชคดีแล้ว ที่มีบุตรสาวที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้”
“ขอบพระคุณท่านยุงหมอที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” เยว่ชิงยกยิ้มให้ท่านลุงหมอของนางจนหน้าบาน เพียงเท่านี้ท่านพ่อท่านแม่และคนในครอบครัวของนางก็จะไม่แปลกใจในความสามารถที่เกินวัยของนางอีกต่อไป เท่ากับว่า…ต่อไปนางมิต้องระมัดระวังคำพูดแล้ว
เอ่อ ว่าแต่ที่ผ่านมานางได้ระวังคำพูดบ้างหรือไม่นะ? แหะๆ ดูจากที่ท่านพ่อพามาพบท่านลุงหมอแล้ว…คงไม่สินะ
หลังจากที่อยู่พูดคุยกับท่านลุงหมอแล้วเสร็จ ลู่หวังเหล่ยก็พาภรรยาและบุตรสาวกลับเรือนทันที แต่ดูท่าแล้วทั้งลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจะพบกับปัญหาใหญ่เพราะตลอดทางบุตรสาวตัวน้อยนั่งกอดอกนิ่ง มิยอมเอ่ยสิ่งใดกับพวกเขาแม้แต่น้อย กว่าทั้งสามจะมาถึงเรือนก็ได้เวลาทานมื้อเย็น ทั้งเฉินกง หมิงยู่ และลี่อินต่างมานั่งรอที่ห้องโถงกันพร้อมหน้า
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านพ่อ ท่านหมอได้บอกหรือไม่ว่าน้องเป็นอันใด” เฉินกงที่เห็นบิดาเดินนำมารดาและน้องสาวมาจึงได้เอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ ท่านหมอบอกว่าน้องของพวกเจ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ เป็นพวกที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถือเป็นโชคดีของครอบครัวเราที่มีน้องสาวฉลาดหลักแหลม” ลู่หวังเหล่ยนั่งลงประจำที่ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที
“และท่านพ่อก็เสียเงินไปเปล่าประโยชน์ ค่าจ้างท่านยุงหมอเสียไปเกือบหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ” เยว่ชิงนั่งจ้องหน้าบิดาเขม็ง
“เอาเถิด เรามาทานข้าวกัน เยว่ชิงลองทานเนื้อตุ๋น แม่ให้แม่นมลี่ตุ๋นทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เนื้อคงนุ่มน่าดู” ซูเมิ่งและทุกคนต่างพยายามง้องอนเยว่ชิงตัวน้อยให้หายโกรธเคืองพวกเขาที่รบเร้าให้เยว่ชิงลองไปพบท่านหมอ
“อืม ยสดีๆ หากเปิดเป็นเหลาอาหารคงได้เงินไม่น้อย” เยว่ชิงเปรยออกมาอย่างมิได้คิดสิ่งใด แต่ทว่าทุกคนกับชะงักกับคำพูดนั้น
“เหลาอาหาร!!!”
