แชร์

แรกเจอ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-07 11:35:46

ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว  มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ

“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”

ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีต

เสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา

“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ

“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้า

พวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรส

ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

ถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้

ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้

ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่งครู

สอนฉันให้เข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริง ๆ

ฉันแพ้จนเข้าใจ รักร้าวเป็นเช่นไร ขอบใจจริง ๆ

เสียงร้องฟังนุ่มหูของนักร้องดังในขณะนั้นแว่วเข้ามาในโสตประสาท ฉันจำได้ทันทีว่าเป็นเพลงขอบใจจริง ๆ ของ เบิร์ด ธงไชย ที่กำลังฮิตติดชาร์ตอยู่ตอนนี้ เสียงดนตรีคลอไปกับเสียงพูดคุยของผู้คนรอบข้างทำให้บรรยากาศช่วงเย็นดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวา

“เพลงโปรดของเจ้ฟ้านี่” ม่านเมฆแซวขึ้นมาทำให้ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาเล็กน้อย

“ไม่ได้โปรดขนาดนั้น แค่ฟังบ่อย” ฉันแก้ตัว

ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงลานจอดรถจักรยานยนต์หน้าอาคารเรียนของคณะวิศวะ สายตาของฉันเหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนชายรูปร่างผอมสูงในชุดนักเรียนมัธยมปลายเสื้อสีขาว กางเกงสีกากีรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลเข้มกำลังยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์ Honda Steed 400

มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างถือวอล์กแมนสีดำพร้อมสายหูฟังที่พาดจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนขึ้นไปยังหู         ครีมรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือสะกิดไหล่ของเขา

“เฮีย! รอนานไหม?”

เด็กหนุ่มดึงหูฟังออกข้างหนึ่งก่อนจะเหลือบมองน้องสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“ช้า”

ครีมยิ้มแหยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “เฮียกำลังฟังอะไรอยู่เหรอ?”

เขาไม่ได้ตอบ แต่กลับพลิกฝ่ามือซ่อนวอล์กแมนไว้ราวกับไม่อยากให้ใครดู

“ยุ่ง” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะเหลือบตามามองฉันกับม่านเมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากครีม

ครีมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอจึงรีบหันมาแนะนำฉันกับน้องให้พี่ชายรู้จัก

“เฮีย นี่ฟ้าใสกับม่านเมฆ เพื่อนฉันเอง สนิทกันมาตั้งแต่ประถม”

ฉันกับม่านเมฆยกมือไหว้เขา “สวัสดีค่ะ/ครับ” พวกเราทักทายขึ้นพร้อมกัน

เฮียครามพี่ชายของครีมมองพวกเราครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแบบผ่าน ๆ แล้วหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมโดยมีครีมขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง

“กลับดี ๆ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะบิดคันเร่ง เสียงของเครื่องยนต์ครางออกมาเล็กน้อยก่อนที่เด็กหนุ่มจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำมันและเสียงท่อไอเสียที่เริ่มห่างออกไป

ฉันมองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่เริ่มไกลออกไปก่อนที่จะรับรู้ถึงแรงสะกิดจากม่านเมฆ

“เจ้ มองอะไรอยู่?”

ฉันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้า “เปล่านี่ พวกเราก็กลับบ้านกันเถอะ”

“อืม” หลังจากนั้นพวกเราสองพี่น้องก็เดินไปยังป้ายรถสองแถวด้านหน้ามหาวิทยาลัย บรรยากาศช่วงเย็นของเมืองศรีปฐมยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คน

นักเรียนหลายคนกำลังยืนรอรถเหมือนกัน บางคนใส่หูฟังวอล์กแมนแล้วฮัมเพลงออกมาตามเสียงดนตรีที่ดังจากเทปคาสเซ็ตต์ บางคนถือหนังสือท่องศัพท์เตรียมสอบ

และเมื่อรถสองแถวสีแดงค่อนข้างเก่าเคลื่อนเข้ามาจอดตรงหน้าพวกเราสองคนรีบก้าวบันไดขึ้นไปนั่ง สายลมเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้ายามรถเคลื่อนตัวทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายจนเผลอยิ้มออกมาพร้อมกับครุ่นคิดในเรื่องที่คุยกับครีมในห้องสมุด

ซึ่งอีกไม่กี่อาทิตย์พวกเราก็จะสอบปลายภาคจบม.3 จากนั้นก็จะต้องถึงเวลาสอบเข้าโรงเรียนใหม่กันแล้ว

เมื่อรถสองแถวจอดหน้าตลาดเราสองพี่น้องก็เดินตรงมายังตึกแถวในตลาดตอนเย็นที่ค่อนข้างเงียบเหงาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยในตอนนี้

และเมื่อหลังจากกลับถึงบ้าน ฉันกับม่านเมฆก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที ห้องนี้เป็นห้องไม่กว้างเท่าไหร่นัก มีโต๊ะไม้สองตัวตั้งติดกัน

บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือเรียนปกอ่อนลายการ์ตูน        สมุดฉีกที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน พจนานุกรมเล่มหนาและปากกาไส้เปลี่ยนสีที่ฉันชอบใช้จดโน้ต

ม่านเมฆวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์ขึ้นมา

“วันนี้เจ้จะอ่านอะไร?”

“สังคมมั้ง วิชาอื่นเริ่มโอเคแล้ว แต่สังคมยังมีบางเรื่องที่จำไม่ได้” ฉันว่าพลางเปิดสมุดโน้ตที่ขีดเส้นไฮไลต์สีเขียวไว้เต็มหน้า

เสียงเปิดหนังสือดังเป็นจังหวะ ขณะที่ม่านเมฆเริ่มขีดเขียนสูตรคณิตศาสตร์ลงในกระดาษทด ส่วนฉันพยายามจำลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์

บรรยากาศของห้องเงียบลงมีเพียงเสียงเข็มของนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กำลังส่งเสียงดังเป็นจังหวะกับเสียงคลื่นวิทยุจากเครื่องเล่นเทปที่เปิดคลอ ฉันกับน้องชอบฟังเพลงไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย ในขณะที่พวกเรากำลังใจจดจ่ออยู่กับหนังสือของตัวเองพลันเสียงของดีเจก็ดังขึ้น

“เพลงต่อไป ขอฝากให้เพื่อน ๆ ที่กำลังอ่านหนังสือสอบทุกคน เป็นกำลังใจให้นะครับ” หลังเสียงของดีเจจบลงก็มี        เสียงของทำนองดนตรีขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องของ                                ติ๊นา - คริส ติน่า อากีล่าร์

ม่านเมฆเงยหน้าขึ้นมาพลางเอ่ยถามฉันอย่างกังวล         “เจ้อยากให้ผมเปิดวอล์กแมนฟังมั้ย?”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็จบแล้ว” ฉันตอบก่อนจะก้มหน้าท่องเนื้อหาในสมุดต่อไป

ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แม่เดินเข้ามาพร้อมถาดที่มีแก้วน้ำส้มคั้นสองแก้วกับขนมปังปิ้งทาเนยหอมกรุ่นวางอยู่บนถาดไม้ก่อนจะวางลงบนโต๊ะข้างมือของฉัน

“พักกินอะไรก่อนเถอะลูก เดี๋ยวอ่านมากไปจะปวดหัว”

ฉันละสายตาจากหนังสือ ยิ้มให้แม่ก่อนจะหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาจิบ ส่วนม่านเมฆรีบคว้าขนมปังขึ้นมากัดทันที

“อร่อย!” เขาพูดพลางเคี้ยวขนมปังตุ้ย ๆ ฉันหัวเราะออกมาให้กับท่าทางของเขา

“อีกไม่กี่วันก็สอบแล้ว พักบ้างนะลูก” แม่ลูบหัวฉันก่อนจะไปลูบหัวน้องชายตัวแสบ

“ทำให้เต็มที่ก็พอ ไม่ต้องกดดันตัวเอง”

“ค่ะ/ครับ” ฉันกับม่านเมฆรับคำพร้อมกัน

เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าห้องก่อนที่ป๊าจะเดินเข้ามาพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ เขายืนพิงกรอบประตูมองเราสองคน

“อ่านไปถึงไหนกันแล้ว? มีอะไรไม่เข้าใจหรือเปล่า”

“ก็ดีครับป๊า แต่ผมยังไม่แม่นสูตรบางตัว” ม่านเมฆตอบก่อนจะยื่นสมุดคณิตศาสตร์ให้ป๊าดู

ป๊าเดินเข้ามานั่งด้านข้างพร้อมหยิบปากกาขึ้นมาแล้ว เริ่มติวให้ม่านเมฆ ส่วนฉันเปิดสมุดจดเลคเชอร์ไปพลางท่องเนื้อหาวิชาสังคมไปพลาง

บรรยากาศในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงปากกาขีดเขียนลงกระดาษ เสียงแม่ล้างจานจากห้องครัว และเสียงเพลงเบา ๆ จากวิทยุที่เปิดคลอ

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อนลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ฉันเริ่มขยับเปลือกตาพลางกะพริบตาปรับโฟกัสเล็กน้อย เสียงนาฬิกาปลุกแบบเข็มดัง กริ๊ง ๆ อยู่ข้างหัวเตียงเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาตื่นไปโรงเรียน

“ฟ้าใส ตื่นได้แล้วลูก” เสียงแม่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง

ฉันยันกายขึ้นจากที่นอนคว้าเสื้อพละที่พาดไว้ปลายเตียงมาถือไว้ ก่อนจะหันไปมองม่านเมฆที่ยังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม           ฉันผลักไหล่เขาเบา ๆ

“ตื่นได้แล้วนายน้องชาย วันนี้มีเรียนพละนะ”

ม่านเมฆส่งเสียงอืออาในลำคอ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางสะลึมสะลือ หลังจากเตรียมตัวเสร็จพวกเราก็ออกมานั่งกินข้าวเช้าพร้อมกันที่โต๊ะอาหารโดยมีป๊านั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟ ส่วนแม่กำลังตักข้าวต้มร้อน ๆ ใส่ชามให้พวกเรา

“วันนี้มีเรียนอะไรบ้างลูก?” แม่ถามขณะวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าของฉัน

“มีพละตอนเช้า คณิต อังกฤษ แล้วก็วิทยาศาสตร์ครับ” ม่านเมฆตอบพลางเป่าไอร้อนจากช้อนข้าวต้ม

“งั้นต้องกินให้อิ่มจะได้มีแรงเรียน” แม่ยิ้ม ส่วนป๊าก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตั้งใจเรียนให้ดี อีกไม่กี่วันก็สอบแล้วนะ หลังจากสอบเสร็จอาจมีข่าวดี”

"ค่ะ/ครับ" ฉันกับม่านเมฆตอบพร้อมกันแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยถึงข่าวดีที่ป๊าพูดก็ตาม

หลังจากกินข้าวเสร็จ เราสองพี่น้องก็เดินออกมาหน้าบ้าน วันนี้อากาศสดชื่นมีลมเย็นพัดผ่าน หน้าตลาดในยามเช้าคึกคักจนดูเหมือนวุ่นวายแต่ฉันกับน้องชินเสียแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   ตอนพิเศษ พยานรักตัวน้อย ๆ

    หลายปีผ่านไป... หลังจากครามเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะวิศวกรหนุ่มอนาคตไกล เขาทุ่มเทให้กับงานในบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งแต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยห่างจากจังหวัดบ้านเกิด และที่สำคัญที่สุดคือผู้หญิงที่เขามอบเกียร์และหัวใจให้ไปนานแล้วทางด้านฟ้าใสเธอก็ก้าวเข้าสู่ช่วงปีสุดท้ายของการเรียนในคณะศิลปกรรมฯ ชีวิตที่เคยพลิกผันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บัดนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ป๊าของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สำเร็จแม้การเดินจะยังไม่กลับมาเป็นปกติร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแต่ด้วยกำลังใจที่ดีและการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอท่านก็สามารถกลับมาเดินเหินได้คล่องแคล่วขึ้นมาก อีกทั้งยังเข้ามาช่วยดูแลร้านสุกี้ในส่วนที่ไม่ต้องออกแรงมากได้ด้วย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยจางหายไปนานกลับมาสู่ครอบครัวของเธออีกครั้งกิจการร้านขนมและร้านสุกี้ก็ดำเนินต่อไปได้ด้วยดีโดยมีฟ้าใสและคุณแม่เป็นหัวเรือใหญ่ และแน่นอนว่ามีครามคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเสมอในยามที่เธอต้องการ ระยะทางและตารางเวลาที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความรักของครามและฟ้าใสลดน

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   รักของเราคือรสช็อกโกแลต

    หลายเดือนผ่านไป... วันเวลาหมุนเวียนจากเทอมแรกเข้าสู่เทอมที่สองของปีการศึกษา กลิ่นอายของวันวาเลนไทน์เริ่มอบอวลไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย สติ๊กเกอร์รูปหัวใจและดอกกุหลาบมีให้เห็นตามมุมต่าง ๆชีวิตของฟ้าใสเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้จะยังคงวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่าของนักศึกษาทั่วไป เธอกลับไปเรียนตามปกติพยายามตามงานที่ขาดไปในช่วงแรกอย่างสุดกำลังพ่อของเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้แล้วแต่อาการบาดเจ็บที่ขายังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาระการดูแลร้านทั้งสองแห่งยังคงตกอยู่ที่เธอกับแม่เป็นหลัก แต่เธอก็เริ่มปรับตัวและจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้คล่องแคล่วขึ้นรวมถึงความสัมพันธ์กับครามก็ยังคงดำเนินไปในรูปแบบเดิม... เขาคือพี่ชายตรงข้ามบ้านที่แสนดี สารถีคนสำคัญ และผู้ช่วยจำเป็นในทุกสถานการณ์ ความช่วยเหลือของเขาทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้บ่ายของวันวาเลนไทน์หลังเลิกคลาส ฟ้าใสตั้งใจจะเอาขนมเค้กช็อกโกแลตที่เธอหัดทำเมื่อคืนไปให้ครามลองชิม และถือโอกาสขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เขาช่วยม

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   การเติบโตชั่วข้ามคืนของฟ้าใส (2)

    "ลูกอยู่นี่เอง แม่ก็รอว่าจะมาพร้อมลูกแต่ก็ดีแล้วละที่ลูกอยู่ตรงนี้" กิมลั้งพูดกับลูกชายหลังเห็นว่าเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนฟ้าใสกับแม่พลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ลลิตาที่ยังคงมีดวงตาแดงก่ำ"ลิตา เฮียหลงเป็นยังไงบ้าง" เธอหันไปถามเพื่อนบ้านด้วยความเป็นห่วงโดยจับมือลลิตาไว้แน่นลลิตาสูดหายใจลึก พยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง "เพิ่งจะย้ายเข้าไอซียูเมื่อกี๊นี้เองลั้ง... หมอบอกว่ากระดูกหักหลายที่ เสียเลือดมาก... ยังต้องรอดูอาการใกล้ชิด..." เสียงเธอสั่นเครือในตอนท้าย"โถ... ไม่เป็นไรนะลิตา ไม่เป็นไร" กิมลั้งบีบมือเพื่อนแน่นขึ้น "ปลอดภัยแล้ว ถือว่าพ้นขีดอันตรายระดับนึงแล้วนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ต้องเชื่อมั่นในตัวหมอ แล้วก็บุญกุศลที่อาหลงเขาทำมาเยอะแยะนะเพื่อนนะ" เธอกล่าวปลอบใจอย่างจริงใจ"มีอะไรให้ฉันสองคนช่วยบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน""ขอบใจมากนะลั้ง..." ลลิตาพยักหน้ารับทั้งน้ำตาครามมองภาพผู้ใหญ่ให้กำลังใจกัน ก่อนจะหันไปพูดเรื่องที่จำเป็น "ป๊า ม๊า เดี๋ยวผมว่าจะพาฟ้าใสไปดูร้านที่ตลาดโต้รุ่งก่อน แล้วก็อาจจะแวะไปดูร้านสุกี้ด้ว

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   การเติบโตชั่วข้ามคืนของฟ้าใส (1)

    ทุกวินาทีที่ผ่านไปหน้าห้องผ่าตัดคล้ายเป็นการทรมานสำหรับคนรอคอย ฟ้าใสยังคงกอดแม่ไว้แน่นมีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาเป็นระยะขณะที่ผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ลูบหลังปลอบลูกสาว ดวงตาจับจ้องบานประตูห้องผ่าตัดด้วยใจที่ร้อนรน ครามยังคงยืนอยู่ไม่ห่าง คอยเป็นหลักให้สองแม่ลูกอย่างเงียบงันตามเดิมบรรยากาศระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและคำภาวนาในใจทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าเฉพาะตัวของเครื่องพีซีทีในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของครามก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันแสนหนักอึ้งนั้นลง ครามขมวดคิ้วและเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทางนั้นคงจะร้อนใจไม่ต่างกัน"เฮีย! ป๊าของฟ้าใสเป็นยังไงบ้าง" เสียงครีมน้องสาวของเขาดังลอดออกมาทันทีที่เขากดรับสาย น้ำเสียงสั่นเครือและเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด"แม่เพิ่งโทรมาบอกว่าคุณอาโดนรถชน! ท่านเป็นอะไรมากไหมเฮีย? ครีมเป็นห่วงมากเลย!" ความสนิทสนมระหว่างครอบครัวทำให้ครีมรู้สึกผูกพันและตกใจกับข่าวร้ายไม่น้อย"ใจเย็น ๆ ก่อนครีม" ครามตอบกลับพยายามใช้เสียงที่สงบและมั่นคงที่สุดเพื่อไม่ให้น้องสาวที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงต้องตื่นตระหนกไปมากกว่า

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   เคียงข้าง

    ครามวิ่งมาถึงบริเวณที่จัดกิจกรรมของคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างรวดเร็ว เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนขมับและข้างแก้ม ดวงตาคมกวาดมองหากลุ่มเพื่อนของฟ้าใสที่พอจะคุ้นหน้าอยู่บ้างท่ามกลางความวุ่นวายจนกระทั่งไปสะดุดตากับกลุ่มนักศึกษาปีสองในชุดคณะที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฟ้าใสเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทของเธอเขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาทันที ลมหายใจหอบเล็กน้อย "น้องครับ....พี่มาหาฟ้าใส" เขาถามออกไปน้ำเสียงเคร่งเครียดและแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด"เห็นฟ้าใสไหมครับ?"เพื่อน ๆ ของฟ้าใสกลุ่มนั้นหันมามองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างแปลกใจระคนสงสัย ปกติไม่ค่อยเห็นเฮียครามคนดังของวิศวะฯ มาทำหน้าตาตื่นแถวนี้เท่าไหร่นัก ก่อนที่เพื่อนคนที่สนิทกับฟ้าใสที่สุดจะรีบตอบ"พี่คราม..." เธอทำหน้างง ๆ เล็กน้อยเรียกชื่อของเขาออกมา "เมื่อกี้ฟ้าใสมันบอกว่าเพจเจอร์เข้า ขอตัวไปโทรศัพท์ค่ะ เห็นวิ่งหน้าตาตื่นไปทางตู้โทรศัพท์ตรงโถงทางเดินนู้นแน่ะค่ะ" หญิงสาวชี้นิ้วไปยังทางเดินด้านในตัวอาคารที่ค่อนข้างเงียบกว่าบริเวณลานกิจกรรม"ไปได้สักพักแล้ว..ยังไม่เห็

  • รักของเราคือรสช็อกโกแลต (วัยรุ่นวัยฝันยุค 90)   ห่วง

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากปีหนึ่งเทอมแรกกิจกรรมรับน้อง การเรียน การสอบ วนเวียนจนกระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไปหนึ่งปีการศึกษาเต็ม ๆความสัมพันธ์ระหว่างครามและฟ้าใสยังคงดำเนินไปในรูปแบบของเพื่อนบ้านและพี่ชายที่แสนดีอย่างที่หลายคนเห็นครามยังคงวนเวียนเข้ามาช่วยเหลือฟ้าใสอยู่เสมอ ทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างการช่วยถือของ ซื้อขนมมาฝากหรือแม้แต่ช่วยดูเรื่องความปลอดภัยตอนเธอกลับบ้านดึก ๆและบางครั้งก็รวมถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย ทำให้เธอกับเขายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยปริยายตามประสาคนที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันส่วนขุนเขา...เขาก็ยังคงเป็นขุนเขาคนเดิม ไม่เคยถอดใจจากเป้าหมาย แม้จะไม่ได้ทุ่มเทเข้าหาฟ้าใสอย่างหนักหน่วงเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน แต่ก็ยังคงหาโอกาสเข้ามาทักทาย ชวนคุยหรือทำตัวเป็นเพื่อนจอมกวนให้เธอได้เห็นหน้าอยู่เสมอส่งผลให้ฟ้าใสถูกเพื่อนสนิทในกลุ่มศิลปกรรมฯ แซวจนหูชาทั้งเรื่องพี่ชายข้างบ้านสุดอบอุ่นและเด็กวิศวะฯ จอมตื๊อหน้ามึนลึก ๆ แล้วฟ้าใสเองก็อดรู้สึกแปลก ๆ ก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status