ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ
“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”
ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีต
เสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา
“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ
“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้า
พวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรส
ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
ถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้
ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู สอนฉันให้เข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริง ๆ
ฉันแพ้จนเข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริง ๆ
เสียงร้องฟังนุ่มหูของนักร้องดังในขณะนั้นแว่วเข้ามาในโสตประสาท ฉันจำได้ทันทีว่าเป็นเพลงขอบใจจริง ๆ ของ เบิร์ด ธงไชย ที่กำลังฮิตติดชาร์ตอยู่ตอนนี้ เสียงดนตรีคลอไปกับเสียงพูดคุยของผู้คนรอบข้างทำให้บรรยากาศช่วงเย็นดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
“เพลงโปรดของเจ้ฟ้านี่” ม่านเมฆแซวขึ้นมาทำให้ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาเล็กน้อย
“ไม่ได้โปรดขนาดนั้น แค่ฟังบ่อย” ฉันแก้ตัว
ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงลานจอดรถจักรยานยนต์หน้าอาคารเรียนของคณะวิศวะ สายตาของฉันเหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนชายรูปร่างผอมสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายเสื้อสีขาว กางเกงสีกากีรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลเข้มกำลังยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ Honda Steed 400
มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างถือวอล์กแมนสีดำพร้อมสายหูฟังที่พาดจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนขึ้นไปยังหู ครีมรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือสะกิดไหล่ของเขา
“เฮีย! รอนานไหม?”
เด็กหนุ่มดึงหูฟังออกข้างหนึ่งก่อนจะเหลือบมองน้องสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ช้า”
ครีมยิ้มแหยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “เฮียกำลังฟังอะไรอยู่เหรอ?”
เขาไม่ได้ตอบ แต่กลับพลิกฝ่ามือซ่อนวอล์กแมนไว้ราวกับไม่อยากให้ใครดู
“ยุ่ง” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะเหลือบตามามองฉันกับม่านเมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากครีม
ครีมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอจึงรีบหันมาแนะนำฉันกับน้องให้พี่ชายรู้จัก
“เฮีย นี่ฟ้าใสกับม่านเมฆ เพื่อนฉันเอง สนิทกันมาตั้งแต่ประถม”
ฉันกับม่านเมฆยกมือไหว้เขา “สวัสดีค่ะ/ครับ” พวกเราทักทายขึ้นพร้อมกัน
เฮียครามพี่ชายของครีมมองพวกเราครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแบบผ่าน ๆ แล้วหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมโดยมีครีมขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง
“กลับดี ๆ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะบิดคันเร่ง เสียงของเครื่องยนต์ครางออกมาเล็กน้อยก่อนที่เด็กหนุ่มจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำมันและเสียงท่อไอเสียที่เริ่มห่างออกไป
ฉันมองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่เริ่มไกลออกไปก่อนที่จะรับรู้ถึงแรงสะกิดจากม่านเมฆ
“เจ้ มองอะไรอยู่?”
ฉันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้า “เปล่านี่ พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ”
“อืม” หลังจากนั้นพวกเราสองพี่น้องก็เดินไปยังป้ายรถสองแถวด้านหน้ามหาวิทยาลัย บรรยากาศช่วงเย็นของเมืองศรีปฐมยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คน
นักเรียนหลายคนกำลังยืนรอรถเหมือนกัน บางคนใส่หูฟังวอล์กแมนแล้วฮัมเพลงออกมาตามเสียงดนตรีที่ดังจากเทปคาสเซ็ตต์ บางคนถือหนังสือท่องศัพท์เตรียมสอบ
และเมื่อรถสองแถวสีแดงค่อนข้างเก่าเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าพวกเราสองคนรีบก้าวบันไดขึ้นไปนั่ง สายลมเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้ายามรถเคลื่อนตัวทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายจนเผลอยิ้มออกมาพร้อมกับครุ่นคิดในเรื่องที่คุยกับครีมในห้องสมุด
ซึ่งอีกไม่กี่อาทิตย์พวกเราก็จะสอบปลายภาคจบม.3 จากนั้นก็จะต้องถึงเวลาสอบเข้าโรงเรียนใหม่กันแล้ว
เมื่อรถสองแถวจอดหน้าตลาดเราสองพี่น้องก็เดินตรงมายังตึกแถวในตลาดตอนเย็นที่ค่อนข้างเงียบเหงาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในตอนนี้
และเมื่อหลังจากกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที ห้องนี้เป็นห้องไม่กว้างเท่าไหร่นัก มีโต๊ะไม้สองตัวตั้งติดกัน
บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือเรียนปกอ่อนลายการ์ตูน สมุดฉีกที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน พจนานุกรมเล่มหนาและปากกาไส้เปลี่ยนสีที่ฉันชอบใช้จดโน้ต
ม่านเมฆวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
“วันนี้เจ้จะอ่านอะไร?”
