หน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้า ด้วยเพราะแม่ทัพลือนามถูกสวรรค์สาปหากแม้นผู้ใดเพียงแค่ได้พานพบหน้าจะต้องพบกับจุดจบทุกรายทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ชีพมิวอดวายและนางคือสตรีของแม่ทัพปีศาจที่เฝ้าโหยหามานานแสนนาน ตัวหายนะ ใบหน้าเต็มไปด้วยอาถรรพ์ เพียงแค่ประสบพบพักตร์ ร่างต้องกลายเป็นหินโดยพลันผู้คนสิ้นชีพวิบัติโรยรา มิอาจหวนคืน องค์ชายอิ๋งหยางแห่งต้าฉิน จึงต้องถูกเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดนเพื่อใช้ชีวิตนี้ปกป้องและแทนคุณแผ่นดิน จนกลายเป็นแม่ทัพปีศาจ ที่หามีผู้ใดเสมอเหมือน และจางเพ่ยอัน อดีตชาติคือสูกสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดี กลับต้องจบชีวิตลงในวัยเพียงแค่ 6 ปี เพราะเกิดด้วงพิฆาต เธอกลับชาติไปเกิดในยุคปัจจุบัน และต้องกลับมาในชาติอดีตอีกครั้ง เมื่อดวงวิญญาณฝาแฝดจางเจี๋ยอี้ นำพากลับมา ดวงพิฆาตในยุคปัจจุบันหวนคืนสู่อดีต ทำให้แม่ทัพปีศาจหลุดพ้นจากคำว่าตัวหายนะ ทำลายล้างจนแคว้นล่มสลายและเธอกลับมาเพื่อเคียงคู่กับแม่ทัพไปตลอดกาล
View Moreดวงพิฆาตในรอบสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งและจะเกิดขึ้นเฉพาะบุรุษ
พิฆาตทุกชีวิตทันทีที่พานพบหน้า พิฆาตดวงเมืองล่มแคว้นจนถึงกาลล่มสลาย อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสามพันปีต่อมาดวงพิฆาตกำหนดให้เป็นอิสตรี คราใดเมื่อดวงพิฆาตทั้งสองได้โคจรมาพานพบกัน จากดวงพิฆาตจบทุกชีวิตรอบข้างให้สูญสิ้น กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นดวงจักรพรรดิ และรักนี้ไม่มีวันตายเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่คริสต์ศักราช 2018
มณฑลส่านซี ณ นครซีอาน เมืองซีอาน ตั้งอยู่ในมณฑลส่านซีเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เรียกได้ว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์โลกอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีชื่อเสียงระดับโลก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศที่ต้องการอยากจะสัมผัสอารยธรรมในอดีตของจีน ต่างเดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองซีอานด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในตะวันตกเฉียงเหนือของจีนอีกด้วย และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมืองซีอานเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าในเขตนครซีอาน ยังปรากฏกำแพงเมืองโบราณซึ่งถือได้ว่าสมบูรณ์ที่สุดของจีน มีความยาวโดยรวมถึง 13.7 กิโลเมตร และมีทางเดินกว้างสิบสองถึงสิบแปดเมตร มีป้อมปราการเก้าสิบแปดป้อม มีการขุดคูน้ำล้อมรอบ สร้างขึ้นในยุคสมัยของราชวงศ์หมิง เพื่อใช้ป้องกันการโจมตีของข้าศึก ปัจจุบันกำแพงเมืองแห่งนี้ยังคงยืนหยัดสูงตระหง่านให้คนรุ่นหลังซึ่งอยู่ในยุคแห่งเทคโนโลยีล้ำหน้า ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงเป็นสถานที่ออกกำลังกายของประชาชนเมืองซีอานและยังมีการจัดเทศกาลหรือกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ และในบริเวณดังกล่าวกำลังจัดเทศกาลชมดอกโบตั๋น ซึ่งจะกำหนดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี เทศกาลดอกโบตั๋น ในหนึ่งปีมีจัดงานเทศกาลดอกโบตั๋นแค่ครั้งเดียว ในช่วงนี้เท่านั้น นักท่องเที่ยวมากมายทั้งภายในประเทศและชาวต่างชาติต่างพากันเดินทางเข้ามาเยี่ยมชม และสัมผัสกับบรรยากาศงานเทศกาลดอกโบตั๋นที่สวยสดงดงามหลากหลายสี ซึ่งเป็นสีที่ยากจะพบเห็น