ค้นหา
ห้องสมุด
หน้าหลัก / โรแมนติก / รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90) / จุดเริ่มต้นของสองเรา
รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)
ผู้แต่ง: เฟยเทียน / เงาจันทราสีหมึก / กัญญ์ญาภัค

จุดเริ่มต้นของสองเรา

2025-05-07 11:33:40

17 มีนาคม 2551

(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)

ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...

15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย         ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะ

ฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม

“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”

เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง

“เฮีย?”

“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”

“หา?” ฉันกะพริบตา

ก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ

“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม

“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือนกัน” ฉันรีบแก้ตัว

ครีมกลอกตา “ก็แน่สิ เฮียของฉันอยู่กับอาม่าที่ภาคเหนือมาตลอดเพิ่งกลับมาอยู่บ้านไม่กี่เดือนนี่เอง เอาไว้หลังจบม.3 พวกเราไปสอบเข้าโรงเรียนเดียวกันกับเฮียนะ”

ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันโดยไม่ได้ตอบเรื่องเรียนต่อก่อนที่น้องชายของฉันจะหันไปถามครีมด้วยความสงสัยถึงเรื่องบุคคลที่สามต่อ

“แล้วเฮียของเจ้เป็นคนยังไงเหรอ?”

ครีมถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบลูกอมรสมะนาวจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนมาแกะใส่ปาก

“พูดตรงแบบโคตรตรง ตรงจนบางทีฉันยังอยากเอาหมอนอัดหน้า”

“ขนาดนั้นเลย?” ฉันหัวเราะอย่างขบขันให้คำพูดของเพื่อน

“ขนาดนั้นแหละ! แกลองคิดดูนะ เขาอยู่กับอาม่ามาตลอด เป็นคนเงียบ ๆ จริงจังพูดน้อย แต่ถ้าได้พูดก็มีแต่คำที่แทงใจดำคนฟังสุด ๆ” ครีมทำหน้าตาเวทนาตัวเองก่อนจะพูดต่อ

“ยกตัวอย่างแค่ฉันทำอะไรเปิ่น ๆ หน่อยก็โดนด่าเป็นชุด”

ม่านเมฆยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “งั้นเฮียของเจ้คงไม่ถูกชะตากับเจ้ฟ้า...แน่เลย”

“เอ้า! ทำไมล่ะ?” ฉันหันขวับไปหาแฝดตัวเอง

ม่านเมฆหัวเราะก่อนจะเฉลยความ “ก็เจ้น่ะชอบช่วยคนอื่นไปทั่ว ใจดีจนบางคนเข้าใจผิดไปหมด เจอคนที่พูดตรงขนาดนั้นเข้าไป ผมรับรองว่าเจ้อาจจะไม่รอด”

“นายคิดว่าเฮียฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” ครีมขำ “ถึงเฮียจะพูดตรงแต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะ แค่ถ้าคนไหนนิสัยไม่ดีหรือไม่จริงใจกับเขา เขาจะตัดจบเลย...และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในนิสัยของคนเกิดวันอังคาร”

“เจ้ครีมหมายความว่ายังไง คนเกิดวันอังคารทำไมเหรอ” ม่านเมฆหูผึ่งถามออกมาอย่างกังขา

“นายเป็นผู้ชายแบบไหนขี้เมาท์จัง” ฟ้าใสกระเซ้าน้องชายที่เกิดคนละวันเพียงห้านาที

“ผมไม่ได้ขี้เมาท์ซะหน่อย แค่สงสัยเฉย ๆ” ม่านเมฆยักไหล่ ก่อนจะหันไปมองครีมที่อมลูกอมรสมะนาวในปากพลางทำหน้าครุ่นคิด

“คนเกิดวันอังคารก็เป็นพวกหัวดื้อ ใจร้อน มีโลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าได้เป็นพี่ชายก็คือพี่ชายที่ดีสุด ๆ เลยนะ” ครีมอธิบายเสียงอู้อี้เพราะยังอมลูกอมอยู่