“สังคมมั้ง วิชาอื่นเริ่มโอเคแล้ว แต่สังคมยังมีบางเรื่องที่จำไม่ได้” ฉันว่าพลางเปิดสมุดโน้ตที่ขีดเส้นไฮไลต์สีเขียวไว้เต็มหน้า
เสียงเปิดหนังสือดังเป็นจังหวะ ขณะที่ม่านเมฆเริ่มขีดเขียนสูตรคณิตศาสตร์ลงในกระดาษทด ส่วนฉันพยายามจำลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
บรรยากาศของห้องเงียบลงมีเพียงเสียงเข็มของนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กำลังส่งเสียงดังเป็นจังหวะกับเสียงคลื่นวิทยุจากเครื่องเล่นเทปที่เปิดคลอ ฉันกับน้องชอบฟังเพลงไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย ในขณะที่พวกเรากำลังใจจดจ่ออยู่กับหนังสือของตัวเองพลันเสียงของดีเจก็ดังขึ้น
“เพลงต่อไป ขอฝากให้เพื่อน ๆ ที่กำลังอ่านหนังสือสอบทุกคน เป็นกำลังใจให้นะครับ” หลังเสียงของดีเจจบลงก็มี เสียงของทำนองดนตรีขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องของ ติ๊นา - คริส ติน่า อากีล่าร์
ม่านเมฆเงยหน้าขึ้นมาพลางเอ่ยถามฉันอย่างกังวล “เจ้อยากให้ผมเปิดวอล์กแมนฟังมั้ย?”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็จบแล้ว” ฉันตอบก่อนจะก้มหน้าท่องเนื้อหาในสมุดต่อไป
ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แม่เดินเข้ามาพร้อมถาดที่มีแก้วน้ำส้มคั้นสองแก้วกับขนมปังปิ้งทาเนยหอมกรุ่นวางอยู่บนถาดไม้ก่อนจะวางลงบนโต๊ะข้างมือของฉัน
“พักกินอะไรก่อนเถอะลูก เดี๋ยวอ่านมากไปจะปวดหัว”
ฉันละสายตาจากหนังสือ ยิ้มให้แม่ก่อนจะหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาจิบ ส่วนม่านเมฆรีบคว้าขนมปังขึ้นมากัดทันที
“อร่อย!” เขาพูดพลางเคี้ยวขนมปังตุ้ย ๆ ฉันหัวเราะออกมาให้กับท่าทางของเขา
“อีกไม่กี่วันก็สอบแล้ว พักบ้างนะลูก” แม่ลูบหัวฉันก่อนจะไปลูบหัวน้องชายตัวแสบ
“ทำให้เต็มที่ก็พอ ไม่ต้องกดดันตัวเอง”
“ค่ะ/ครับ” ฉันกับม่านเมฆรับคำพร้อมกัน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าห้องก่อนที่ป๊าจะเดินเข้ามาพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ เขายืนพิงกรอบประตูมองเราสองคน
“อ่านไปถึงไหนกันแล้ว? มีอะไรไม่เข้าใจหรือเปล่า”
“ก็ดีครับป๊า แต่ผมยังไม่แม่นสูตรบางตัว” ม่านเมฆตอบก่อนจะยื่นสมุดคณิตศาสตร์ให้ป๊าดู
ป๊าเดินเข้ามานั่งด้านข้างพร้อมหยิบปากกาขึ้นมาแล้ว เริ่มติวให้ม่านเมฆ ส่วนฉันเปิดสมุดจดเลคเชอร์ไปพลางท่องเนื้อหาวิชาสังคมไปพลาง
บรรยากาศในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงปากกาขีดเขียนลงกระดาษ เสียงแม่ล้างจานจากห้องครัว และเสียงเพลงเบา ๆ จากวิทยุที่เปิดคลอ
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อนลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ฉันเริ่มขยับเปลือกตาพลางกะพริบตาปรับโฟกัสเล็กน้อย เสียงนาฬิกาปลุกแบบเข็มดัง กริ๊ง ๆ อยู่ข้างหัวเตียงเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาตื่นไปโรงเรียน
“ฟ้าใส ตื่นได้แล้วลูก” เสียงแม่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง
ฉันยันกายขึ้นจากที่นอนคว้าเสื้อพละที่พาดไว้ปลายเตียงมาถือไว้ ก่อนจะหันไปมองม่านเมฆที่ยังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม ฉันผลักไหล่เขาเบา ๆ
“ตื่นได้แล้วนายน้องชาย วันนี้มีเรียนพละนะ”
ม่านเมฆส่งเสียงอืออาในลำคอ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางสะลึมสะลือ หลังจากเตรียมตัวเสร็จพวกเราก็ออกมานั่งกินข้าวเช้าพร้อมกันที่โต๊ะอาหารโดยมีป๊านั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟ ส่วนแม่กำลังตักข้าวต้มร้อน ๆ ใส่ชามให้พวกเรา
“วันนี้มีเรียนอะไรบ้างลูก?” แม่ถามขณะวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าของฉัน
“มีพละตอนเช้า คณิต อังกฤษ แล้วก็วิทยาศาสตร์ครับ” ม่านเมฆตอบพลางเป่าไอร้อนจากช้อนข้าวต้ม
“งั้นต้องกินให้อิ่มจะได้มีแรงเรียน” แม่ยิ้ม ส่วนป๊าก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตั้งใจเรียนให้ดี อีกไม่กี่วันก็สอบแล้วนะ หลังจากสอบเสร็จอาจมีข่าวดี”
"ค่ะ/ครับ" ฉันกับม่านเมฆตอบพร้อมกันแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยถึงข่าวดีที่ป๊าพูดก็ตาม
หลังจากกินข้าวเสร็จ เราสองพี่น้องก็เดินออกมาหน้าบ้าน วันนี้อากาศสดชื่นมีลมเย็นพัดผ่าน หน้าตลาดในยามเช้าคึกคักจนดูเหมือนวุ่นวายแต่ฉันกับน้องชินเสียแล้ว
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน