นับตั้งแต่นั้นมา กงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้ว
เมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม
ครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น
แต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้
เฉินซือหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าสหายราวกับต้องการที่ระบาย “นายท่านจะปล่อยให้พวกเกิดใหม่ย่ามใจไปจนถึงเมื่อใด หากพวกมันคิดยึดอำนาจผู้ปกครองภพมารไปเล่า”
หลิวอิงอิงเลิกคิ้วทำสีหน้าเย็นชาเหมือนอย่างเคย “ถึงอย่างไรนายท่านก็มีพลังมากกว่าพวกนั้น ไม่มีใครคิดทำอันใดได้หรอก”
พวกเขามองเข้าไปยังตำหนักอันแสนมืดมัวอึมครึมของจอมมารผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้
“นายท่านมีคำสั่งว่าห้ามรบกวน เจ้าอยากเข้าไปรายงานหรือไม่เล่าเฉินซือหยาง” โจวเหวินหลงเอ่ยปากเพราะทนเขาพร่ำบ่นมานานมากแล้ว
“แล้วพวกเราจะต้องรอไปจนถึงเมื่อใด นี่มันผ่านไปสิบปีแล้วนะ” เฉินซือหยางทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ “แอบหนีไปตอนนี้ดีหรือไม่ ถ้าพวกมารเกิดใหม่ตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมา ปีศาจอย่างข้าคงโดนจับกินก่อนใคร”
หลิวอิงอิงหัวเราะร่ากับความคิดของสหายพลางย้ำเตือนให้เขาได้รู้ว่า “ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าเป็นของผู้ใด หากนายท่านไม่ถอนตราประทับในตัวเจ้า ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ เจ้าก็ยังต้องตามมารับใช้นายท่านอยู่วันยังค่ำ”
กุกกัก กุกกัก
เสียงบางอย่างดังมาจากข้างในตำหนักทำให้ลูกน้องจอมมารหูผึ่งขึ้นมาทันใดหลังจากข้างในนั้นสงบนิ่งมานับสิบปี
ใบหูข้างขวาของพวกเขาแนบชิดประตูอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นพลางมองหน้ากันคาดเดาต่าง ๆ นานา
กุกกัก กุกกัก
“เจ้าว่ามันคืออันใด” เฉินซือหยางกระซิบถามสหายทั้งสอง
“ข้าก็อยู่กับเจ้าตรงนี้ จะไปรู้ได้อย่างไร” หลิวอิงอิงขมวดคิ้วชนกันกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายนิสัยของเขาแล้วหันไปตั้งใจฟังเสียงอีกครั้ง ในขณะที่มังกรดำอย่างโจวเหวินหลงสัมผัสถึงพลังมารที่ไม่เคยรู้สึกถึงมาก่อนได้แต่ยังคงนิ่งเงียบเอาไว้
ข้างในนั้น กงจื่อเย่มองร่างที่อยู่ตรงหน้าพลางจับมือน้อย ๆ เอ่ยพึมพำ “อีนั่ว ตื่นได้แล้ว”
เด็กน้อยในวันวานยังคงนิ่งเฉยราวกับปฏิเสธไม่ฟังคำของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
“ข้าขอโทษที่ทำร้ายเจ้าในวันนั้น แต่เจ้าเป็นครึ่งมาร ความเจ็บนั้นเทียบเท่ามดกัดยังไม่ได้เลย” จอมมารกำลังทำบางอย่างเพื่อปลุกให้บุตรชายตื่นจากภวังค์
คำพูดเปรียบเทียบทำให้ร่างตรงหน้าตงิดใจ ทั้งโกรธ เสียใจและน้อยใจที่บิดาทำกับเขาแบบนั้นจนไม่อยากฟื้นขึ้นมา
อันที่จริงแล้ว หลังจากที่กงจื่อเย่ฆ่าเขาด้วยมือของตัวเอง อีนั่วตกใจสุดขีดจนวิญญาณกระเด็นหายไปชั่วคราว
ทว่า ร่างกายครึ่งมารปีศาจของเขาแข็งแกร่งเหนือผู้ใด นั่นก็เพราะคนเป็นบิดาตั้งใจสร้างเขาขึ้นมาอย่างประณีต ทั้งร่างกายและวิญญาณจึงไม่สูญสลาย