“ดื้อ ใจร้อน?” ฉันพึมพำ “แสดงว่าพี่ชายเธอเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

“อืม ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เฮียครามไม่ค่อยพูดมากกับใครหรอก นอกจากครอบครัวและคนที่เขาสนิทใจด้วยเท่านั้น” ครีมยักไหล่ก่อนจะพูดต่ออย่างไม่คิดอะไร

“แต่ถ้าลองได้รู้จักนิสัยของเขา เขานับได้ว่าเป็นคนใจดีคนหนึ่งเลยนะ”

ฉันทำหน้าแบบเออออห่อหมกไปตามเพื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เราจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม? ไม่ไปเลือกหนังสืออ่านกันสักหน่อยเหรอ? ใกล้สอบแล้วนะ”

“จริงด้วย!” ครีมลุกพรวดขึ้นแล้วลากฉันไปที่ชั้นหนังสือ โดยมีม่านเมฆเดินตามมาไม่ห่าง

บรรยากาศห้องสมุดของมหาวิทยาลัยศรีปฐมในปี พ.ศ 2538 เงียบสงบ มีนักศึกษาบางคนมานั่งอ่านหนังสือกันหลายคน พวกเขาค่อนข้างมีสีหน้าเงียบขรึม

เข้ากับพื้นห้องที่ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาล โต๊ะไม้เรียงเป็นระเบียบ ตู้หนังสือสูงท่วมหัวเรียงรายเต็มห้อง ฉันเดินผ่านแผนกหนังสือภาษาอังกฤษแล้วหยิบเล่มหนึ่งออกมา

“เจ้ฟ้าจะอ่านภาษาอังกฤษ?” ม่านเมฆขมวดคิ้ว

“ก็ต้องฝึกไว้ไง อีกไม่กี่ปีเราก็จะเข้าม.ปลายและก็ต่อด้วยมหาวิทยาลัยใช่ไหมล่ะ” ฉันพูดอย่างมั่นใจ

“โห เจ้อยากเรียนที่ไหนล่ะ”

“ก็...” ฉันอึกอัก เพราะจริง ๆ แล้วฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังเลยเพราะตอนนี้พวกเรายังไม่จบม.3

ครีมที่กำลังเลือกหนังสืออยู่อีกด้านยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู

“ถ้าแกยังไม่คิดว่าจะเรียนที่ไหน งั้นก็เรียนที่เดียวกับฉันไง”

ฉันหันไปมองเธออย่างสงสัย “หมายถึงโรงเรียนศรีปฐมนะเหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ” ครีมพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม ถ้าไปเรียนที่เดียวกันต่อก็ดีออก จะได้ไม่ต้องปรับตัวใหม่ไง”

“แต่ศรีปฐมเป็นโรงเรียนใหญ่เลยนะ” ฟ้าใสพูดยังไม่ทันจบ เสียงของม่านเมฆก็แทรกขึ้นอย่างกังวล

“การแข่งขันสูงมาก ได้ยินว่าปีที่แล้วคนสอบเข้าเยอะ          สุด ๆ”

“แล้วไง?” ครีมยักไหล่ “ยากแค่ไหนก็ต้องลองป่ะ พวกเราเรียนมาขนาดนี้ ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็น่าจะสอบติดแหละ”

ฉันพยักหน้าอย่างใช้ความคิด จริงอยู่ที่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะเรียนที่ไหน แต่โรงเรียนศรีปฐมก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเพราะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด อีกทั้งปีนี้ยังเพิ่งจะเปิดรับสมัครนักเรียนหญิงเป็นปีแรก

แต่สำหรับม่านเมฆนั้นดูแตกต่างออกไปเขาสนใจโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ที่ต้องมาเรียนที่เดียวกันก็เพราะพวกเรามักจะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดเขาจึงทำใจแยกไปเรียนโรงเรียนชายล้วนไม่ได้

ม่านเมฆถอนหายใจพลางเอามือลูบท้ายทอยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำเวลาเจ้าตัวอยากให้ฉันเห็นด้วยกับเขา ทว่าเจ้าตัวกลับไม่พูดออกมาถึงความต้องการของตัวเองโดยตรง

“ถ้าเจ้อยากไป ผมก็คงต้องไปด้วยละมั้ง”

ฉันหันไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเอง “จริงเหรอ?”

