ในยุค 90 ที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงจากวิทยุ เสียงหวาน ๆ ของดีเจจากรายการยามค่ำคืน และเทปคาสเซ็ทที่ต้องใช้ดินสอหมุนกรอ … "ฟ้าใส" เด็กสาวจากครอบครัวพ่อค้าในตลาดผู้เติบโตมากับกลิ่นหมูสดและเสียงจอแจของแม่ค้าในทุกเช้า กำลังเดินหน้าสู่ชีวิตมัธยมปลายพร้อมกับน้องชายฝาแฝด "ม่านเมฆ" และเพื่อนสนิท "ครีม" โลกของเธอเคยเรียบง่ายจนกระทั่ง "เฮียคราม" พี่ชายของครีมก้าวเข้ามาในชีวิต จากวันแรกที่ได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ Honda Steed 400 ของเขาฟ้าใสก็ไม่เคยคิดเลยว่าเฮียครามจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ ไม่ว่าจะในฐานะพี่ชายของเพื่อน หรือใครอีกคนที่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจ เพราะความรัก... ไม่ได้มีแค่รสหวานเหมือนน้ำตาล แต่มันมีทั้งความขมเข้มข้นเหมือนช็อกโกแลต อบอุ่น ละมุนละไม หรืออาจจะขมจนยากจะกลืน "รักของเราคือรสช็อกโกแลต" เรื่องราวความรัก มิตรภาพ ความฝันของคนหนุ่มสาวในยุค 90 ที่จะพาคุณย้อนวันวาน
View More17 มีนาคม 2551
(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)
ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...
15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะ
ฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม
“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”
เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง
“เฮีย?”
“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”
“หา?” ฉันกะพริบตา
ก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ
“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม
“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือนกัน” ฉันรีบแก้ตัว
ครีมกลอกตา “ก็แน่สิ เฮียของฉันอยู่กับอาม่าที่ภาคเหนือมาตลอดเพิ่งกลับมาอยู่บ้านไม่กี่เดือนนี่เอง เอาไว้หลังจบม.3 พวกเราไปสอบเข้าโรงเรียนเดียวกันกับเฮียนะ”
ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันโดยไม่ได้ตอบเรื่องเรียนต่อก่อนที่น้องชายของฉันจะหันไปถามครีมด้วยความสงสัยถึงเรื่องบุคคลที่สามต่อ
“แล้วเฮียของเจ้เป็นคนยังไงเหรอ?”
ครีมถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบลูกอมรสมะนาวจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนมาแกะใส่ปาก
“พูดตรงแบบโคตรตรง ตรงจนบางทีฉันยังอยากเอาหมอนอัดหน้า”
“ขนาดนั้นเลย?” ฉันหัวเราะอย่างขบขันให้คำพูดของเพื่อน
“ขนาดนั้นแหละ! แกลองคิดดูนะ เขาอยู่กับอาม่ามาตลอด เป็นคนเงียบ ๆ จริงจังพูดน้อย แต่ถ้าได้พูดก็มีแต่คำที่แทงใจดำคนฟังสุด ๆ” ครีมทำหน้าตาเวทนาตัวเองก่อนจะพูดต่อ
“ยกตัวอย่างแค่ฉันทำอะไรเปิ่น ๆ หน่อยก็โดนด่าเป็นชุด”
ม่านเมฆยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “งั้นเฮียของเจ้คงไม่ถูกชะตากับเจ้ฟ้า...แน่เลย”
“เอ้า! ทำไมล่ะ?” ฉันหันขวับไปหาแฝดตัวเอง
ม่านเมฆหัวเราะก่อนจะเฉลยความ “ก็เจ้น่ะชอบช่วยคนอื่นไปทั่ว ใจดีจนบางคนเข้าใจผิดไปหมด เจอคนที่พูดตรงขนาดนั้นเข้าไป ผมรับรองว่าเจ้อาจจะไม่รอด”
“นายคิดว่าเฮียฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” ครีมขำ “ถึงเฮียจะพูดตรงแต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะ แค่ถ้าคนไหนนิสัยไม่ดีหรือไม่จริงใจกับเขา เขาจะตัดจบเลย...และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในนิสัยของคนเกิดวันอังคาร”
“เจ้ครีมหมายความว่ายังไง คนเกิดวันอังคารทำไมเหรอ” ม่านเมฆหูผึ่งถามออกมาอย่างกังขา
“นายเป็นผู้ชายแบบไหนขี้เมาท์จัง” ฟ้าใสกระเซ้าน้องชายที่เกิดคนละวันเพียงห้านาที
“ผมไม่ได้ขี้เมาท์ซะหน่อย แค่สงสัยเฉย ๆ” ม่านเมฆยักไหล่ ก่อนจะหันไปมองครีมที่อมลูกอมรสมะนาวในปากพลางทำหน้าครุ่นคิด
“คนเกิดวันอังคารก็เป็นพวกหัวดื้อ ใจร้อน มีโลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าได้เป็นพี่ชายก็คือพี่ชายที่ดีสุด ๆ เลยนะ” ครีมอธิบายเสียงอู้อี้เพราะยังอมลูกอมอยู่
“ดื้อ ใจร้อน?” ฉันพึมพำ “แสดงว่าพี่ชายเธอเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
“อืม ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เฮียครามไม่ค่อยพูดมากกับใครหรอก นอกจากครอบครัวและคนที่เขาสนิทใจด้วยเท่านั้น” ครีมยักไหล่ก่อนจะพูดต่ออย่างไม่คิดอะไร
“แต่ถ้าลองได้รู้จักนิสัยของเขา เขานับได้ว่าเป็นคนใจดีคนหนึ่งเลยนะ”
ฉันทำหน้าแบบเออออห่อหมกไปตามเพื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เราจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม? ไม่ไปเลือกหนังสืออ่านกันสักหน่อยเหรอ? ใกล้สอบแล้วนะ”
“จริงด้วย!” ครีมลุกพรวดขึ้นแล้วลากฉันไปที่ชั้นหนังสือ โดยมีม่านเมฆเดินตามมาไม่ห่าง
บรรยากาศห้องสมุดของมหาวิทยาลัยศรีปฐมในปี พ.ศ 2538 เงียบสงบ มีนักศึกษาบางคนมานั่งอ่านหนังสือกันหลายคน พวกเขาค่อนข้างมีสีหน้าเงียบขรึม
เข้ากับพื้นห้องที่ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาล โต๊ะไม้เรียงเป็นระเบียบ ตู้หนังสือสูงท่วมหัวเรียงรายเต็มห้อง ฉันเดินผ่านแผนกหนังสือภาษาอังกฤษแล้วหยิบเล่มหนึ่งออกมา
“เจ้ฟ้าจะอ่านภาษาอังกฤษ?” ม่านเมฆขมวดคิ้ว
“ก็ต้องฝึกไว้ไง อีกไม่กี่ปีเราก็จะเข้าม.ปลายและก็ต่อด้วยมหาวิทยาลัยใช่ไหมล่ะ” ฉันพูดอย่างมั่นใจ
“โห เจ้อยากเรียนที่ไหนล่ะ”
“ก็...” ฉันอึกอัก เพราะจริง ๆ แล้วฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังเลยเพราะตอนนี้พวกเรายังไม่จบม.3
ครีมที่กำลังเลือกหนังสืออยู่อีกด้านยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู
“ถ้าแกยังไม่คิดว่าจะเรียนที่ไหน งั้นก็เรียนที่เดียวกับฉันไง”
ฉันหันไปมองเธออย่างสงสัย “หมายถึงโรงเรียนศรีปฐมนะเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ครีมพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม ถ้าไปเรียนที่เดียวกันต่อก็ดีออก จะได้ไม่ต้องปรับตัวใหม่ไง”
“แต่ศรีปฐมเป็นโรงเรียนใหญ่เลยนะ” ฟ้าใสพูดยังไม่ทันจบ เสียงของม่านเมฆก็แทรกขึ้นอย่างกังวล
“การแข่งขันสูงมาก ได้ยินว่าปีที่แล้วคนสอบเข้าเยอะ สุด ๆ”
“แล้วไง?” ครีมยักไหล่ “ยากแค่ไหนก็ต้องลองป่ะ พวกเราเรียนมาขนาดนี้ ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็น่าจะสอบติดแหละ”
ฉันพยักหน้าอย่างใช้ความคิด จริงอยู่ที่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะเรียนที่ไหน แต่โรงเรียนศรีปฐมก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเพราะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัด อีกทั้งปีนี้ยังเพิ่งจะเปิดรับสมัครนักเรียนหญิงเป็นปีแรก
แต่สำหรับม่านเมฆนั้นดูแตกต่างออกไปเขาสนใจโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ที่ต้องมาเรียนที่เดียวกันก็เพราะพวกเรามักจะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดเขาจึงทำใจแยกไปเรียนโรงเรียนชายล้วนไม่ได้
ม่านเมฆถอนหายใจพลางเอามือลูบท้ายทอยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำเวลาเจ้าตัวอยากให้ฉันเห็นด้วยกับเขา ทว่าเจ้าตัวกลับไม่พูดออกมาถึงความต้องการของตัวเองโดยตรง
“ถ้าเจ้อยากไป ผมก็คงต้องไปด้วยละมั้ง”
ฉันหันไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเอง “จริงเหรอ?”
“อืม” ม่านเมฆพยักหน้า “บอกตามตรงผมเองก็สนใจโรงเรียนนี้มาตั้งแต่ม.1 แล้วละ แต่ตอนนั้นไม่กล้าแยกกับเจ้น่ะ”
“แหม! ทำตัวเป็นเด็กติดพี่ว่างั้น” ครีมแซวด้วยรอยยิ้มพลางสะบัดผมที่กำลังละใบหน้า
“ก็ต้องติดสิ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด” ม่านเมฆตอบหน้าตายก่อนจะหันมามองฉัน
ฉันคิดว่าหากฉันไม่ตอบตกลง น้องชายก็คงจะเสียใจดังนั้นในเมื่อเขาเคยทำเพื่อฉันมาแล้วดังนั้นครั้งนี้ฉันจะทำเพื่อเขาบ้างก็แล้วกัน
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศรีปฐมกัน”
“เจ้พูดจริงเหรอ” ม่านเมฆถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู
“จริงสิ อีกอย่างหากสอบติดพวกเราจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนหญิงรุ่นแรกของโรงเรียนเลยนะแบบนี้ไม่ดีหรือยังไงฟังดูเท่ไม่หยอก” หลังฉันพูดจบครีมก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ครีมหัวเราะจนตัวงอก่อนจะโบกมือไปมา “แกนี่มันจริง ๆ เลยฟ้าใส หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเก่งชะมัด”
“เอ้า! ก็มันจริงไหมล่ะ” ฉันยักไหล่ก่อนจะหัวเราะตาม
ม่านเมฆมองฉันด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังซึมซับสิ่งที่ฉันพูด “งั้นก็ตกลง เราสอบเข้าโรงเรียนศรีปฐมด้วยกัน”
“เยี่ยม!” ครีมยกมือขึ้นดีดนิ้วก่อนจะเอื้อมมาคล้องแขนฉัน
“ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราต้องอ่านหนังสือกันหนักขึ้นแล้วนะ ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด”
“รู้แล้วน่า” ฉันหัวเราะ
พวกเราใช้เวลาที่เหลือในห้องสมุดอ่านหนังสือและจดโน้ตกันอย่างเคร่งเครียด พจนานุกรมเล่มหนา หนังสือเรียนเล่มโต สมุดฉีกที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนของสูตรคำนวณและเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ถูกกางออกเต็มโต๊ะ
ม่านเมฆมีเครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์เครื่องหนึ่งที่เขาหวงนักหนาเพราะเป็นของที่ป๊าซื้อให้ตอนต้นปี เขามักใช้มันคำนวณโจทย์เลขอย่างจริงจัง
ขณะที่ครีมง่วนอยู่กับการอ่านเนื้อหาในหนังสือสังคมศึกษา และฉันก็กำลังพยายามท่องศัพท์ภาษาอังกฤษที่อาจออกสอบ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศของห้องสมุดยังคงเงียบสงบ มีเพียงเสียงกระซิบคุยกันแผ่วเบาของกลุ่มนักศึกษาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น จนกระทั่งใกล้เวลาห้องสมุดปิดพวกเราจึงตัดสินใจเก็บของและเดินออกจากอาคาร ครีมรีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วร้องเสียงหลง
“ตายแล้ว! เฮียครามมารับฉันยังเนี่ย!” ใบหน้าของเธอเหลอหลา
