“ท่านราชครู ข้ามีราชโองการไปก็จริง แต่เป็นให้มู่หลงฟู่ดูแลความเรียบร้อยที่หย่งตูชั่วคราว ระหว่างรอแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ไปประจำที่นั่น แต่เรื่องสมรสพระราชทาน ข้าแค่ทำเป็นหนังสือส่งไปแจ้งเท่านั้น และแม่ทัพมู่ก็ส่งหนังสือตอบกลับมาให้ข้าแล้วว่า เขาไม่เหมาะกับบุตรีของท่าน”
“นี่เขาไม่รู้เลยหรือว่าบุตรสาวเขาฉาวโฉ่ขนาดไหน วันๆ อยู่แต่หอชายนั่นทั้งวัน งานการไม่เอา ความรู้ไม่มี ใครอยากจะแต่งด้วยกันล่ะ”
“ใครเขาจะอยากได้หญิงงามเมืองเช่นนั้นเป็นภรรยากันล่ะ ต้องมีเงินให้นางผลาญเล่นสักเท่าใดกันถึงจะพอ”
“ฝ่าบาทยังมิได้ออกราชโองการไปเรื่องแต่งงาน ดันทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ อะไรจะน่าอับอายขนาดนั้น”
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นมารอบตัวเขา มู่หลงฟู่หันไปมองหางตาให้กับราชครูเฒ่าที่ยืนโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อฝ่าบาทชี้แจงแล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้งได้อีก
"เอาล่ะ วันนี้เราจะปรึกษาพวกท่าน เกี่ยวกับฤดูเก็บเกี่ยว กับการสอบราชการของปีนี้……..
การประชุมหลังจากนั้น ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องของแม่ทัพหนุ่มอีก เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชกิจบ้านเมืองทั้งสิ้น
จวนสกุลผัง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ สกุลจินอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ แม่ทัพมู่เป็นผู้พูดตอนที่พาบุตรสาวคหบดีเมืองหย่งตูไปส่งที่หน้าจวนขอรับ”
“หึ ที่แท้ กองทัพของข้า ก็พ่ายเพียงอุบายเพียงเท่านี้ ดี ข้าจะได้สั่งสอน ว่าผู้ที่กล้ามาขวางทางข้า มันเป็นเช่นไร สั่งการลงไป คนของเราที่เหลือ จัดการสกุลจิน ทางที่ดี รีบจัดการก่อนเจ้ามู่หลงฟู่จะกลับไปหย่งตู”
“รับทราบขอรับ”
“ท่านพ่อเจ้าคะ”
ราชครูผังเจินสะดุ้งสุดตัว เขาไม่คิดว่าบุตรสาวของเขาจะอยู่ที่จวนในวันนี้
“อี้เหมย เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
นางเพียงแต่สะบัดผม และเดินออกมาหาผู้เป็นบิดา
“ท่านพ่อดูตกใจเกินไป ข้ามิแพร่งพรายแผนการของท่านหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ ข้านึกสนใจบุตรสาวสกุลนั้น ที่ท่านโหวมู่พาไปส่งที่จวน ท่านพ่อ ข้ามีแผน”
“นี่เจ้า…”
ราชครูผังเจินมองหน้าบุตรสาว ก่อนที่นางจะยิ้มและบอกแผนแก่บิดา ทำเอาเขายิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“ยอดเยี่ยม ไม่นึกว่าเจ้าจะคิดแผนนี้ออกมาได้ อี้เหมย ตลอดเวลาเจ้าซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้สินะลูกพ่อ ฮ่าๆๆๆ ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก งานนี้ ข้าจะได้สั่งสอนเจ้าแม่ทัพหนุ่มปากเสียนั่น ที่กล้ากำแหงกับข้าต่อหน้าพระพักตร์”
ผังอี้เหมยลอบยิ้มอย่างยินดี หากใช้แผนการนี้มาบีบบังคับเขา ไม่มีทางที่แม่ทัพมู่จะไม่ยอมแต่งกับนาง ตั้งแต่กลับมาจากสกุลมู่นางก็ลืมสายตาและใบหน้าที่รูปงามนั้นไม่ได้เลย
นางอยากได้เขา สิ่งใด หรือบุรุษผู้ใดในใต้หล้า หากผังอี้เหมยต้องใจ นางก็จะต้องได้มา ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม……
จวนสกุลมู่
“ลูกแม่ หากเจ้าพึงใจนาง แม่ก็จะไม่ขัดเจ้า แม่ไม่นึกไม่ฝันเลย ที่แท้ลูกแม่ก็มีความรู้สึกแบบนี้ แม่ยังนึกห่วงเจ้า กลัวว่าจะไม่มีใครดูแลเสียอีก”
“นางเป็นสตรีที่ช่วยชีวิตลูกไว้ และยังเป็นผู้ที่เป็นพยานในเรื่องผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้ ข้าจึงได้รู้ความชั่วของคนในราชสำนัก”
“ลูกแม่ เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก เอาล่ะ เจ้าไปนอนพักผ่อนเถิด อีกสองวันก็ต้องกลับหย่งตูแล้ว พรุ่งนี้แม่จะไปไหว้พระ และดูฤกษ์ยามไว้ให้เจ้า”
“ขอรับ ท่านแม่”
เขาเดินกลับมาที่ห้องเพื่ออ่านหนังสือ ก่อนที่ลมจะพัดแรงทำเอาเชิงเทียนในห้องของเขาคว่ำใส่โต๊ะ จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ที่โต๊ะกลาง กงจื่อและกงเซียวรีบดับไปและนำผ้าที่ถูกไฟไหม้ออกไป
เขารู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลกๆ ต้องมิใช่เรื่องดีแน่เมื่อเขายอมล้มตัวลงนอน กลับนอนไม่หลับเฝ้าพะวงหาแต่จินซู่เย่ซึ่งเขาไม่เคยนึกห่วงพะวงถึงนางมากถึงขนาดนี้มาก่อน…..
“กงจื่อ กงเซียว ข้าจะกลับหย่งตูเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าท่านโหวขอรับ นี่มันพึ่งจะเข้ายามจื่อ (ประมาณเที่ยงคืน) เองนะขอรับ และกำหนดกลับก็อีกสองวันข้างหน้า…”
“เก็บของแล้วรีบตามข้ามา เร็วเข้า ข้าจะไปบอกท่านแม่ก่อน”
เขารีบวิ่งออกมาจากห้องนอน ก่อนที่จะวิ่งไปยังห้องนอนของฮูหยินมู่ นางรู้สึกตกใจที่เขาเลือกกลับก่อนกำหนดหลายวันแต่ก็มิห้าม เพราะอีกเพียงไม่กี่วัน ลูกชายก็จะกลับมาประจำอยู่ที่เมืองหลวง
“เดินทางปลอดภัยนะหลงฟู่ ดูแลตัวเองด้วย”
“ขอรับท่านแม่ ระหว่างนี้ ท่านแม่โปรดดูแลตัวเองด้วยขอรับ”
เสียงกีบม้าหลายตัวทยอยวิ่งออกจากจวนสกุลมู่กลางดึก ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อพวกเขาออกจากประตูเมืองแล้ว เขาเดินทางก่อนกำหนดเวลา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จิตใจเขาจึงนึกกลัว และพะว้าพะวังจนอยู่ไม่สุขขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายไปแล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบกลับไปขนาดนั้น
ม้าคู่ใจของเขา วิ่งมาเกือบทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งให้ถึงเมืองหย่งตูโดยเร็ว พวกเขาแทบจะมิได้หยุดพักแรมที่ไหนเลย จนถึงตอนเที่ยงของอีกวัน เขาจำเป็นต้องหยุด เพราะอากาศเริ่มร้อน และม้าของเขาก็สมควรได้พักผ่อนบ้าง…..
จวนคหบดีจิน….
ในคืนเดือนมืด มีเพียงแสงไฟของห้องที่เจ้าของยังไม่นอนที่ส่องแสงสว่างอยู่ ทั้งเรือนไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนเลยว่า อีกไม่ถึงช่วงเวลาชาเดือด พวกเขาจะพบกับหายนะที่ตนเองไม่เคยก่อ ….
กองกำลังสวมชุดดำราว ๆ เกือบยี่สิบคนล้อมจวนทุกด้าน ก่อนที่จะลงมือฆ่าทุกคนที่ขวางทางพวกมัน
“เร็วเข้าคุ้มครองนายท่านกับคุณหนู เร็วเข้า”
“อ๊ากก ต้านไม่ไหวแล้ว พวกมันมามากเกิน เฮ้ยยนั่นมัน เผาเรือนฝั่งตะวันตกแล้ว พวกเราเร็วเข้า”
ไฟเริ่มลุกลามขึ้นจากเรือนตะวันตก ลามไปถึงเรือนชั้นใน และเวลาไม่นาน ก็เริ่มลุกลามไปเกือบทั่วจวน
“จับคุณหนูสามไว้ คนอื่นฆ่าให้หมด”
“ท่านพ่อ พี่รอง พวกท่านอยู่ที่ไหน อุ๊บบ”
“อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากตาย ไปกับพวกข้า”
จินซู่เย่ถูกจับตัวเอาไว้ระหว่างที่วิ่งเอาตัวรอดออกมาจากห้อง นางคิดว่าเป็นเพียงเหตุเพลิงไหม้ธรรมดา เสียงที่นางเรียกตะโกนบิดาและพี่รอง ทำให้พวกมันรู้ว่านางคือใคร จึงจับนางไว้ได้โดยง่าย
จินหลุนที่วิ่งออกมาพบว่ามีผู้ที่จับบุตรสาวเอาไว้ เขาถือดาบออกมาเพื่อต่อสู้กับโจรเหล่านั้น
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ต้องการอะไร เหตุใดต้องจับลูกสาวข้า”
“หึ พวกเจ้าไปยุ่งกับคนที่ไม่สมควรยุ่ง ข้ามีคำสั่งแค่จัดการพวกเจ้า อย่างอื่นเจ้าไม่มีสิทธิ์จะถาม”
“งั้นก็ต้องถามดาบในมือข้าก่อน ว่ามันจะยอมหรือไม่”
“ท่านพ่อ อย่าเจ้าค่ะ”
“อี้เจิน รีบหนีไปก่อน”
“ฆ่าให้หมด”
“ไม่นะ พี่รอง รีบหนีไป!!!”
สิ้นเสียงจินซู่เย่ จินอี้เจินก็ถูกฟันที่กลางหลัง และถูกโจรชั่ว ถีบเข้าไปในกองเพลิง
“พี่รองงงงงงงงงงงง!!!!!!”
“ไม่นะ ท่านพ่อ”
จินหลุนที่มีเพียงคนเดียว สู้กับโจรชั่วถึงสี่คน เขาซึ่งชรามากแล้ว จึงทนไม่ไหว ก่อนที่เขาจะพลาดพลั้ง ดาบในมือหลุดออกไป และถูกโจรชั่วนั้นแทงทะลุหลัง ต่อหน้าจินซู่เย่ ก่อนที่นางจะกรีดร้องอย่างสุดกลั้น
“ท่านพ่อ!!!!!!!!!!!”
“ไม่นะ พวกคนชั่วปล่อยข้านะ ท่านพ่อ พี่รองงงง ไม่!!!!!!!!!”
"ซู่เย่….หนี….ไป…"
คำพูดสุดท้ายของบิดาก่อนสิ้นใจ สายตาที่ส่งมาให้นาง เป็นภาพติดตาที่นางมิอาจลืม ตอนนี้ นางเห็นร่างพี่รองที่ถูกไฟคลอกอยู่ใกล้ๆ นางร้องไม่ออกสักคำ ก่อนที่สตินางจะเริ่มหลุดลอยไป
“พวกเรา ไป!!”
จินซู่เย่ถูกโจรชั่วนั้นจับนางมัดเอาไว้ และโยนเข้าไปในรถม้า พวกมันผลัดชุดดำออก ก่อนที่จะวิ่งออกไปนอกเมืองเพื่อจะไปยังจุดนัดพบทีชายป่าเมืองหย่งตู……
สองวันถัดมาอาการแพ้ท้องแทนฮูหยินของท่านโหวยังคงมีเรื่อย ๆ และเริ่มเบาบางลงในวันที่สาม ก่อนที่เขาจะบอกให้ฮูหยินเตรียมตัวออกจากจวน“ท่านจะพาข้าไปที่ใดเจ้าคะ”“ไม่ไกลหรอก ไม่ต้องห่วง ไม่จำเป็นข้าก็ไม่อยากให้เจ้านั่งรถม้าสักเท่าใดนักหรอก”รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนและมุ่งหน้าตรงไปทางวังหลวง และเลี้ยวไปยังจวนของพี่ใหญ่สกุลจิน“ทางนี้ ไปบ้านพี่ใหญ่นี่เจ้าคะ หรือว่าท่านจะพาข้ามาเยี่ยมหลานงั้นหรือเจ้าคะ ท่านพี่ ท่านอยากลองเลี้ยงลูกดูหรือเจ้าคะ”“นานแล้วที่เจ้าไม่ได้เจอพี่ใหญ่นี่นา ตั้งแต่วันงานแต่ง เจ้าก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเรากลับหย่งตูเสียก่อน พอกลับมาก็ต้องดูแลข้าที่เป็นแบบนี้อีก”“มันเป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะ”รถม้าเคลื่อนตัวจนถึงหน้าจวนสกุลจิน ก่อนที่กงเซียวจะเดินลงมาเปิดประตูให้พวกเขาเดินลงไป มู่หลงฟู่เดินลงไป ก่อนจะไปรอรับซู่เย่ที่ด้านล่างเพื่อรับนางลงมาและทั้งหมดก็เดินเข้าไปในจวน“ซู่เย่ เจ้ามาแล้ว ฮูหยินน น้องสามมาแล้ว เอาน้ำชามาเร็ว มาๆ นั่งก่อน ให้ข้าตรวจครรภ์เจ้าหน่อย”“พี่ใหญ่ นี่ท่านพี่ส่งข่าวมาบอกท่านเร็วขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ”“แน่นอนสิ เ
“ฮูหยิน ข้างหน้านี้แหละ”“ท่านพี่ ถึงแล้วหรือเจ้าคะ”พวกเขาเดินขึ้นเขาเพื่อมาไหว้หลุมศพของสกุลจิน ซู่เย่พึ่งจะเคยมากราบท่านพ่อ หลังจากเกิดเรื่องที่สกุลจินเมื่อหลายเดือนก่อนเมื่อมาถึง นางคุกเข่าลงก่อนจะกราบคำนับป้ายหลุมศพสีขาวที่พี่ใหญ่ของนางกับสามีนางจัดการทำให้คหบดีที่ยิ่งใหญ่ของหย่งตูเพื่อนาง“ท่านพ่อ พี่รอง ข้ามาหาพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาเพื่อบอกว่าคนชั่วที่ทำร้ายพวกเรา ได้ถูกลงโทษไปแล้ว พวกเขาได้รับผลกรรมจากการกระทำชั่วของพวกเขาไปแล้ว หลังจากนี้ พวกท่านอย่าได้มีห่วงอันใดอีกเลยเจ้าค่ะ”นางกราบหลุมศพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่ามีดอกไม้ที่มาวางเอาไว้ เหมือนกับว่าจะถูกวางก่อนหน้าที่นางจะมาเพียงไม่นาน ทำให้ซู่เย่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าผู้ใดกันที่มากราบไหว้หลุมศพพวกเขา เมื่อนางมองไปรอบๆก็พบว่าบริเวณโดยรอบมีการดูแลรักษาอย่างดี หญ้าและสิ่งสกปรกล้วนไม่มี“ท่านพี่เจ้าคะ”“ว่าอย่างไรหรือฮูหยิน เจ้ารู้สึกเหนื่อยงั้นหรือ นั่งพักสักครู่ เดี๋ยวข้าจะให้ชิงชิงเอาน้ำมาให้”“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านดูสิเจ้าคะ รอบๆหลุมศพนี้ เหมือนกับว่ามีผู้มาคอยดูแลตลอด ทั้งๆที่…”มู่หลงฟู่มองตามที่ฮูหยินของเขาพูด เขาก็พ
หลังจากศึกเมืองฉางอันเสร็จสิ้น และทรราชผังเจินถูกประหารชีวิตไปร่วมสองเดือน กำหนดการณ์งานสมรสของท่านโหวมู่หลงฟู่และจินซู่เย่จึงได้ออกมาแต่เนื่องจากมู่หลงฟู่ได้สูญเสียบิดาไปยังไม่ครบสามปี ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกเขาจึงมิอาจจัดงานมงคลที่เอิกเกริกได้ดังปกติทั่วไปงานสมรสของทั้งคู่จึงจัดเพียงยกน้ำชาให้มู่ฮูหยิน กราบศาลบรรพชนสกุลมู่ งานเลี้ยงเล็กๆภายในครอบครัว ส่งตัวเข้าหออย่างเรียบง่าย ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจจินซู่เย่และมู่หลงฟู่เพราะทั้งคู่ก็มิได้ชอบงานที่ยิ่งใหญ่วุ่นวายมากนัก“แม่ขอให้พวกเจ้ารักกัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า หนักนิด เบาหน่อยก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”""ขอบคุณท่านแม่""“คำนับฟ้าดิน”“คำนับบุพการี”“คำนับกันและกัน”“ส่งตัวเข้าหอ”ห้องส่งตัวมู่หลงฟู่ หลังจากเสร็จสิ้นการส่งแขกที่มีเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทไม่กี่คน ก็เดินเข้ามายังห้องส่งตัว แม่สื่อที่รอบอกขั้นตอนและปิดประตูให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันเขาเดินไปหยิบไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาวของเขาก่อนจะตกตะลึงกับเจ้าสาวที่งดงามราวบุปผาที่บานสะพรั่ง เขาไม่เคยเห็นซู่เย่ที่แต่งหน้าจัดมากขนาดนี้ แต่นางก็ยังงดงามม
เมื่อเขาควบม้ามาถึงหน้าจวนสกุลจิน เขาก็พบกับพ่อบ้าน ที่รีบวิ่งออกมาต้อนรับพวกเขา“พ่อบ้าน ข้าอยากจะขอพบท่านหญิงจินซู่เย่”“เรียนท่านโหว ท่านหญิงมิได้อยู่ที่จวนขอรับ”“แล้วนางไปที่ใดกัน”“คือว่านาง จะเดินทางกลับไปหย่งตูเลยออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ ไปแล้ว!!”“เอ่อ…ขอรับ ไปซื้อของเมื่อเช้ามืดขอรับ”เขาไม่ทันรอฟังให้จบ ก่อนจะควบม้าทะยานออกไป ก่อนที่จะหยุดที่ประตูเมือง“ซู่เย่ เหตุใดจึงทิ้งข้า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับข้านัก”แม่ทัพหนุ่มกลับเข้ามาในจวนด้วยความหดหู่ ก่อนจะนั่งจิบสุราโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว มู่ฮูหยินเดินมาหาเขา ที่บัดนี้ได้กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว“เหตุใดมาดื่มสุราอยู่ที่นี่ เจ้าไปหาซู่เย่มามิใช่หรือ ทำไม ทะเลาะกับนางมา หรือว่านางไล่เจ้ากลับมาอีกล่ะ”“แบบนั้นจะยังดีเสียกว่าขอรับ นี่นางเล่นหนีไปเลย”“หนีไป เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“นางหนีไปแล้ว นางทิ้งข้าไปแล้วขอรับท่านแม่”มู่ฮูหยินฟังเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง นางมองหน้าแม่นมหยุน นางเข้าใจในทันที ก่อนจะเดินออกไป“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน บอกแม่มาสิ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่านางหนีไปแล้ว นางจะหนีไปไหนได้”“ข้าไปหานางเมื่อเช้านี้ขอรับ
วันรุ่งขึ้น นางนั่งรถม้าไปพร้อมกับมู่หลงฟู่ เมื่อคืนนี้กว่านางจะได้นอนก็เกือบรุ่งสาง นางรู้ว่าสามีนางนั้นเป็นทหารกล้าที่แข็งแรง แต่ไม่คิดว่าจะทำเอานางหมดแรงได้ขนาดนี้ นี่ขนาดนั่งรถม้ามาส่ง เขาก็จูบนางไม่หยุดตั้งแต่ออกจากจวนมา จนเกือบจะถึงจวนสกุลจิน“ท่านปล่อยข้าก่อนสิ ข้ามิได้ดูทางเลย ท่านพี่ หยุดก่อน”“ไม่เอา เจ้าจะอยู่กับหมอจินกี่วันกี่คืน แล้วข้าจะนอนคนเดียวกี่คืน ซู่เย่ เรามาแค่เยี่ยมพวกเขา แล้วกลับเลยได้หรือไม่”“ท่านพี่ เราคุยกันแล้วนี่เจ้าคะ เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อีก”“ก็ข้าไม่อยากอยู่ห่างเจ้า ซู่เย่ ไม่อยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ กลับจวนเรากันเถิดนะ”“หากท่านยังพูดไม่หยุด ข้าจะอยู่จวนสกุลจินตลอดไป จนกว่าจะถึงพิธีแต่งงาน”มู่หลงฟู่ยอมปล่อยนาง ก่อนที่จะหันมานั่งเฉยๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ ซู่เย่รู้สึกได้อิสระทันที กว่าเขาจะยอมปล่อยนางได้ พร้อมกับหันไปมองคนตัวโตที่นั่งไม่พอใจอยู่“โกรธหรือเจ้าคะ”“…..”“ท่านพี่”“ท่านแม่ทัพขอรับ ถึงจวนสกุลจินแล้วขอรับ”“ข้าไปนะเจ้าคะ ท่านพี่”นางหันไป แต่เขายังไม่มองกลับมา ก่อนที่นางจะเดินลงจากรถม้าเอง และก็เป็นเขาที่สั่งให้รถม้าออกตัวไปทันทีโดยที่ไม่ได้ลงมาส่
จวนสกุลมู่“น้องสาม ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าเสียที”“พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่า ท่านทราบมาโดยตลอด ว่าข้าอยู่ที่นี่”“ใช่ แม่ทัพมู่บอกข้าตั้งแต่หย่งตู วันที่ฝังโลงเปล่านั่นแล้ว ทำให้ข้ามีแรงจะกลับเมืองหลวง อย่างน้อยก็เพราะรู้ว่ามีเจ้าอยู่ มิเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”“พี่ใหญ่ ท่านมีครอบครัว มีลูกแล้ว เหตุใดท่าน…”“ก็เหมือนเจ้าหรือมิใช่ เจ้าเองก็เกือบจะฆ่าตัวตาย หากท่านแม่ทัพไม่ได้ช่วยเจ้าขึ้นมา”“นั่นแสดงว่าพวกท่าน รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านช่วยฮูหยินได้อย่างไรเจ้าคะ”ย้อนกลับไป….“ฮูหยินเจ้าคะ ยาเจ้าค่ะ”“อืม นี่ยาอะไร”“ท่านหมอเย่สั่งเอาไว้ให้ท่านดื่มเจ้าค่ะ”“ออ งั้นหรือ อ่อ เจ้าน่ะให้คนไปแจ้งท่านโหวด้วยก็แล้วกันว่าหมอเย่ออกไปที่ตลาด”ฮูหยินสั่งสาวใช้ที่ยกยามาให้ออกไปแจ้งคน ก่อนจะทำท่ายกยาดื่มให้สาวใช้คนนั้นเห็น“ฮูหยินเจ้าคะ นี่มัน…”“ไม่ผิดแน่ นางไม่อยากรอแล้ว นางอยากกำจัดข้า แต่เสียดายที่ใช้คนโง่”“ท่านพึ่งจะกินยาที่ท่านหมอเย่ต้มให้ แต่นางกลับมาช้า และไม่ทันได้มองถ้วยยาเดิม”“แม่นมหยุน ให้คนไปแจ้งอาฟู่ว่ามีคนพาซูเย่ออกไปแล้ว ให้รีบกลับจวน และเจ้าเก็บตัวอย่างนี้