“อืม” ม่านเมฆพยักหน้า “บอกตามตรงผมเองก็สนใจโรงเรียนนี้มาตั้งแต่ม.1 แล้วละ แต่ตอนนั้นไม่กล้าแยกกับเจ้น่ะ”

“แหม! ทำตัวเป็นเด็กติดพี่ว่างั้น” ครีมแซวด้วยรอยยิ้มพลางสะบัดผมที่กำลังละใบหน้า

“ก็ต้องติดสิ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด” ม่านเมฆตอบหน้าตายก่อนจะหันมามองฉัน

ฉันคิดว่าหากฉันไม่ตอบตกลง น้องชายก็คงจะเสียใจดังนั้นในเมื่อเขาเคยทำเพื่อฉันมาแล้วดังนั้นครั้งนี้ฉันจะทำเพื่อเขาบ้างก็แล้วกัน

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศรีปฐมกัน”

“เจ้พูดจริงเหรอ” ม่านเมฆถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู

“จริงสิ อีกอย่างหากสอบติดพวกเราจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนหญิงรุ่นแรกของโรงเรียนเลยนะแบบนี้ไม่ดีหรือยังไงฟังดูเท่ไม่หยอก” หลังฉันพูดจบครีมก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ครีมหัวเราะจนตัวงอก่อนจะโบกมือไปมา “แกนี่มันจริง ๆ เลยฟ้าใส หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเก่งชะมัด”

“เอ้า! ก็มันจริงไหมล่ะ” ฉันยักไหล่ก่อนจะหัวเราะตาม

ม่านเมฆมองฉันด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังซึมซับสิ่งที่ฉันพูด “งั้นก็ตกลง เราสอบเข้าโรงเรียนศรีปฐมด้วยกัน”

“เยี่ยม!” ครีมยกมือขึ้นดีดนิ้วก่อนจะเอื้อมมาคล้องแขนฉัน

“ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราต้องอ่านหนังสือกันหนักขึ้นแล้วนะ ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด”

“รู้แล้วน่า” ฉันหัวเราะ

พวกเราใช้เวลาที่เหลือในห้องสมุดอ่านหนังสือและจดโน้ตกันอย่างเคร่งเครียด พจนานุกรมเล่มหนา หนังสือเรียนเล่มโต สมุดฉีกที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนของสูตรคำนวณและเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ถูกกางออกเต็มโต๊ะ

ม่านเมฆมีเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์เครื่องหนึ่งที่เขาหวงนักหนาเพราะเป็นของที่ป๊าซื้อให้ตอนต้นปี เขามักใช้มันคำนวณโจทย์เลขอย่างจริงจัง

ขณะที่ครีมง่วนอยู่กับการอ่านเนื้อหาในหนังสือสังคมศึกษา และฉันก็กำลังพยายามท่องศัพท์ภาษาอังกฤษที่อาจออกสอบ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศของห้องสมุดยังคงเงียบสงบ มีเพียงเสียงกระซิบคุยกันแผ่วเบาของกลุ่มนักศึกษาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น จนกระทั่งใกล้เวลาห้องสมุดปิดพวกเราจึงตัดสินใจเก็บของและเดินออกจากอาคาร ครีมรีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วร้องเสียงหลง

“ตายแล้ว! เฮียครามมารับฉันยังเนี่ย!” ใบหน้าของเธอเหลอหลา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป