"ไม่มีทาง!!" ภาคินตอบเสียงแข็งกร้าว เพราะข้อต่อรองในการรับตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปนั่นก็คือ คุณดำเกิงจะต้องเลิกยุ่งวุ่นวายกับคุณอรุณีซึ่งเป็นภรรยาน้อยอย่างเด็ดขาด! ซึ่งคุณดำเกิงก็ทำตามสัจจะมาได้ดีโดยตลอด นับแต่นั้นชีวิตของมารดาเขาก็ค่อนข้างสงบสุขไม่มีมารผจญเหมือน 10 กว่าปีที่ผ่านมา...
(งั้นแกก็ไปรับหนูพิรญาณ์เดี๋ยวนี้! แล้วขอโทษหนูพิรญาณ์ด้วย จะบอกว่ารถเสียหรือว่ากำลังเคลียร์งานอยู่อะไรก็ช่าง ทำยังไงก็ได้ให้หนูพิรญาณ์สบายใจที่สุด นี่คือคำสั่ง อีก 20 นาทีแกต้องมาถึงที่บ้าน) "ครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปรับน้องพิณ" ตู้ดๆ สายถูกตัดไปแล้ว ในที่สุด...จากเดิมทีที่ภาคินคิดจะหนีปัญหาแล้วมาหมกอยู่ในบ้านจัดสรรหลังนี้ที่เคยใช้มันหลบๆซ่อนๆผู้หญิงอย่างมินตรา ก็ไม่พ้นเพราะพ่อเขาดันใช้แม่เข้ามาต่อรองเหมือนทุกๆครั้งไม่มีผิด! ทางฝ่ายของมินตราแอบหลบยืนฟังอยู่บนบันไดบ้าน...มาทันเวลาพอดีตอนที่ได้ยินประโยคสุดท้ายนั่นก็คือผมจะเข้าไปรับน้องพิณ แสดงว่าข่าวลือที่คุณดำเกิงกำลังจะจับคู่คลุมถุงชนให้คุณภาคินกับคุณพิรญาณ์เป็นความจริงน่ะสิ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเธอล่ะ? เธอจะต้องอยู่ส่วนไหนในชีวิตเขา เป็นเมียเก็บลับๆ ตุ๊กตาหน้ารถที่เอาไว้เชยชมเพื่อบำบัดอารมณ์ทางกาม อยู่ในที่เล็กๆแคบๆไม่มีตัวตนสำหรับเขางั้นเหรอ? "คุณภาคินจะไปไหนเหรอคะ" มินตราทำน้ำเสียงสั่นๆแม้นจะรู้คำตอบที่แท้จริงของมันดีอยู่แล้ว "ผมจะกลับบ้าน" เขาโกหกได้อย่างหน้าด้านๆ! ทั้งๆที่เขากำลังจะไปรับผู้หญิงคนนั้น "ไม่ใช่ว่าไปรับคุณพิรญาณ์เหรอคะ?" ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเบาๆ "มินได้ยินพนักงานที่บริษัทคุยกันว่าคุณดำเกิงกำลังจะจับคู่หมั้นหมายคุณภาคินกับคุณพิรญาณ์ สรุปแล้วมันคือเรื่องจริงใช่ไหมคะ" "นี่มินแอบฟังผมคุยโทรศัพท์เหรอ!" ภาคินบีบแขนเรียวบางแน่นหมายให้มันแหลกละเอียด "ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัว! ส่วนไอ้ที่ว่าผมกำลังจะหมั้นกับน้องพิณหรือไม่ใช่ มันก็เรื่องของผม คุณไม่เกี่ยว เข้าใจไหม?" น้ำเสียงเขาดูหยาบกระด้าง...คล้ายกับคนไม่เคยมีเยื่อใยให้กันมาก่อน มินตราอยู่กับเขามาตั้ง 1 ปี เวลา 365 วัน มันไม่มีค่าพอที่จะทำให้เขารักเธอได้เลยงั้นเหรอ? แล้วเขาจะดึงเธอเข้ามาตั้งแต่แรกทำไม! ในเมื่อไม่เคยคิดจะรักกัน!!! มินตรายอมทนอยู่เงียบๆไม่ไหวตัวไม่เคยแสดงตัวตนหรือทำให้ภาคินต้องลำบากใจมาตลอดระยะเวลา 1 ปี เธอเป็นคู่นอน เป็นนางบำเรอ เป็นทาสรับใช้ที่ดีให้เขายังไม่มีขาดตกบกพร่อง เขานี่สิไม่เคยถนอมแม้กระทั่งน้ำใจเธอ... "เข้าใจค่ะ..." "เข้าใจก็ดีเพราะผมไม่ชอบคนที่พูดไม่รู้ความ แล้วอยากทำตัวล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของผมแบบนี้อีก! เพราะตอนนี้คุณอยู่ในสถานะอะไร คุณก็น่าจะรู้ดี" ภาคินทิ้งท้ายด้วยประโยคถากถางทำร้ายจิตใจก่อนจะคว้ากุญแจรถสปอร์ตแล้วขับออกไปจากบ้านจัดสรรหลังนี้ทันที สถานะเมียเก็บ ใช่...ตอนนี้เธออยู่ในสถานะเมียเก็บ "ฮื่อ..." มินตราปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าเธอช่างอ่อนแอและบอบบางเสียเหลือเกิน...แต่อีกความคิดวูบหนึ่งเธอก็เข้มแข็งใช่ย่อยที่ทนอยู่ในสถานะแบบนี้มาได้ตั้ง 1 ปีกว่า เพราะอะไรน่ะเหรอ...รักน่ะสิรักคำเดียวเท่านั้น รักที่ไม่ได้คาดหวัง...รักที่ขอเพียงแค่ได้อยู่ดูแลและได้อยู่ใกล้ๆภาคินก็เท่านั้น วันนี้คำพูดร้ายๆของเขามันได้แปรเปลี่ยนเป็นเข็มพันเล่มจิ้มปักเข้ามาบนก้อนเนื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายจนกลายเป็นแผลเหวอะหวะที่ได้เชือดเฉือนและบีบขยำความรู้สึกของเธอจนป่นปี้แหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี เธอต้องเข้มแข็งกว่านี้! ... @บ้านของพิรญาณ์ "อ้าว!! คุณภาคินมาพอดีเลยลูก" คุณหญิงชไมพรภรรยาของคุณเกริกพลเพื่อนสนิทคุณดำเกิงรีบดันตัวลูกสาวเพียงคนเดียวให้ลุกขึ้นเพื่อรอต้อนรับว่าที่ลูกเขยที่จะเข้ามาเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน "สวัสดีครับคุณน้า" ภาคินยกมือไหว้ผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยความเคารพ อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นคนสนิทของคุณดำเกิงพ่อเขานั่นเอง... "ไหว้พระเถอะลูก น้องรออยู่พอดีเลย" "สวัสดีค่ะพี่ภาคิน" ภาคินไล่ตามองเสียงหวานของพิรญาณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหน้าตาของเจ้าหล่อนสะสวยรวมทั้งเรือนร่างทรวดทรงองค์เอวเอสเข้ากั๊นเข้ากัน...ยิ่งใส่เป็นเดรสสายเดี่ยวไขว้หลังระบายลูกไม้สีสะพรั่งตัดกับผิวขาวนวลละอออย่างน่าหลงใหลจับใจชาย ดูนั่น...ไม่ว่าจะเป็นตุ้มหู เครื่องประดับ สร้อยคอ กำไรสร้อยข้อมือ รองเท้า เดรสกระโปรง หรือแม้กระทั่งกระเป๋าถือล้วนเป็นของแบรนด์เนมราคาสูงทั้งนั้น... "สวัสดีครับ ผมต้องขอโทษคุณน้าด้วยนะครับที่มารับน้องพิณช้า บังเอิญว่ารถผมเสียก็เลบต้องเอาไปซ่อมที่อู่ ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ" ภาคินทำตามคำสั่งของบิดาอย่างไม่มีขัดข้อง "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ" ขอแค่ภาคินมีท่าทีสนใจบุตรสาวของตัวเองอยู่เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเกี่ยวดองระหว่างสองครอบครัวแล้ว ประเดี๋ยวเดียวหากทั้งสองคนออกไป หล่อนคงจะรีบวิ่งแจ้นโทรหาคุณดำเกิงเพื่อรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าแหงๆเลย "เชิญครับ" หลังจากนั้นรถสปอร์ตก็ถูกขับเเล่นออกมามุ่งหน้าสู่บ้านเดชาบวรสกุล แน่นอนว่าในระหว่างทางค่อนข้างอึดอัดเพราะบรรยากาศอึมครึมที่เอ่อล้นอยู่รอบกาย...ภาคินแทบไม่เปล่งประโยคใดๆพูดคุยกับพิรญาณ์เลยแม้แต่น้อยจนเธอจำใจต้องเกริ่นเริ่มเสียเอง "เราสองคนไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะพี่ภาคิน" พิรญาณ์พบเจอภาคินตั้งแต่สมัยเด็กๆ ก่อนที่เธอจะไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนาเพื่อคว้าปริญญาโทมาฝากคุณพ่อ ซึ่งปัจจุบันนี้หล่อนอายุ 27 ปีบริบูรณ์ "ครับ น้องพิณสวยขึ้นเยอะเลย" ภาคินชักไม่แน่ใจเหมือนกัน หากครอบครัวของพิรญาณ์รู้ความจริงถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนบางอย่างในวงตระกูลของเขาว่าแท้จริงแล้วภาคินเป็นเพียงแค่ลูกเมียน้อย ไม่ใช่บุตรชายคนรองของคุณหญิงจารวีดังคำร่ำลือและเป็นที่เข้าใจในแวดวงสังคม พวกเขายังอยากจะได้เขาไปเป็นลูกเขยเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่อีกหรือไม่? เขาถูกปั้นถูกชูช่วง กลายเป็นหุ่นเชิดในนามบุตรชายของคุณหญิงจารวีและคุณดำเกิงประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป...อยู่ภายใต้หน้ากากที่ปั้นหน้าต่อหน้าสื่อว่าต้องทำตัวเป็นรักใคร่สนิทสนมกลมเกลียวคล้ายกับแม่ลูกกันจริงๆเพื่อไม่ให้ใครอื่นเขาสงสัยแล้วย้อนกลับมาเยาะเย้ยคุณหญิงจารวีว่าโง่งมจนกระทั่งผัวไปมีเมียน้อย "แหม พี่ภาคินก็ปากหวานจริงๆนะคะ" พิรญาณ์เขินจนแทบจะม้วนตัวเป็นเลขแปดอยู่แล้ว "เอ่อ...พี่ภาคินคะ วันศุกร์ช่วงประมาณสามทุ่มพี่ภาคินว่างหรือเปล่าคะ" วันศุกร์ก็อีกสามวันข้างหน้าที่จะถึง... "ทำไมเหรอครับ?" "ถ้าพี่ภาคินว่าง พิณว่าจะชวนพี่ภาคินไปงานเลี้ยงค็อกเทลของนักการทูตและก็พวกนักธุรกิจ รวมถึงไฮโซ เซเลบดังในแวดวงสังคมหน่อยน่ะค่ะ" พิรญาณ์เหลือบมองหน้าของชายหนุ่มที่เธอหมายปองเป็นระยะระยะ "คือคอนเซ็ปต์ของงานกำหนดไว้ว่าต้องไปเป็นคู่ชายหญิง เพื่อนส่วนใหญ่ของพิณก็เป็นพวกฝรั่งมังค่าอยู่ต่างประเทศทั้งนั้น พิณก็เลยไม่รู้จะชวนใครดี แต่หากไม่เป็นการรบกวนและพี่ภาคินไม่รังเกียจพิณ ช่วยไปเป็นเพื่อนพิณหน่อยนะคะ"@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่