“เยว่ชิง เจ้านี่สมกับที่เป็นเด็กอัจฉริยะเสียจริง”
“…” เยว่ชิงนั่งอ้าปากหวอ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าตนได้พูดสิ่งใดออกไป แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเหล่าพี่ชายของนางนั้นคิดสิ่งใดอยู่
หากว่าเปิดเหลาอาหารที่มีการละเล่นต่างๆ ด้วย คงจะเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย
“แท้จริงแล้วสกุลลู่ของเรามีที่ดินอยู่ท้ายตลาด ท่านทวดของพ่อปล่อยให้คนต่างเมืองเช่าไปทำโรงเตี๊ยม แต่ตอนนี้กิจการโรงเตี๊ยมของเขาค่อนข้างย่ำแย่และอีกสี่เดือนข้างหน้าจะหมดสัญญาแล้วด้วย หากว่าลูกๆ อยากทำเหลาอาหารพ่อจะให้คนไปบอกเขาก่อนว่าเราจะไม่ต่อสัญญาเช่า” เดิมทีที่ดินตรงนั้นมิได้ทำประโยชน์อันใด ท่านทวดจึงตัดสินใจให้ผู้อื่นเช่า อีกทั้งลู่หวังเหล่ยก็มิได้คิดจะทำการค้าการขาย จึงได้ปล่อยให้พวกเขาเช่าที่ดินต่อมาเรื่อยๆ
“ดีเจ้าค่ะ เอาๆ” เยว่ชิงที่มีภาพคาสิโนอยู่ในหัวเริ่มจินตนาการว่าหากมีร้านที่คล้ายกับคาสิโนคงจะเป็นที่สนใจของคนยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก แต่คงจะเน้นหนักเรื่องการพนันได้ไม่มากนัก
นางยังมิอยากถูกจับเข้าคุกหลวงหรอกนะ
“เช่นนั้นก็ดี แต่ว่า…หากว่าเยว่ชิงมิหายโกรธเคืองพ่อ พ่อคงมิมีเรี่ยวแรงไปเจรจากับเถ้าแก่ที่โรงเตี๊ยมเป็นแน่ เห้อออ เศร้าใจเสียจริง” ลู่หวังเหล่ยแสร้งตีหน้าเศร้าสร้อยอย่างกับมีเรื่องให้ทุกข์ใจหนักหนา ทั้งที่แท้จริงแล้วเขาเพียงเศร้าเพราะบุตรสาวโกรธเคืองเท่านั้น
“เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อเถิดนะ ท่านพ่อน่าสงสารถึงเพียงนี้” ลี่อินพยายามช่วยบิดาจนสุดความสามารถ แต่เยว่ชิงก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้ท่านพ่อเลยสักนิด จนกระทั่ง…
“เยว่ชิง เงิน เงิน เงินทั้งนั้น! เจ้าจะทิ้งโอกาสนี้หรือ” หมิงยู่กระซิบกระซาบข้างหูเยว่ชิง น้องสาวเขาทั้งคน เขาจะมิรู้จุดอ่อนของนางได้อย่างไรกัน
“ก็ได้ เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อ ท่านพ่อต้องไปพูดกับเจ้าของโรงเตี๊ยมให้พวกเยานะเจ้าคะ”
“แน่นอน มาๆ มาให้พ่อกอดเจ้าหน่อยเถิด ระหว่างทางเจ้าไม่พูดกับพ่อสักคำ ดวงใจน้อยๆ ของพ่อเจ็บปวดไปหมดแล้ว” เยว่ชิงลุกขึ้นไปนั่งบนตักบิดา เอนศีรษะน้อยๆ ซบอกแกร่งของบิดา เป็นภาพที่ผู้ใดเห็นก็ต้องยิ้มตาม
“น้องรอง เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใดกับเยว่ชิงหรือ นางจึงได้ยอมหายโกรธท่านพ่อง่ายถึงเพียงนี้” เฉินกงหันไปถามหมิงยู่ด้วยความสงสัย เพราะน้องสาวของพวกเขาคนนี้เป็นเด็กที่มีเหตุผล มิได้โกรธเคืองผู้อื่นไปทั่ว แต่หากโกรธเคืองผู้ใดแล้ว จะมิยอมหายโกรธคนผู้นั้นง่ายๆ เป็นแน่ บางทีมิยอมสนทนาด้วยถึงสามวันสามคืน
“นั่นสิพี่รอง ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” ลี่อินเองก็ยื่นหน้าเข้ามาพูดคุยกับเฉินกงและหมิงยู่ด้วยเช่นกัน
“ข้าก็เพียงพูดว่า เงิน! เงิน! เงิน!” เฉินกงกับลี่อินถึงกับหัวเราะร่าออกมา
หึ สมกับเป็นลู่เยว่ชิง เรื่องเงินต้องมาก่อนสินะ เฮ้อ!!!
“เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็
“ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย
“อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี
“ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร
กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง
“โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร