"พี่ขอไปไล่ดูตารางคิวจากเลขาก่อนนะครับว่าวันนั้นว่างหรือเปล่า แล้วพี่ค่อยมาให้คำตอบกับน้องพิณอีกที" ภาคินไม่ชอบงานสังคมที่ต้องยืนปั้นหน้าตีตราแสร้งยิ้มมากที่สุด! เพราะมันโคตรของโคตรความน่าเบื่อ แล้วยิ่งหากให้เขาควงไฮโซสาวอย่างพิรญาณ์ออกหน้าออกตาอาจแสดงให้เห็นทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราอาจมีแนวโน้มพัฒนาไปข้างหน้า...คราวนี้ล่ะก็คุณดำเกิงคงไม่ยอมปล่อยง่ายๆคงต้องเร่งรัดถึงที่สุด
"ค่ะ" พิรญาณ์ยิ้มแห้งๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้ภาคินว่างเขาก็จะไม่มีทางปลีกตัวให้หล่อนยืมควงเดินในงานเลี้ยงค็อกเทลแน่ๆ แต่หล่อนไม่ได้คาดหวังกับคำตอบของเขาสักเท่าไหร่เนื่องจากแม้มันจะออกมาเป็นเช่นไร...หล่อนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าวันนั้นหล่อนจะเป็นนางพญาหงส์ที่ยืนอยู่ข้างๆราชสีห์อย่างภาคินแน่นอน @บ้านเดชาบวรสกุล บนโต๊ะขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าในวันนี้เต็มไปด้วยอาหารหรูหราราคาแพงทั้งที่นิยมขึ้นชื่อของไทยและชาติฝั่งตะวันตก...ล้วนใช้วัตถุดิบล้ำค่าปรุงแต่งจากแม่บ้านสาวสุดสวยที่การันตีด้านฝีมือว่าไม่เป็นสองรองใคร บริเวณหัวโต๊ะคือคุณดำเกิง ไล่ลงมาปีกโต๊ะฝั่งซ้ายภรรยาแต่งอย่างคุณหญิงจารวีแสร้งยิ้มหน้าระรื่นเพราะอันที่จริงแล้วตนนั้นอยากได้หนูพิรญาณ์มาเป็นสะใภ้คนโตมากกว่า แต่ทางฝั่งนั้นดันชื่นชอบและพึงพอใจในตัวของภาคินหล่อนก็เลยไม่สามารถขัดข้องได้...ถัดไปบุตรชายของเจ้าหล่อน ภาคี...ซัดมาปีกโต๊ะด้านขวา ภาคิน และ แขกรับเชิญสุดสวยอย่างพิรญาณ์ แน่นอนว่าบรรยากาศวันนี้เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบใจของคุณดำเกิงยิ่งนัก...เขาปรารถนาดี อยากจะให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาและออกเรือนไปกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งสกุลรุนชาติ ทั้งฐานะทางสังคม...หากภาคินตกแต่งกับหนูพิรญาณ์เป็นอันว่าคงสบายทั้งชาติ เขาก็จะได้ไม่ต้องมาพะวงกลัวลูกชายคนเล็กจะไปคว้าผู้หญิงกำพืดต่ำเข้ามาเป็นสะใภ้ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล... "อาหารวันนี้อร่อยมากเลยค่ะคุณป้า" พิรญาณ์ตีตัวประชิดคุณหญิงจารวีเพื่อเอาอกเอาใจและเข้าทางว่าที่แม่สามีอีกคน เพราะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าอย่างไรเสียคุณดำเกิงก็อยู่ฝั่งหล่อนแน่นอน "ถ้าอร่อยก็มาทานข้าวที่บ้านป้าบ่อยๆนะจ๊ะหนูพิณ เดี๋ยวป้าจะให้ตาภาคินไปรับที่บ้าน ดีไหมจ๊ะ" คุณหญิงจารวีเล่นตามบทบาท ถึงเช่นไรหากได้เกี่ยวดองกับครอบครัวฝั่งโน้นแม้เป็นบุตรคนเล็กที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขแต่หล่อนก็รักเหมือนลูกแท้ๆคงจะไม่ได้เสียหายอะไร "พิณเกรงว่าจะรบกวนพี่ภาคินเปล่าๆน่ะคะ" "น่ารักเสียจริงๆ ใช่ไหมภาคิน" แววตาของหล่อนบีบบังคับและล็อคคำตอบเอาไว้แล้วว่าจะต้องออกมาในรูปแบบใด "ครับ" "ขอบคุณค่ะ เอ่อ...นี่ก็ดึกมากแล้ว พิณต้องกราบขอตัวกลับก่อนนะคะคุณป้า คุณลุง ประเดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่จะเป็นห่วงแย่" นี่คงจะเป็นเรื่องดีและเป็นที่พึงพอใจในสายตาของคุณหญิงจารวีนั่นก็คือ...การวางตัวของพิรญาณ์ที่แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าผ่านการอบรมสั่งสอนหรือเข้าเรียนคอร์สมารยาทงามมาอย่างดี สมแล้วที่เป็นลูกสาวคนเดียวหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงชไมพรกับคุณเกริกพล "จ๊ะ ไปส่งน้องให้ถึงบ้านนะภาคิน แล้วรีบกลับมาพ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย" ภาคินพยักหน้า แล้วเรียนเชิญตัวพิรญาณ์เพื่อขับรถสปอร์ตคันหรูพาเจ้าหล่อนไปส่งถึงหน้าประตูบ้านตามคำสั่งของคุณหญิงจารวี... ... "พ่อกับแม่ใหญ่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ" ภาคินหย่อนสะโพกลงนั่งบนฟูกโซฟาในห้องรับรองแขกที่มีเพียงเราทั้งสามคนนั่นก็คือคุณหญิงจารวี คุณดำเกิง...เขา "หนูพิณน่ารักไหม?" คุณหญิงจารวีเปิดถามเป็นคนแรก "ก็น่ารัก" "สวยใช่ไหมล่ะ" "ครับ" ถ้าเขาบอกว่าพิรญาณ์ไม่สวยแต่เอนเอียงออกไปในทางขี้ริ้วขี้เหร่ก็คงจะดูเป็นการพูดเกินความจริงไปมาก เนื่องจากสภาพหน้าตาของหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนได้รับการบำรุงอบร่ำมาอย่างดีจนสะอาดเนียนละออไร้ที่ติเชียว "แล้วกิริยามารยาทล่ะ?" "ไม่รู้สิครับ เรื่องพรรค์นี้ต้องดูกันไปนานๆว่าสิ่งที่สร้างออกมาเป็นตัวตนจริงๆหรือแค่เสแสร้ง เพราะหากเทียบจากประสบการณ์โดยตรงของผมเนี่ย ตอนแรกบางคนก็นึกว่าดีแสนดี สุดท้ายแล้วดีแตก เป็นนางมารร้ายที่ใจไม้ไส้ระกำในคราบนางฟ้าผู้ไร้เดียงสา" ภาคินตอบ และคุณหญิงจารวีก็รู้ดีว่าเขาต้องการพูดจาเหน็บแนมหล่อน... หล่อนเลี้ยงภาคินมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตีนเท่าฝาหอย รักเหมือนลูกในไส้...ให้เท่าเทียมกับภาคีทุกอย่างโดยไม่ลำเอียงไม่ว่าจะเป็นของเล่น การศึกษา เสื้อผ้าต่างๆนานา จนจวบปัจจุบันนี้มันอายุ 30 ปี! ในสายตาของภาคินหล่อนก็ยังคงเป็นแม่ใหญ่ใจร้ายที่ทำลายแม่แท้ๆอยู่ดี... ภาคินไม่เคยมองหล่อนดีเลย...ไม่เคยมองหล่อนเป็นแม่ ไม่เคยมองเห็นความหวังดีของหล่อน แต่หล่อนก็ต้องยอมรับ เมื่อก่อนหล่อนร้ายและทำลายชีวิตของคุณอรุณีเมียน้อยสามีจนป่นปี้ไม่ให้เหลือความสุขใดๆจริงๆ...ซึ่งคราวแรกภาคินก็เป็นหนึ่งในหมากที่หล่อนดึงขึ้นมาเพื่อให้นางเมียน้อยรู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่โดนพรากลูกออกไปจากอก ยอมรับว่าคิดแบบนั้นจริงๆ...แต่พอดีเลี้ยงดู กลับผูกพัน รักเหมือนลูกในไส้ แต่พอมันรู้ความจริงก็กลับสร้างกำแพงขึ้นมากีดกันต่อต้านสารพัด ผลักไสเขาออกจนแทบจะกระเด็นไกลวงโคจรไปเสียแล้ว "ภาคิน..." คุณดำเกิงชำเลืองมองบุตรชายด้วยสายตาดุๆ "ก็จริงอย่างที่ว่า..แต่...ทั้งน่ารัก สวย กิริยามารยาทงดงามดั่งผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนกวดขันมาอย่างดีโดยคุณหญิงชไมพร ซ้ำฐานะทางสังคมชาติสกุลก็เทียบเท่ากับวงศ์ตระกูลของเรา แกไม่คิดจะสนใจจริงๆเหรอ? หรือว่าผู้หญิงคนนี้สู้นังเด็กนั่นไม่ได้" ประโยคสุดท้ายทำให้ภาคินถึงกับหันขวับไปจ้องหน้าแม่เลี้ยงของตนอย่างทันควัน ซ้ำผู้เป็นบิดาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ถึงกับพลอยงงงวยด้วย "แม่ใหญ่..." "เด็กคนนั้นคือใคร?" คุณดำเกิงถามตาเขียวปั๊ด! พยายามคาดคั้นหาคำตอบจากบุตรชายและภรรยาแต่ทว่าทั้งสองคนเงียบสนิทไม่มีปริปากแม้แต่เอะเดียว "ถามลูกชายคุณดูสิคะ" จากเดิมทีที่คุณหญิงจารวีมองหน้าผู้เป็นสามีอยู่ก็ย้อนกลับมาชำเลืองตาแลภาคิน "ว่า...เด็กคนนั้นคือใคร คนใกล้ตัวที่แสนจะใกล้ ใกล้ ใกล้ ใกล้เหลือเกิน" คุณหญิงจารวีรู้ คุณหญิงจารวีเห็น เพียงแค่หล่อนไม่พูดเพราะเจ้าลูกชายและแม่นั่นยังไม่เคยแข็งข้อหรือเสนอหน้าขึ้นมามีบทบาท...ก็แค่ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวเอาไว้ปรนเปรอบำบัดความใคร่หาได้มีสิทธิ์ขึ้นมาเทียบเท่าเสมอภาคไม่ แต่หากวันใดภาคินคิดจะแข็งข้อ ขัดคำสั่ง และผู้หญิงคนนั้นพยายามยืดหน้ามักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะใช้เรือนร่างเต้าไต่ขึ้นมาเป็นลูกสะใภ้คนรองของวงศ์ตระกูลเดชาสกุลอีกคน วันนั้นเราค่อยเห็นดีกัน! เพราะหล่อนจะไม่มีวันยอมให้ภาคินใช้นิสัยต่ำๆเหมือนพ่อแล้วคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าจนชื่อเสียงป่นปี้ซ้ำรอยเดิมอีกแน่ๆ "ใคร? เด็กคนนั้นคือใคร แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ภาคิน" "คนใกล้ตัว...ใกล้เสียจนคุณพ่อนึกไม่ถึงเลยล่ะครับ" ภาคินอยากจะรู้นักว่าหากคุณดำเกิงรู้ความจริงถึงเรื่องผู้หญิงที่เขาเลี้ยงไว้ว่าแท้จริงแล้ว คือ 'แม่หนูมินตรา' กิ๊กเก่าพ่อที่เคยยืนนิ่งปล่อยให้สูบเลือดสูบเนื้อและยกเงินเป็นเข่งๆเพื่อปรนเปรอบำเรอ คุณดำเกิงจะมีสีหน้าอย่างไร เสียเงินหลายแสน...แม้แต่แขนก็ไม่ได้จับ เพราะภาคินคือคนแรกของมินตรา และเธอเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น แม้แต่กับพ่อก็ไม่มีสิทธิ์!@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่