ตระการตากับดอกโบตั๋นที่สวยงามดอกโบตั๋นหรือ หมู่ตาน เป็นดอกไม้ที่มีความหมายพิเศษสำหรับชาวจีน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โบตั๋นเป็นหนึ่งในดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน ดอกโบตั๋น เป็นดอกไม้ที่มีความหมายดีๆ เป็นมงคล และดอกโบตั๋นที่พิเศษแตกต่างจากดอกไม้ชนิดอื่น ๆ คือ ที่ก้านจะมีใบสามใบ และในใบใหญ่แต่ละใบจะแตกออกเป็นใบเล็กอีกสามใบ รวมทั้งหมดเก้าใบ ภายในงานนอกจากจะมีแต่ดอกโบตั๋นหลากสีแล้ว ยังมีร้านค้ามากมายมาเปิดขายของนานาชนิดให้นักท่องเที่ยวได้พากันเลือกชื้อติดไม้ติดมือ นับตั้งแต่ของกินดาษดื่นจนไปถึงของใช้ต่างๆ มากมายและรวมไปถึงสิ่งที่เป็นความเชื่อของคนจีนในสมัยโบราณ เกี่ยวกับโชคลางรวมไปถึงลิขิตแห่งโชคชะตาดูดวง ทำนายโชคชะตา จัดวางฮวงจุ้ย เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี เชิญด้านใน ป้ายโฆษณาสำหรับตั้งพื้นวางไว้อยู่ตรงทางเข้าร้านซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านค้าประจำมากมายมาเปิดให้บริการถัดจากกำแพงเมืองโบราณเพื่อให้บริการกับนักท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละวันเดินทางมาเที่ยวชมสถานที่ดังกล่าวกันอย่างคับคั่ง ด้านนอกร้านมีผู้คนกำลังนั่งรอคิวตามบัตรที่วางไว้อยู่บนโต๊ะด้านนอก เพื่อเข้าไปตรวจดวงชะตากับซินแสชื่อดังซึ่งเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว “อัยย่ะ! วันนี้ฉันได้คิวยาวคนที่ร้อยสี่สิบเลยเหรอ” เสียงของหญิงชราวัยประมาณหกสิบปี ยืนบ่นพึมพำอยู่หน้าร้านก่อนจะหันกลับไปมองเก้าอี้นั่งซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ให้ลูกค้ามาใช้บริการนั่งรอตามคิว
“อ้าว! มีรอแค่ห้าคน ก็หมายความว่าฉันเป็นคนที่หกสิใช่ไหม แล้วทำไมบัตรคิวถึงอยู่ลำดับที่ร้อยสี่สิบล่ะ” คุณยายวัยเก๋าบ่นมิรู้วาย
“โธ่ คุณยายจ๋า คนมาดูดวงทั้งวันตั้งแต่เปิดร้านจนถึงตอนนี้ ยายก็ต้องเป็นคนที่ร้อยสี่สิบสิจะเป็นคนที่หนึ่งได้ยังไงกันจริงไหม” พนักงานหน้าร้านซึ่งเป็นหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ค่อยๆ อธิบายให้ผู้สูงวัยได้เข้าใจ
“อ่อ... อ่อ... เข้าใจแล้ว... แล้ววันนี้เป็นเวรของซินแสอันอันมาดูดวงใช่ไหม ถ้าเป็นซินแสคนอื่นยายไม่ดูนะ เชื่อไม่ได้เลยไม่เหมือนซินแสอันอัน ดูดวงแม่นอย่างกับตาเห็น”คุณยายยังบ่นไม่หยุด
“วันนี้เป็นคิวของซินแสอันอันละจ้ะ คุณยายขา คิวถึงได้ยาวขนาดนี้ยังไงล่ะเจ้าคะ ถ้าเป็นซินแสคนอื่นนะเหรอ... เหอ... เหอ... ไม่อยากจะพูด” พนักงานหน้าร้านกล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่อยากจะเอื้อนเอ่ย
ด้วยเป็นที่ล่วงรู้กันดีว่าช่วงสามปีที่ผ่านมา บริเวณพื้นที่ของกำแพงเมืองโบราณของซีอาน มีร้านมาเปิดทำนายดวงและโชคชะตา และจัดวางฮวงจุ้ยให้เกิดสิริมงคล ซึ่งเพียงระยะเวลาไม่นานลูกค้าเอ่ยปากต่อปากต่างขยายออกเป็นวงกว้าง ว่ามีซินแสวัยละอ่อนทำนายโชคชะตาและแม่นยำราวกับตาเห็น สามารถทำนายทายทักและแก้ไขผู้ที่ต้องการล่วงรู้ว่าตนจะมีลิขิตดีร้ายชั่วดีอย่างไรบ้าง
และด้วยราคามิตรภาพที่ไม่เอาเปรียบลูกค้าที่มาใช้บริการ ทำให้ร้านหมอดูซึ่งมีขนาดเล็กพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายคับคั่งไปด้วยผู้คนต่างเข้ามาใช้บริการในวันที่ซินแสคนดังกล่าวมานั่งประจำร้าน วันใดที่มาวันนั้นร้านแทบแตกและทำรายได้นับหมื่นๆ หยวนและมากกว่านั้นขึ้นไปอีก หากมอบสินน้ำใจพิเศษ
เมื่อเข้าไปภายในร้านจะพบว่าตนเองหลุดเข้าไปโลกอดีต ด้วยพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายขนาด สามคูณสามเมตรตกแต่งคล้ายห้องรับรองย้อนไปในสมัยโบราณ โต๊ะหนังสือทำจากไม้มีขนาดเตี้ยวางอยู่บนพื้นพรมซึ่งยกระดับสูงขึ้นจากพื้นพร้อมตั่งสำหรับนั่งกับพื้นมีพนักพิงหลังสำหรับลูกค้าสองตัวและ สำหรับซินแสหนึ่งตัวเท่านั้น
อุปกรณ์ในการดูดวงหามีอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่ สำรับไพ่หรือจะเป็นเหรียญโบราณ มิได้นำมาใช้ในการทำนายโชคชะตา มีเพียงซินแสสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ในวัยสาวแรกแย้ม ใช้เพียงปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับอีกฝ่ายเท่านั้น
จางเพ่ยอันหรืออันอัน ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเธอ หญิงสาววัยแรกดรุณีอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น เธอคือแม่หมอหรือซินแสคนดังที่กำลังเป็นที่กล่าวขานอยู่ในขณะนี้ ด้วยการทำนายทายทักที่แม่นยำราวกับตาเห็น และสามารถแก้ไขให้คนที่มาหาเธอจากร้ายให้บรรเทาเบาบางลง
ทว่าไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าแท้จริงแล้วแม่หมอคนดังทำอาชีพนี้ควบคู่ไปกับการเป็นนักประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์ส่านซีในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยชั่วคราว ซึ่งอาชีพดูดวงของเธอทำรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่ารายได้จากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายเท่าตัวนัก
เปลือกตาปิดสนิทพร้อมปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับนิ้วส่วนปลายของลูกค้ากำลังใช้ญาณสัมผัสพิเศษของเธอค้นหาที่มาที่ไปของต้นตอชะตาร้ายให้แก่ลูกค้าวัยกลางคนที่กำลังนั่งรอฟังคำตอบด้วยใจจดใจจ่อ ในขณะที่ญาณจิตของเธอกำลังสัมผัสเปิดผนึกภาพเหตุการณ์ของลูกค้า
ฉับพลันภาพเหตุการณ์บางอย่างแทรกเข้ามาทันที เมื่อผู้คนที่กำลังเดินชมเทศกาลงานดอกโบตั๋น ต่างพากันแตกฮือวิ่งหนีกันอย่างอลหม่านเมื่อปรากฏกลุ่มอันธพาลซึ่งเป็นมาเฟียท้องถิ่นเกิดเปิดศึกนองเลือด ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เสียงปืนดังสนั่นเกิดขึ้นติดต่อกันพร้อมร่างของนักท่องเที่ยวซึ่งมาเที่ยวชมงาน ถูกลูกหลงล้มลงกับพื้นเลือดไหลนองออกจากร่างกรี๊ดดดด!!! เสียงกรีดร้องของผู้คนพากันแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่านพร้อมเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อมาเฟียสองกลุ่มลงมือปะทะกันอย่างดุเดือด
เปรี้ยง! เปรี้ยง! ลูกกระสุนสาดไปทุกทิศทางพร้อมร่างของพนักงานหน้าร้านของหญิงสาวล้มลงไปนอนจมกองเลือดทันที ดวงตาเบิกค้างอยู่เช่นนั้น
พรึบ!!! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นทันใด
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเธอเห็นภาพอนาคตที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนับต่อจากนี้“รีบออกไปจากร้านเร็วเข้า! บริเวณนี้กำลังมีอันตราย... จะมีเหตุยิงกัน! รีบออกไปจากบริเวณนี้! ออกไป!!!” หญิงสาวตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง
มือเรียวรีบฉุดลูกค้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามให้ลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมดึงออกจากร้านอย่างรวดเร็ว ปากก็รีบตะโกนบอกไปพร้อมๆ กัน
“ออกไปจากบริเวณนี้เร็วๆ เข้า จะมีเหตุยิงกันขึ้น ไปเร็ว กลับบ้านใครบ้านมัน” หญิงสาวตะโกนบอกลูกค้าทางด้านนอกท่ามกลางอาการตื่นตระหนกของทุกคน ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อาจารย์หมายความว่ายังไง จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ” ลูกค้าของเธอถามกลับไปมา
“อย่ามัวเสียเวลาถาม! รีบวิ่งไป! เจ๊หวีรีบออกไปจากที่นี่ ขืนอยู่ต่อไปพี่สาวจะถูกยิงตาย!!!” หญิงสาวตะโกนบอกพนักงานหน้าร้านคนดังกล่าวที่เธอเห็นในญาณจิตของเธอ
“หา!!!” เสียงร้องอุทานของทุกคนที่อยู่ภายในบริเวณนั้นดังออกมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
ทันใดนั้นเอง
กรี๊ดดดด!!! เสียงกรีดร้องของผู้คนในงานดังกระหึ่มขึ้นมาทันทีเปรี้ยง !เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นติดต่อกัน
และนั่นทำให้ผู้คนที่กำลังยืนตื่นตระหนกอยู่หน้าร้านซินแสคนดัง แตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศละทางในขณะที่แม่หมอสาวยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อเหตุการณ์ที่เห็นในญาณกำลังเกิดขึ้นจริง
“มันเกิดขึ้นแล้ว!” หญิงสาวยืนพึมพำ
ทว่ายังมิทันจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดสัมผัสพิเศษของเธอพลันปรากฏขึ้นมาให้เธอเห็นอีกครา เมื่อจางเพ่ยอันเห็นตึกสูงระฟ้าในเมืองซีอานและกำแพงเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ก่อนจะกลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเข้ามาแทนที่
ทว่าทั่วบริเวณมีแต่ร่างอันไร้วิญญาณของชายฉกรรจ์มากมายนับเรือนแสนนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าเธอ ในสภาพสยดสยองราวกับว่าพื้นที่ในขณะนี้เพิ่งผ่านพ้นการทำสงครามกันอย่างดุเดือดไปได้ไม่นาน
ลูกธนูไฟมากมายปักอยู่ทั่วพื้นเต็มไปหมด กำลังลุกโชนเผาไหม้กองทัพอีกฝ่ายให้วอดวาย ธงรบสีแดงตระหง่านโบกสะบัดไปมาแสดงถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้
“ธงรบแคว้นฉิน!” หญิงสาวเอ่ยออกมาทันทีครั้นเห็นเช่นนั้น
ทันใดนั้นเองจู่ๆ พลันปรากฏกลุ่มหมอกควันขาวลอยปกคลุมไปทั่วบริเวณอย่างมิรู้สาเหตุ จนมองไม่เห็นอะไรเลยท่ามกลางความตกตะลึงของจางเพ่ยอัน
เปรี้ยง! เสียงปืนดังกระหึ่มอยู่ทางด้านหลังของหญิงสาว
สองขาที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงรีบก้าวยาวๆ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงสาดกระสุนปืนของกลุ่มมาเฟียดังไล่หลังตามเธอมาติดๆ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เสียงปืนดังกระหึ่มจนทำให้จางเพ่ยอันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!” หญิงสาวร้องตะโกนขอความช่วยเหลือออกไปจนสุดเสียงพร้อมพยายามเพ่งมองฝ่าม่านหมอกควันขาวที่แผ่ปกคลุมไปโดยรอบ
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยเบิกกว้างขึ้นมาทันใดพร้อมรอยยิ้มด้วยความดีใจ เมื่อเห็นร่างใหญ่ของบุรุษสวมชุดเกราะโบราณระดับแม่ทัพชั้นสูง ยืนสูงตระหง่านถืออาวุธสมัยโบราณเป็นดาบง้าวขนาดใหญ่ ท่ามกลางหมอกควันขาวที่แผ่ปกคลุมไปโดยรอบ
ทว่าในเวลานี้จางเพ่ยอันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไรกันแน่ สองขารีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาทันที
“คุณคะช่วยฉันด้วย! ช่วยด้วย!!!”
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังยืนมองสตรีสาวที่กำลังวิ่งหนีตายมาอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความแปลกใจอย่างยิ่งยวด ดวงตาสีนิลกาฬคมกล้ามองผ่านหน้ากากสีเงินฝ่าม่านหมอกออกไปครั้นเห็นผู้ที่วิ่งมาหาพร้อมส่งเสียงขอความช่วยเหลือหาใช่บุรุษแต่อย่างใด
“สตรีหรือนี่!” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาภายใต้หน้ากากสีเงิน
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน
Comments