“นี่อะไรเหรอ?” ฉันถามเสียงเบาพยายามไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น ต้นเม้มปากแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดออกมารัวเร็ว“เอ่อ… จดหมาย… ฉันเขียนให้เธอ… อยากให้เธออ่านตอนถึงบ้าน”ฉันกะพริบตามองเขาอย่างเหลือเชื่อ ม่านเมฆที่ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเหตุการณ์ด้วยสายตาสนอกสนใจ ส่วนครีมที่เดินออกจากโรงเรียนทีหลังถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาลุกวาวราวกับเห็นอะไรน่าสนุก“โอ้โห… โรแมนติกสุด ๆ” ครีมกระซิบข้างหูฉันฉันหันไปถลึงตาใส่เธอ “อ่านการ์ตูนตาหวานมากไปหรือไงแก เงียบก่อน” ฉันกระซิบก่อนจะรับจดหมายจากมือของต้นมาถือไว้“ขอบคุณนะ ฉันจะอ่านตอนถึงบ้าน”ต้นพยักหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวกำลังวิ่งตามครีมหันมาหัวเราะและก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา “กรี๊ดดด! แกได้จดหมายรัก! ฉันนึกว่าจะมีแต่ในการ์ตูนซะอีก”“เงียบไปเลย!” ฉันรีบเก็บจดหมายลงในกระเป๋า &
ก่อนถึงวันสอบปลายภาคไม่กี่วัน นักเรียนชั้นสุดท้ายมักจะมีการแลกสมุดเฟรนด์ชิพกัน ซึ่งฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับสมุดเฟรนด์ชิพจากเพื่อนหลายคนพวกเราต่างเขียนข้อความให้กันด้วยลายมือของตัวเอง พร้อมกับวาดการ์ตูนตัวเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ใครจะสามารถทำได้ มีการแปะสติ๊กเกอร์รวมถึงการเขียนคำคมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นฉันเปิดสมุดเฟรนด์ชิพของครีมที่เธอยื่นมาให้ มันเป็นสมุดปกแข็งสีชมพูมีลายหมีน่ารักอยู่หน้าปก ฉันใช้ดินสอกด Rotring ที่ม่านเมฆให้มาเป็นของขวัญวันเกิดค่อย ๆ บรรจงเขียนข้อความลงไป"ถึงครีม เพื่อนสุดที่รักของฉัน"พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม จำได้ไหมว่าเราช่วยกันติวข้อสอบวิชาสังคมตอนป.6 จนเกือบหลับคาหนังสือ?ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ฉันรู้ว่าเราจะยังอยู่ข้างกันเสมอ ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ แล้วพวกเราจะไปลุยโรงเรียนใหม่ด้วยกัน!ฉันตบท้ายด้วยการวาดรูปกระต่ายตัวเล็กลงในมุมสมุด พร้อมแปะสติกเกอร์รูปหัวใจลงไปหนึ่งดวง“แกใช้เวลากับสมุดของฉันนานมากเลยนะ เขียนอะไรยาวขนาด
ตั้งแต่วันที่เราสามคนไปอ่านหนังสือด้วยกัน วันเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว พริบตาเดียวก็จะหมดเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้เป็นปีอธิกสุรทิน วันที่ 29 กุมภาพันธ์มีเพียงสี่ปีครั้ง ฉันตื่นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกแปลกไปพร้อมกันสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คือวันเกิดของฉันและทุกครั้งที่ฉันนึกถึงวันเกิด คนอื่นจะอวยพรฉันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หรือเลื่อนไปฉลองวันที่ 1 มีนาคมพร้อมกับม่านเมฆแทนแม้ว่าเราสองคนจะเป็นแฝดกันแต่พวกเราเกิดกันคนละวัน แต่ปีนี้...เป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ฉันได้ฉลองวันเกิดตรงวันจริงเมื่อเดินลงมาจากห้องนอน ฉันพบแม่กำลังยืนจัดจานขนมปังปิ้งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของเนยละลายลอยมาแตะจมูก “สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ยิ้มหวานก่อนจะยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้ฉันฉันยิ้มกว้าง “ขอบคุณค่ะแม่”ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมกับกล่าวอวยพร“มีความสุขมาก ๆ นะลูก โตขึ้นอีกปีแล้ว”“ขอบคุณค่ะป๊า”ม่านเมฆเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาวในมือขนาดเล็ก เขายื่นให้ฉันแบบขอไปที“สุขสันต์วันเกิด”“อะไรเนี่ย?” ฉันรับกล่องมาเปิดดู แล้วพบกับดินสอกด Rotring สีดำด้าน“ว้าว! นี่ข
ครีมรีบก้าวเท้าออกจากอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกุมสายสะพายกระเป๋า ส่วนอีกข้างยกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางบ่นอุบ“ฉันลืมไปเลย ถ้าเฮียรอนานเดี๋ยวโดนบ่นอีกแน่!”ฉันกับม่านเมฆมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามเธอออกไป พอพวกเราออกมาถึงลานกว้างหน้าห้องสมุด แสงแดดอ่อนของช่วงเย็นทอดเงาบนพื้นถนนคอนกรีตเสียงรถรารวมถึงจักรยานจำนวนมากเริ่มขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนเดินกันอย่างเร่งรีบบ้าง เอื่อยเฉื่อยบ้าง และมีบางกลุ่มกำลังคุยกันเรื่องงานที่ต้องส่ง บางคนก็หาที่นั่งเล่นรอเพื่อนที่ยังไม่ออกมา“เจอเฮียไหม?” ฉันถามครีมพลางช่วยมองไปรอบ ๆ“น่าจะรอตรงที่จอดรถมอไซค์ ครีมพึมพำก่อนจะเร่งฝีเท้าพวกเราเดินผ่านผู้คนท่ามกลางบรรยากาศของมหาวิทยาลัยศรีปฐมที่กำลังคึกคักไปด้วยนักศึกษาหนุ่มสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง บางคนสะพายกระเป๋าเดินคุยกันอย่างออกรสทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากลำโพงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถ้าหากครั้งนี้ ไม่มีเธอลวงหลอกไว้ฉันนี้คงงมงาย เห็นรักดีเกิน ไม่มีวันจะรู้ฉันเจ็บครั้งนี้ ฉันมีเธอเป็นดั่ง
17 มีนาคม 2551(ความรักก็เหมือนช็อกโกแลต... บางครั้งขม บางครั้งหวาน แต่สุดท้ายก็ละลายในใจเรา)ฉันไม่เคยคิดจะจดบันทึกเรื่องของตัวเองมาก่อน แต่วันนี้ อยู่ดี ๆ ก็อยากกลับไปนึกถึงวันแรกที่เจอกับเขา ตอนนั้นฉันอายุ 15 ส่วนเฮียครามอายุ 17 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทว่าฉันก็ยังจำเรื่องของเราได้ดี...15 กุมภาพันธ์ 2538 หลังวันวาเลน์ไทน์มาหนึ่งวันท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ศรีปฐม เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเป็นจังหวะฉันก้มหน้าก้มตาอ่านโจทย์เลขตรงหน้าอย่างตั้งใจ หรืออย่างน้อยฉันก็บอกตัวเองแบบนั้น แม้ว่าตัวเลขพวกนี้จะเริ่มเบลอไปหมดแล้วก็ตาม“แก ฉันบอกให้เฮียมารับแหละ”เสียงของครีมดังขึ้นขัดจังหวะ ฉันละสายตาจากสมุดคณิตศาสตร์แล้วเงยหน้ามอง“เฮีย?”“เฮียครามพี่ชายของฉันไง”“หา?” ฉันกะพริบตาก่อนเสียงของม่านเมฆ น้องชายฝาแฝดของฉันจะดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ“ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยล่ะ เจ้ฟ้าก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง” สีหน้าของม่านเมฆไม่ได้ต่างไปจากฉันหลังได้ยินคำพูดของครีม“ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือน
Comments