อีกทั้งหลิวอิงอิงยังคอยร่ายกระแสพลังมารให้ตลอดเวลาร่างมารจึงยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งเมื่อได้รับพลังจากจอมมารโดยตรงแล้ว ร่างของอีนั่วยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม วิญญาณที่หลุดลอยไปหลายปีจึงถูกดึงกลับมายังร่างว่างเปล่าโดยปริยาย
เด็กตัวน้อยจดจำทุกอย่างในวันนั้นได้ เขาอุตส่าห์ดีใจที่บิดากลับมาหา แต่เวลานั้นจอมมารบ้าคลั่งกระหายเลือดอยากเอาชนะจึงคิดทำลายสิ่งที่มีค่าของอู๋เยว่ชิง
อีนั่วจึงถูกกระทำเหมือนเหยื่อคนอื่น ๆ สายตาของเขาที่มองกงจื่อเย่ตอนนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้
“เสด็จพ่อ ข้าเจ็บ...” เขาพยายามดิ้นรนหนีไปแต่สู้แรงไม่ได้ น้ำตาคลอเบ้าเพราะหวาดกลัวคนตรงหน้าที่กำลังแสยะยิ้ม
ความเจ็บในครั้งนั้นแม้จะน้อยกว่ามดกัดอย่างที่พูดแต่ก็อดทำให้เขาทรมานใจไม่ได้จึงไม่ยอมกลับร่างตนเองมานานนับสิบปี
ใครต่อใครต่างคิดว่ามารน้อยตายจากไปแล้ว มีเพียงแค่กงจื่อเย่ที่รู้ว่าบุตรชายเพียงแค่หลบหน้าหนีหายจากเขาเท่านั้น
“แม่ของเจ้าคงรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้ากระมังจึงไม่ยอมมาพบข้าบ้างเลย” จอมมารกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสำนึกผิด
เขาร่ายพลังทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเรียกวิญญาณของลูกชายกลับคืนร่างเดิมแต่ไม่อาจบังคับให้เด็กน้อยฟื้นได้หากเจ้าตัวไม่เต็มใจ
เวลานี้ทำได้แค่โน้มน้าวเพราะรู้ว่าอีนั่วเป็นคนเดียวที่จะสามารถช่วยเขาตามหาคนรักได้
“เจ้าไม่คิดถึงมารดาหรือ” น้ำเสียงกงจื่อเย่เศร้าสร้อย “คงไม่ใช่เช่นนั้นสินะ เจ้าคงโกรธข้ามากกว่า”
อีนั่วยังคงนิ่งเฉยไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นและเวลานี้ยังไม่รู้เลยว่าบิดาของเขากำลังพร่ำพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจ
เสด็จแม่ไม่อยู่ด้วยหรือ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสด็จพ่อตรัสเช่นนั้น นี่มันเรื่องอันใดกัน
ความคิดเหล่านั้นวนเวียนในใจของอีนั่วจนนึกอยากกลับเข้าร่างแล้วถามไถ่ให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ความรู้สึกปวดร้าวกับเหตุการณ์ในอดีตยังอยู่จึงอดทนเอาไว้แล้วหาคำตอบด้วยตัวเอง
“ช่างเถอะ” กงจื่อเย่ถอนหายใจรู้ความผิดของตัวเองดีจึงบีบมือน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน “หากข้าพานางมาหา เจ้าจะยกโทษให้ได้หรือไม่”
จอมมารไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมผู้ยิ่งใหญ่อย่างตนต้องเอาใจครึ่งมารที่อยู่ตรงหน้าขนาดนี้ แต่รับรู้บางสิ่งอย่างแน่ชัดว่าอีนั่วคือสัญญาของความรักระหว่างเขากับอู๋เยว่ชิง
หากอีนั่วยังมีชีวิตอยู่ บางทีนางอาจจะยอมให้อภัยเขา ยกโทษให้แล้วกลับมาหากัน อยู่ด้วยกันเหมือนเช่นในวันวาน
ท้ายที่สุดแล้ว กงจื่อเย่จึงตัดสินใจปล่อยให้อีนั่วได้พักผ่อนเพียงลำพัง คิดในใจว่าคนผู้เดียวที่จะปลุกบุตรชายได้คงจะเป็นมารดาที่เขารัก จอมมารลูบศีรษะอย่างแผ่วเบาบอกกับเขาว่า “ข้าจะพามารดาของเจ้ามาที่แห่งนี้ อดทนรอหน่อยเถิด เมื่อถึงวันนั้นแล้วหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
“...” อีนั่วนิ่งเฉย ไม่รับรู้สิ่งใดจนกระทั่งกงจื่อเย่หายตัวไปจากที่แห่งนั้นแล้วลูกน้องทั้งสามเข้ามาข้างในแทนที่
เฉินซือหยางยังคงไม่เข้าใจคำสั่งของเจ้านายจึงเอ่ยถามคนที่เหลือ “นายท่านออกมาข้างนอกครานี้เพื่อไปตามหาวิญญาณของนางหรือ ทำไมกันเล่าหรือว่าหลงรักศัตรูที่จะฆ่าตัวเองอย่างนั้นหรือ”
“เหตุใดเจ้าจึงสงสัยนักหนา ไม่รู้สักเรื่องจะได้หรือไม่” หลิวอิงอิงที่เป็นคู่ปรับถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ร่างของอีนั่วที่ถูกผนึกเอาไว้ เอ่ยพึมพำ “หน้าที่เดิมของข้ากลับมาแล้วสินะ”
โจวเหวินหลงเอื้อมมือสัมผัสร่างเด็กน้อยด้วยความอยากรู้เพราะพลังมารที่รู้สึกได้มีต้นกำเนิดมาจากตัวเขา “ยังไม่ตายหรอกหรือ”
คำพูดของเขาทำให้สหายทั้งสองมองหน้ากัน “หมายความอย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอก”
โจวเหวินหลงยังคงยืนยันคำเดิม “ยังมีชีวิตอยู่อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากด้วยเพียงแต่ไร้วิญญาณ”
“ร่างไร้วิญญาณก็หมายความว่าตายไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงพูดอะไรให้ซับซ้อน” เฉินซือหยางขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นลองสัมผัสเหมือนอย่างที่โจวเหวินหลงทำพลันเบิกตาโตตกใจ “ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ด้วย”
หลิวอิงอิงนึกถึงคำพูดของเจ้านายเมื่อครั้งก่อนจึงยิ้มมุมปาก “เห็นทีคงจะไม่ต้องกังวลเรื่องมารปีศาจที่เกิดใหม่นั่นแล้วล่ะ ในเมื่อตัวแทนของนายท่านอยู่ตรงนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็นครึ่งมารปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา สงสัยนายท่านจะตั้งใจสร้างเขาขึ้นมาจริง ๆ”
“เสียดายก็แต่มีครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ แม้ร่างมารดาที่ให้กำเนิดจะเป็นเทพจุติมาแต่ก็ไม่มีพลังนั้นด้วย มิอย่างนั้นแล้วคงมีเรื่องสนุกน่าดู” เฉินซือหยางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “หากคนในภพสวรรค์รู้เข้าจะทำอย่างไรกัน จะมาฆ่าเจ้าเด็กน้อยหรือว่าฆ่านางที่ให้กำเนิดมารปีศาจหรือไม่”
โจวเหวินหลงส่ายหน้าพลางเดาใจจอมมารผู้เป็นเจ้านาย “ในเมื่อตั้งใจเรียกวิญญาณเขากลับมาถึงเพียงนี้ นายท่านคงไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเขาหรอก เจ้าเองระวังความคิดเอาไว้หน่อยเถิด คิดก่อนพูดเสียบ้าง มิเช่นนั้นอาจตายเพราะปากได้”
“ยังไม่ทันได้เห็นพลังครึ่งมารปีศาจ พวกเจ้าก็ตีตนกลัวไปก่อนไข้แล้วหรือ อ่อนหัดเสียจริง ๆ” เฉินซือหยางยิ้มร่า “เจ้าเด็กน้อยอาจจะกลัวนายท่านจนไม่กล้ากลับเข้าร่างแล้วก็ได้”
ทั้งสามผลัดกันแสดงความเห็นไปมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามารน้อยกำลังฟังคำพูดอย่างจริงจังจนจับใจความได้ว่าหลังจากที่จอมมารทำร้ายเขา มารดาก็เสียใจที่ถูกทรยศหักหลังจนแตกสลาย
วิญญาณอีนั่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนิ่วหน้าเอ่ยเสียงดัง “ทำกับเสด็จแม่ถึงขนาดนั้นแล้วคิดจะให้ข้ายกโทษให้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด!”
วันนั้น ลูกน้องจอมมารทั้งสามได้เห็นพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของมารน้อยในพริบตาพลันได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวดังลั่นจนนิ่งงันโดยไม่รู้ตัว
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้